อนุทินล่าสุด


dejavu monmon
เขียนเมื่อ

ทุกอย่างในโลกนี้ ที่เห็นคือสิ่งสมมุติ

สิ่งสมมุติมีอยู่เพื่อให้ค้นหาความจริง

ขอแสดงความขอบคุณสำหรับการค้นหาความจริงในบทบาทสมมติ

๑๒ ก.ค.๒๕๕๕ เวลา ๑๔.๔๐ น.



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

  ผมพักวันนี้โดยไปหาเพลงสกาเร็กเก้ในยูทูบ แต่เปิดไปเจอสกานี้ เห็นเด็กๆ สนุกสนาน และฝีมือดนตรีแบบนี้ (ผมไม่เป็นดนตรี) ก็เข้าท่าดีแฮะ แต่ระหว่างนั้นผมคิดว่า หากเอาเด็กที่กำลังเต้นกันอย่างมันหยดอย่างนี้ ไปนั่งบำเพ็ญจิตภาวนา จะเกิดอะไรขึ้น สุดท้าย "งง" และ "ฉันจะเลือกอะไรดี" กับชีวิตที่ถูกจัดการโดยสังคม อย่างไรก็ตาม เราก็คงเลือกสิ่งที่เราจะเป็น ซึ่งต้องใช้เวลาค้นหาระยะหนึ่ง



ความเห็น (1)

และนี้ก็เป็นตัวอย่างของเด็กเก่ง

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

ข้อความและความหมาย

e-mail เตือนว่า มีบันทึกที่ผมติดตามใหม่ เมื่อผมเปิดไปในเช้านี้ก็พบว่า อ๋อ..เป็นเนื้อหาที่ผมอ่านแล้วเมื่อวานคือ งานนี้ ผมอ่านทบทวนใหม่อีกครั้ง ผมได้ความคิดบางประการ ผมลองเคลื่อนไปดูว่ามีใครแสดงความคิดเห็นไว้บ้าง ก็พบว่า มีผมอยู่ด้วย ผมคิดว่าผมแสดงความคิดเห็นอะไรไว้ ทำให้ผมได้ข้อคิดเรื่อง "ข้อความและความหมาย" 

บางทีข้อความที่แสดงออกไปนั้น มีสิ่งที่ซ่อนอยู่ในข้อความซึ่งผู้เขียนไม่ได้เขียนไว้ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ผมขอกล่าวเฉพาะข้อความของผม เกี่ยวกับการสอบเข้าบรรจุที่ใดก็ตาม หากเราตอบผิด (จากที่เขาเฉลยไว้) คำตอบของเราจะไม่ได้รับการตรวจว่าถูก นั่นหมายถึง หากหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับหนึ่ง จะผิด เพราะหลักที่วางไว้คือ หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง (เคยมีการพูดล้อกันว่า ทรายหนึ่งกองบวกกับทรายอีกหนึ่งกองจะได้เท่าไร คำตอบที่เด็กน้อยตอบคือ ทรายหนึ่งกอง) แต่สิ่งที่ไม่ได้กล่าวไว้คือ ระบบการศึกษา (อาจจะแบบไทย เพราะไม่เคยไปเรียนต่างประเทศและไม่สันทัดงานต่างประเทศ) สร้างคนมาแบบนั้น แต่จากงานที่อ้างถึงดูเหมือนคำตอบกลายเป็นรองของวิธีการ (และเหตุผล) และความรู้ไม่แน่นอน ทำให้ผมคิดไปถึง วิธีวิทยาการศึกษาแบบพุทธ ด้วยปัญหาว่า คำตอบเดียวหรือหลากหลาย จากวิธีการที่หลากหลายนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ทำให้นึกถึงแนวทางถ้อยคำของขงจื้อที่อ่านมา ถ้าอาจารย์บอกว่า โต๊ะสี่เหลี่ยม หากใครตอบว่าโต๊ะสี่เหยี่ยมเหมือนอาจารย์ เขาจะไม่ได้รับการพิจารณาให้เข้าเรียนในสำนักของขงจื้อ และแบบพุทธที่ว่า อย่าเชื่อเพราะเขาเป็นครูบาอาจารย์ของเรา อย่าเชื่อเพราะ...ฯลฯ 

ทำไปทำมา ผมบันทึกเลยเถิดจนได้...จากข้อความและความหมายที่จะเก็บไว้เมื่อถึงเวลาต้องใช้ กลายเป็นการเรียนรู้ในทศวรรษใหม่ที่ไม่ทิ้งรากฐานภูมิปัญญาไปได้



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

- ๐๖.๓๐ น. ได้ยินเสียงโทรศัพท์...งานแก้ไขรูปเล่มเสร็จแล้วนะคะ มารับได้ที่ห้อง ๓๐๖ โทรไม่เคยติดเลยนะ ชื่อ....ใช่ไหม...(งง) อ้าครับ ใช่ครับ อ่าครับๆ จะไปรับครับ.. 

- ดีนะเนี่ย ที่ตำราพรหมชาติและไพ่ป๊อกบอกว่าให้สงบปากสงบคำไว้...เหอๆ นั่นแสดงว่า คำทำนาย (โดยตัวเราเองจากตำรา) ก็มีผลในการข่มจิตข่มใจด้วย 

- มาถึงห้องคณะฯ มีประกาศเชิญร่วมประชุม ดีใจมากที่มีการประชุมเชิงสัมมนา เพราะจะได้ความรู้ใหม่ๆบ้าง แต่แล้ว...อ้าว อีกแล้ว เหมือนครั้งก่อนเลย สาขาอื่นๆ มีสัมมนาเดี่ยวห้องเล็ก แต่ปรัชญาและศาสนาไม่มี ผมและเพื่อนถูกลอยเคว้งอีกแล้ว หรือว่า ผมไม่ได้อยู่คณะนี้หนอ...ไปหัดตัดยางที่หาดใหญ่ดีกว่า (หัวเราะหน่อยหนึ่งว่า เหอๆ)



ความเห็น (2)

ตอนนี้ยางราคาดีน๊า ;))

  • ว่าจะไปหัดตัดยางอยู่ครับ
dejavu monmon
เขียนเมื่อ

   ไพ่แบบนี้ มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่...แม่หมอบอกที

หมายเหตุ : เราอาจนำวิธีการแบบนี้มาสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจแก่ผู้ที่กำลังทุกข์ใจได้ในระดับสามัญและน่าจะประยุกต์ได้กับอีกหลายและหลายพื้นที่ความคิด



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

จากข้อเขียน นี้ ทำให้ผมต้องตามไปอ่านตามคำแนะนำของท่านอาจารย์หมอ (อาจารย์ปู่โดยธรรมดีกว่า) เพียงข้อความสองบรรทัดแรก โดยเฉพาะข้อความของท่านอาจารย์ระพี (ปู่อีกท่าน) ตอนปลายของข้อความว่า "...ในที่สุดก็หมุนวนกลับมาหยั่งรู้ความจริงจากใจตนเอง" ทำให้ผมอุทานในใจว่า " My God" (God = ภาวะแห่งความจริง) และสอนตัวผมเองว่า เอาแต่วิ่งไปดูคนโน้นคนนี้ พื้นที่ศึกษาที่สำคัญซึ่งพุทธองค์เสนอไว้กลับไม่ค่อยจะมองเห็น...ทำไมไม่เอาสิ่งที่เราไม่พึงพอใจ เช่น ดินที่หายไปจากการถมที่ โครงการโกหกเพื่อให้ได้งบมาพัฒนา การทำลายกันและกันด้วยอาวุธของอสุกาย ความหยิ่งในศักดิ์ศรี เกียรติ และอื่นๆ ที่ล้วนแต่ตัวตนแปลกปลอม และฯลฯ ทำไมไม่เอาสิ่งเหล่านี้มาทดสอบอารมณ์ และฝึกฝนตัวเองให้โปร่งใส เบิกบานและรู้ภาวะอารมณ์ตามจริงเล่าท่านเอย (ผมเอง)



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

ชีวิตที่มีแต่ทุกข์...ดูเหมือนวันนี้ ใครๆที่ผมคุยด้วยมีแต่เรื่องทุกข์ทั้งสิ้น..เห้ออออ ชีวิต...ทุกข์หนอทุกข์...ทุกข์เพราะเข้าไปยึด



ความเห็น (2)

ในระหว่างที่จมอยู่ในห้วงทุกข์คงมีแสงแห่งความสุขฉาบทอบ้างนะคะ

ดังที่ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ว่า ขึ้นสวรรค์ไปพลางตกนรกไปพลาง....

  • ตรงกับโบราณว่า สวรรค์ในอก นรกในใจกระมังครับ
dejavu monmon
เขียนเมื่อ

ในสมัยที่เรียกร้อง "การให้" เช่น ครูเพื่อศิษย์ ก็แสดงว่า สมัยนั้นมีแต่การเอา ในสมัยที่เรียกร้อง "ความยุติธรรม" ก็แสดงว่า สมัยนั้นมีแต่อยุติธรรม ในสมัยที่เรียกร้อง "ศีลธรรม" ก็แสดงว่า สมัยนั้นไม่มีศีลธรรม



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

ผมนั่งฟังเหล่าผู้แสวงหาความรู้รายงานผล การศึกษาปัญหาชุมชน สิ่งที่ผมรับรู้คือ สถาบันการศึกษามักละเลยชุมชนรอบข้าง เมื่อมีโครงการวิจัย มักไปในที่อื่นมากกว่ารอบข้างสถาบันการศึกษา อย่างชุมชนรอบข้าง มรภ.มีปัญหาเยอะมาก โดยเฉพาะ การลักขโมย ผมเชื่อมโยงไปถึงวัด วัดก็มักละเลยชุมชนรอบข้างเช่นกัน 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

  จากมรภ.(นวนคร) ผ่านพระอินทราชา เส้นทางบางบัวทอง ถึงวัดมหาธาตุท่าพระจันทร์ ระยะทาง 70 กิโลเมตร ไปและกลับรวม 140 กิโลเมตร ระหว่างที่ออกจาก มรภ.ใจหนึ่งก็สัึ่่งว่า กลับเหอะ และทำท่าจะเลี้ยวรถกลับ แต่อีกใจก็บอกว่า ไหนๆ ตั้งใจจะไปแล้วก็ไปเถอะ ดูเหมือนใจอยากกลับคอยเตือนตลอด เมื่อไปถึงที่หมาย ไม่นานจึงเดินทางกลับ ถือเสียว่า มาเที่ยวก็แล้วกัน ส่วนธุระไว้วันจันทร์ค่อยมากันใหม่

   การที่ใจเถียงกัน ระหว่างใจหนึ่งจะรักษาสัุจจะที่ตั้งไว้ แต่อีกใจเตือนว่าอย่าไปเลย กลับเถอะ (เตือนตั้งแต่ออกจาก มรภ.) ดูเหมือนว่า สัจจะที่วางไว้ในบางครั้งน่าจะฟังข้อความอื่นบ้าง อย่างไรก็ตาม เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องเห็นกับตาแล้วค่อยเชื่อก็ได้ 

  อันที่จริงมีแนวโน้มที่จะผิดหวังตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว หากวันใดเมื่อเรื่องอะไรตั้งแต่เช้า เรื่องทำนองนั้นก็จะประมาณนี้ทั้งวัน อย่างเมื่อเช้า ตั้งใจไปเรียนภาษาอังกฤษ แต่เมื่อไปถึง ปรากฎว่า เขาเลื่อนไปเรียนสัปดาห์หน้า นี้คือความตั้งใจไว้อย่างน้อยสองสัปดาห์แล้ว



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

ขณะที่นั่งตรวจงาน มักมีเสียงเตือนซึ่งไม่ใช่ใคร หากแต่ตัวเราเตือนตัวเราเอง คำเตือนนั้นคือ "อย่ามักง่าย" มักเกิดขึ้นขณะตั้งใจทำอะไรหลายๆอย่างเสมอๆ บางครั้งจะได้ยินเป็นเสียงครูบาอาจารย์ที่เคยอบรมเรามาเมื่อสมัยก่อน



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

ผมตั้งคำถามว่า ทำไมผมจึงใช้ http://www.classstart.org">http://www.classstart.org">http://www.classstart.org">http://www.classstart.org">http://www.classstart.org">http://www.classstart.org">http://www.classstart.org">http://www.classstart.org">http://www.classstart.org">http://www.classstart.org">http://www.classstart.org">http://www.classstart.org">http://www.classstart.org">http://www.classstart.org">http://www.classstart.org">http://www.classstart.org ไม่สำเร็จ ภาคการศึกษาก่อนก็พยายามใช้แต่ไม่มีผู้เรียนร่วมด้วยเลย มาภาคนี้ก็พยายามแล้วแต่ผู้เรียนก็ไม่ร่วมเลย ผมกำลังหาคำตอบนี้อยู่



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

จากการได้อ่าน "http://www.gotoknow.org/blogs/posts/491052" ทำให้ผมได้แรงบันดาลใจเกี่ยวกับการเขียนกลอน เดิมทีผมชอบใช้ภาษายาก ผนวกกับเป็นความคิดเกินไป จึงเป็นอย่างที่ผมรู้และเข้าใจที่ผ่านมา...ผมมาคิดว่า การใช้ภาษาบ้านๆ ทำให้กลอนนั้นมีเสน่ห์ได้ เหมือนบนทึกที่เข้าไปอ่านนั้น สิ่งที่ืผมคิดตอนนี้คือ หากเราใช้ภาษาท้องถิ่นทางใต้มาเขียนกลอน จะเป็นอย่างไร ซึ่งผมก็ลองขึ้นต้นดังนี้ .... ลองตะ...ลองแล...ว่าแหน (แน่) หม้าย...มีสหมอง (สมอง) ลองด้าย (ได้) ช่าย (ใช่) ใครหวา (ว่า)...เหริ่ม (เริ่ม) จากนึ่ง (หนึ่ง) แล้วส่อง (สอง) แลลองมา...ต้องฝีกฝนผ่านเวลากันทั้งเพ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

เช้านี้ เปิดไปดูภาพธรรมชาติแห่งหมู่บ้านคีรีวง อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช..ซึ่งน้องคนหนึ่งส่งลงใน facebook ผมเห็นภาพแล้วพลอยเย็นไปด้วย จึงแต่งกลอนนี้ขึ้นมาซึ่งควรอ่านเป็นสำเนียงใต้ "น้ำเขียวเขียวงามงามฉ่ำแท้...ครั้นแลแลต้าเหลียวน่ามอง...คีรีวงวงกตขุนคีรีก้อง...มวลแมกไม้ไม้ป้องชีพนานา...น้ำจากเขาเขาหลวงทอดยาวยาว...มีเรื่องราวแต่ก่อนให้ย้อนหา...ผูกชีวิตหลายชีวิตแต่นานมา...คือเรื่องราวธารทาจวบบัดดลฯ"

เมื่อประมาณปี ๒๕๓๗-๒๕๓๙ ผมและเพื่อนๆเคยไปสอนหนังสือฟรีกันที่วัดคีรีวง ซึ่งอยู่ท่ามกลางหมู่บ้านแห่งนี้ และเมื่อเดือนก่อนผมและคู่ชีวิตไปงานแต่งงานของลูกสาวแม่พาสน์กับพ่อเอิบ (ผมเรียกว่าแม่กับพ่อเพราะเคยเอาข้าวเอาน้ำมาให้พวกเรากิน ตลอดถึงมังคุด ทุเรียนกวน กะท้อนหวานใบใหญ่และอาหารอื่นๆ) ผมไม่พบท่านเป็นเวลาหลายปี ก่อนลากลับ ผมขอกอดแม่หน่อย แม่ร้องไห้เลย แน่นอนผมยังระลึกถึงท่านเสมอ และท่านก็เอารูปผมมาให้ดู ว่าท่านยังเก็บรักษาไว้อย่างดี ด้วยกลัวพ่อจะน้อยใจ จึงเข้าไปกอดท่านด้วย กอดเสร็จพ่อเดินเข้าบ้าน (เกิดอะไรหนอ) เราจากลากันด้วยความอาลัย ผมยังระลึกถึงท่านเสมอ และตั้งใจว่า หากกลับหาดใหญ่และขับรถไป ผมจะแวะทุกครั้ง



ความเห็น (2)

ที่ คีรีวง ผมคิดถึงพี่หนุ่ย (ที่ล่วงลับ) คิดถึงพี่เขาทุกครั้งครับ

  • วันก่อนที่ไปงานแต่งงาน ให้หลังสองวัน ทราบว่า น้ำป่าไหลหลากพัดพาคนเล่นน้ำที่ท่าหาเสียชีวิตไปสองศพครับ
  • คีรีวงอากาศดี กลางคืนอาจน้องๆของปายครับ ที่มั่นใจอย่างหนึ่งคือ ผลไม้ไม่มีสารเคมี
dejavu monmon
เขียนเมื่อ

   ผมเพิ่งไปกินข้าวตอนเที่ยงที่โรงอาหาร เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่นักศึกษาพักเที่ยง ทำให้การจราจรทางเท้าค่อนข้างหนาแน่น ผมไปเลือกที่นั่งใกล้เพื่อนซึ่งเขาไปเลือกใกล้ภาชนะสำหรับแยกจาน ช้อน เศษอาหาร แก้วน้ำ ภาชนะนี้สูงประมาณเอวของผม (ผมสูง 169-170) ภายในช่องภาชนะแต่ละช่องจะมีถังพลาสติกสูงรองรับของที่ใส่ลงไป ผมได้ยิ้นโคล้งเคล้ง โป้งเป้ง ช๊อกแช๊ก แฉบแฉบ โป๊ะเป๊ะ คือเสียงกระทบกันระหว่าง จาน ช้อน แก้วน้ำ ซึ่งนักศึกษาแต่ละคนโยนกันลงไปใส่ถังที่รองรับนั้น

   ภาชนะนี้สะดวกตรงที่แยกชิ้นส่วนไว้เรียบร้อย แก้วอยู่ส่วนถังแก้ว จานอยู่ส่วนถังจาน ฯลฯ แต่ปัญหาคือ การไม่รู้จักรักษาของส่วนรวม แทนที่ของใช้จะใช้ได้นาน กลับเป็นต้องสิ้นเปลืองงบประมาณในการจัดซื้อจัดหามากมาย ผมมองขอบจานใส่อาหารเที่ยงที่วางตรงหน้า มีแต่รอยบิ่น ทำให้ได้ข้อคิดว่า การพยายามทำให้ง่าย บางทีเป็นการสอนให้มักง่ายเกินไป 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

- ผมเพิ่งปั่นจักรยานผ่านกลุ่มนักศึกษาคณะครุศาสตร์ เนื่องจากเขากำลังทำกิจกรรมรับน้อง ซึ่งต้องใช้ถนนและทางเท้าด้วย ผมต้องหยุดจักรยานเพื่อขอทางผ่าน นักกลุ่มหนึ่งทักทาย ผมบอกเขาว่า อย่ารุนแรงกับน้องเขามากเน้อ...เขาทักผมว่า รองเท้าขาดเป็นรูแล้วนั่น (รองเท้ากีฬา) ผมบอกว่า จนเงินจะซื้อใหม่ เขากล่าวว่า หื้อ.... (เหมือนจะไม่ืเชื่อ) ผมบอกเขาว่า ไม่เชื่อเธอคอยดู ชีวิตครูที่เธอจะเป็นมีอยู่สองอย่างคือ ยากจนทรัพย์สินและหนี้สินพอกพูน พวกเขาทำตาเลิกลัก...ผมหัวเราะและปั่นจักรยานออกจากกลุ่มนักศึกษา



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

วันนี้ นักศึกษา ป.ตรี รปศ. ท่านหนึ่งพูดว่า "ไม่มีอนาคต แต่มีประโยชน์" ผมเห็นคุณค่าอีกอย่างหนึ่งในตัวเขาทันที เพราะสิ่งนี้ทำให้ผมได้คิดว่า "คนเราที่เรามองว่าเขาไม่มีอนาคต อาจเกิดจากการที่เขาไม่ได้เรียนหนังสือเป็นต้น แต่เขาอาจมีประโยชน์ในหลายด้าน การมองคนจึงน่าจะมองที่ "เขาทำอะไรเป็นบ้าง" มากกว่าใ่ช่ไหม"



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

บ่ายสามโมงวันนี้ ผมไปธุระที่ มจร.วังน้อย แล้วกลับมาที่ทำงาน ใช้บริการลิฟต์เพื่อขึ้นชั้นสาม ออกจากลิฟต์ปุ๊ป เพื่อนท่านหนึ่งบอกว่า "อ.อมร เสียชีวิตแล้ว" ผมอุทานว่า "ห๋า" ซึ่งมีอมรเดียวใน มรภ.แห่งนี้ ที่ "ห๋า" เพราะ เมื่อวานตอนเย็นยังทักกันเลย ท่านขับรถซูซูกิ vitara สีขาว แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจ จึงไปถาม อ.ท่านหนึ่งซึ่งสนิทกับ อ.อมร จึงเป็นอันแน่ใจ "โรคหัวใจล้มเหลว" ตอนนี้อยู่ในความดูแลของญาติ..."เสียดายแท้" จุติ จุตํ อรหํ จุติ ขอให้ไปสู่สุคติ...ชีวิตนี้เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ต้องจากกันไปไม่หวนคืน



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

"สูงส่งอย่างสง่า" ข้อความนี้เกิดขึ้นเมื่อไปอ่านงานและดูภาพจากบันทึก http://www.gotoknow.org/blogs/posts/491031 ผมมีความคิดว่า การที่คนเราจะสูงส่งและสง่างามต่อไปในอนาคตต้องมาจากความสะอาดของตนที่ผ่านมา ขอบคุณ ความรู้สึกนี้ที่ได้จากการเห็น



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

จิตสำนึกในของใช้ส่วนรวม

  วันนี้ผมลองถามเจ้าหน้าที่ว่า ทาง GE มีคอมพิวเตอร์ให้ยืมไหม เจ้าหน้าที่ตอบว่า มีครับ เพิ่งซื้อมาไม่นาน บางตัวยังไม่มีใครใช้ อันที่จริงผมลองถามดู เผื่อว่าวันหนึ่ง นศ.ต้องการใช้ จะได้ยืม ครั้นเมื่อถามแล้วจะไม่ยืมก็กระไรอยู่ จึงยืมมาใช้ซะเลย เป็นโน๊ตบุ๊คยี่ห้อ lenovo เมื่อนำมาใช้ "วาว" ไม่ต้องรอนาน "ปรี๊ดกว่าเครื่องส่วนตัวเยอะเลย" ยังเอี่ยมอยู่เลย ครั้นเมื่อสังเกตดู ปรากฎว่า มีรอยคนใช้แล้ว เช่น จะเห็นรอยนิ้วมือบนที่พักส้นมือ อย่างไรก็ตาม ก็ยังใหม่อยู่ เห็นจากยังไม่มีการแกะพลาสติกที่ติดริมขอบหน้าจอ แต่ทำไมฝุ่นขนมีอยู่เยอะจัง ให้นึกถึงเครื่องส่วนกลางของคณะฯ ทั้งรอยมือทั้งอะไรต่อมิอะไรเลอะเทอะไปหมด ยังไม่นับถึงรอยขีดข่วน รอยกระทบฯลฯ ดูเหมือนแต่ละคนใช้อย่างเดียว โดยไม่เคยใส่ใจ ดูแล ถนุถนอมเหมือนของใช้ส่วนตัว เห็นทีชาวบ้านคงเสียภาษีมาให้คนในหน่วยงานของรัฐถลุงเล่นกันสนุกสนานเป็นแน่แท้ ตะกี้เดินผ่านคณะหนึ่งเขียนว่า "จิตอาสา" ในใจของผมคิดว่า คำว่า อาสา แปลว่าอะไร การทำเพื่อสังคมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนหรือ ตอนนี้มาคิดเพิ่มว่า แล้วการถนุถนอมของใช้ส่วนร่วมจะถือเป็นจิตอาสาหรือไม่



ความเห็น (3)

ข้อความน่าคิดดีนะคะ แต่กว่าจะอ่านจบปวดตาเลย บางชุดสีกับพื้นหลังมันตัดกันไม่พอ อ่านยากมากค่ะ

  • ต้องขออภัยด้วยครับ เพิ่งลองเล่นสีน่ะครับ
  • แก้ไขแล้วครับ

มีสีบ้างก็ทำให้อ่านสบายขึ้น เพราะมีจังหวะเว้น แต่ถ้ามากไปก็ลายตาน่ะค่ะ ขอบคุณที่ช่วยแก้ไขนะคะ

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

ค่ำนี้ (ขณะนี้ ๒ มิ.ย.๕๕ /๒๑.๑๖ น.) ข้างบ้านกำลังจัดเลี้ยงบวชนาคในวันพรุ่งนี้ ต้องยอมรับว่า เครื่องเสียงดีมากหากเทียบกับหลายๆงานที่ผ่านมา เพราะเสียงที่ออกมาไม่บาดหู เสียงเบสหนักแต่ไม่รกหู เสียงกลางและเสียงเล็กพอเหมาะ บางเพลงจะเปิดเสียงดังมาก แต่ไม่อันตรายหู (อันที่จริงเกินข้อกำหนดแน่ๆ) คาราโอเกะวันนี้เหมาะกับเพลงสามช่ามากกว่า หากใครต้องการโชว์เสียงร้องของตน มีอันต้องหล่นตุ๊บ เพราะความแน่นของเบส อย่างไรก็ตาม งานนี้มีการเลี้ยงหงษ์ทองแบบแบน ต้มยำหมู แกงคั่วไก่บ้าน ปลาทอดกรอบ ฯลฯ พรุ่งนี้ นาคเข้าโบสถ์บวชเป็นพระ เหอๆ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

ระหว่างเดินรอเวลารถที่สายใต้เพื่อเดินทางไปสงขลา (๓๑ พฤษภาคม ๕๕) มีความคิดเรื่องนี้เกิดขึ้น "อนาคตมีอยู่ หากเราบรรลุเหตุปัจจัย" (ตอบปัญหาทางปรัชญาที่ว่า อนาคตมีอยู่หรือไม่) / ทฤษฎีจริยธรรมคู่ขนาน เช่น เมตตา คู่กับ เว้นการฆ่า เป็นต้น (๑๑.๐๐ น.) / ผศ.รศ.ก็เท่านั้น ผศ.รศ. : กับดักทางสังคม (๑๒.๓๐ น.) / พุทธศาสนาแบบศรัทธาชนกับพุทธศาสนาแบบปัญญาชน แตกต่างกันอย่างไร ทำไมจึงทำให้ลงตัวกันไม่ได้



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

เมื่อคืน (30 พ.ค.55) เพื่อนสมัยเมื่อ ๒๕ ปีที่แล้ว แวะมาเยี่ยม ไปกินข้าวกันที่ร้านลุงนวย หน้า มจร. พร้อมด้วยสมาชิกอาจารย์จากสุราษฎร์ฯอีก ๔ ท่าน คุยกันพอเหมาะ ผมกลับมานอนคิดที่ห้องเช่าว่า...ความก้าวหน้าในการทำงานและการศึกษา (ไม่ใช่เกียรติยศ เงิน และตำแหน่ง หากแต่เป็น ปริมาณงานและรูปธรรมของงาน) ของเราน้อยเหลือเกิน เราต้องทำอะไรมากกว่านี้ ไม่ใช่เช้าชามเย็นชามอย่างที่ผ่านมา "วันคืนล่วงไปเราทำอะไรอยู่ อาหารในวันหนึ่งๆที่เข้าไปในท้อง แปรเป็นสิ่งมีสาระกี่มากน้อย"



ความเห็น (2)

เราอยู่ใกล้กันเเต่ทำไมไม่เจอกันสักทีครับ อาจารย์ :)

ก็ อ.จตุพร วิ่งทั่วประเทศนี่ครับ ส่วนผม ก็เรื่องไร้สาระมากไปหน่อยครับ บอกอีกสองท่านแล้วแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยได้เจอกัน ยกเว้น อ.ประกาศิต ต้องมีสักวันสิน่า

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

- อย่าอายที่จะต้องใช้บริการรถสองแถว แต่จงอายที่จะต้องมารยาเสแสร้าง (ความคิดเกิดเมื่อเห็น นศ.หน้า มรภ.สี่คนขึ้นรถสองแถว บางคนอายที่จะขึ้นรถสองแถวจึงต้องใช้บริการรถหรูอื่นๆ)

- อย่าอายที่จะต้องปั่นจักรยานทุกวัน แต่จงอายที่จะต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อความมีหน้ามีตาในสังคม ด้วยการเอาเกณฑ์การมีทรัพย์สินทางวัตถุมากกว่ามาเป็นตัววัด

- อย่าอายที่จะถูกใครตราหน้าว่ากล่าวทั้งเรื่องจริงและไม่จริง เราเท่านั้นรู้ตัวเอง คนอื่นเขาเคยให้ข้าวสักช้อน ให้เงินสักบาทหรือไม่ ขึ้นชื่อว่า แม่จะไม่สนใจว่าลูกดีร้ายอย่างไร อย่างไรก็ลูกฉัน

- ยังไม่เจอกับตัวก็ยังไม่รู้



ความเห็น (2)

เป็นภาพความจริงที่เห็นแล้วรู้สึกหดหู่ ดูเศร้าใจ อนาคตชาติ นะคะ

เพราะค่านิยม ด้วยเลียนแบบ ด้วยสื่อ หรือด้วย คิดไม่เป็น ?

หรือต้องเริ่มสอน เรื่องกตัญญู รู้รากเหง้า ท้าวความบรรพบุรุษ กันใหม่

จึงจะได้ซาบซึ้ง ฝังลึกในจิตใจ ว่าอะไรสำคัญกว่ากัน ขอบพระคุณค่ะ

 

การเข้าใจของสังคมทุกวันนี้ยึดติดที่ชื่อเสียงทรัพย์สินเฟอร์นิเจอร์มากไปคลายพักชีโรยห้นาประมาณนั้นครับ ( ทุกร์ไม่กลัวๆไม่เท่)

dejavu monmon
เขียนเมื่อ

จากการฟังคนทั้งหลายพูดกัน "มีสิ่งใดที่ท่านพูดโดยสิ่งนั้นท่านคิดได้เองบ้าง สิ่งดังกล่าว มิได้เก็บคำพูดของผู้อื่นมาปรับปรุงสำนวน"



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท