สวัสดีค่ะ คุณธ.วั ช ชั ย
ยินดีและดีใจจังเลยที่คุณ แวะมาเยี่ยมนะคะ ดิฉันเห็นด้วยว่าเีิื้รื่องกฎ/หลักทางภาษานี่น่าสนุกไม่น้อยเลย บทความนี้ดิฉันตั้งใจจะนำเสนอภาพการใช้ภาษาไปตามปรากฏการณ์ที่เห็น ขณะเดียวกัน โดยบทบาท ดิฉันก็มีหน้าที่อธิบายปรากฏการณ์และความเปลี่ยนแปลงอย่างที่เป็นว่าถูกต้องตาม "หลัก" หรือไม่
ซึ่ง"หลัก"ที่ว่านี้สนุกนักอย่างที่คุณ ธ.วั ช ชั ย บอกเลยค่ะ เพราะสามารถทำให้ครูภาษาไทยกับนักภาษาศาสตร์สามารถนั่ง"อภิปราย"กันได้เป็นวันๆ บางครั้ง เกณฑ์ที่เราตั้งกรอบและพยายามจะยึดไว้นั้น มันไม่เข้ากับธรรมชาติ ความนิยมและสภาพการใช้งานจริง ซึ่งดิฉันคิดว่าครูควรจะกล้าอธิบายและชี้ให้เด็กเห็น มิใช่เลือกอธิบายเฉพาะส่วนที่ตรงเป๊ะตามกฏโดยละเลยส่วนที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ และปล่อยให้เป็นความสงสัยติดข้องของนักเรียน
อย่างไรก็ตาม หากทิ้งเกณฑ์ทั้งสิ้นไว้เบื้องหลัง และสร้างของใหม่ขึ้นตามใจตนอยู่เป็นนิจ ก็อาจทำให้เกิดความต่าง และช่องว่างของความไม่เข้าใจขึ้นได้อีกมาก เพราะกว่า"สัญลักษณ์แทน...." จะกลายมาเป็นภาษา และกว่าภาษาจะพัฒนา(ความหมาย)มาจนกลายเป็นภาษา(ความหมาย)ประจำกลุ่มชน ที่พูดกันแบบเข้าใจได้โดยไม่ต้องไต่บันไดความหมายจากรูปธรรมไปหานามธรรมทีละขั้นนั้น ใช้เวลายาวนาน และมีที่มาที่ไปเบื้องหลังอย่างซับซ้อนลึกซึ้ง และการถ่ายทอดภาษาของกลุ่มชนใดๆ ก็มีจุดมุ่งหมายที่ลึกซึ้งกว่าการเขียนสะกดคำและจำความหมาย เพราะนั่นคือการถ่ายทอดวิธีคิด และการส่งผ่านวิถีชีวิตแบบซึมลึก
หากเราปล่อยเด็กๆให้ใช้ภาษาตามสบาย โดยไม่เรียนรู้และทำความเข้าใจที่มาที่ไปของ"กลไกภาษา "(หรือกลไกการสร้างความหมาย)ชุดนั้นๆอย่างลึกซึ้ง ถึงวันหนึ่ง ภาษา(และความหมาย)ชุดใหม่ก็สามารถเข้ามาแทนที่ได้อย่างรวดเร็ว และความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว...ก็อาจมิได้เป็นคุณแก่ชีวิตเสมอไป ดิฉันก็นึกสนุกเมื่อนึกถึงคำว่า "หลัก" นะคะ เพราะความหมายหนึ่งของคำว่า"หลัก" คือที่มั่น หากยึดที่มั่นทางภาษาไว้ไม่ได้ สักวันหนึ่ง...ความเป็นชาติก็อาจจะหลุดลอยไป เพราะหลักฐานร่วม(หลักฐานหนึ่ง)ของความเป็นชาติ(ถ้าเชื่อว่าความเป็นชาติมีอยู่จริง)ก็คือการ(พยายาม)ที่จะใช้ภาษา(กลาง)เดียวกันนี่เอง
ว่าแล้วดิฉันก็สนุกของดิฉันต่อไปตามบทบาทค่ะคุณ ธ.วั ช ชั ย
ในบทบาทของครูที่สอนครูภาษาไทย ดิฉันก็คงต้องพร่ำบ่นต่อไปด้วยความเข้าใจ (คืออย่างน้อยดิฉันก็เข้าข้างตัวเองว่าดิฉันเข้าใจ) ว่าที่พร่ำสอนและบ่นไปนั้นเพื่ออะไร และถึงแม้ไม่บอกตรงๆ ดิฉันก็เชื่อเอาเองว่าเด็กๆเข้าใจ : ) : ) ดิฉันจึงบอกเด็กๆด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ความเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์นั้นจริงอยู่ แต่เราต้องอยู่แบบ"รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง"ด้วย เราจึงจะสืบทอดอะไรบางอย่างที่เรามั่นใจว่าดีแล้ว เหมาะแล้ว ต่อไปได้
ตอนที่พูดถึงประโยคสำคัญนี้ ดิฉันคาดว่าเด็กๆจะตั้งอกตั้งใจฟังด้วยความซาบซึ้ง
... และได้ผลเช่นเคยค่ะคุณ ธ.วั ช ชั ย ดิฉันขึ้นแท่นเทศนาทีไร เด็กหลับ(เนียนๆ)ไปกว่าครึ่งห้องทุกที : ) : )
ว่าแล้วดิฉันก็ต้องปลุกให้นักศึกษาตื่นขึ้นมาเขียนคำว่า ค่ะ กับ คะ ใหม่ให้ถูกต้องอีกครั้ง แม้ว่าจะโดนเธอบ่นเอาบ้างด้วยสายตา เพราะทำใจได้แล้วว่าการฝึกให้เด็กๆเข้าใจคำว่า"ที่มั่น"นั้น อาจต้องใช้เวลายาวนาน แม้แต่ดิฉันเอง ...ถึงเวลาหนึ่งก็อาจจะต้องทำความเข้าใจเสียใหม่ เมื่อเวลาเปลี่ยนไป...
ขอบพระคุณคุณ ธ.วั ช ชั ย มากๆนะคะที่แวะมาและให้ข้อคิดที่อ่านแล้วสบายใจ เพราะดิฉันเองก็ยอมรับได้กับภาษาที่เปลี่ยนไป มีความสุขที่จะใช้ภาษาอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่เคร่งเครียดอะไร แต่ก็มั่นใจที่จะสื่อสารกับเด็กๆเรื่อง "ที่มั่น" เพราะนั่นเป็นหน้าที่โดยตรงของครูภาษาไทย ดิฉันหวังเพียงว่าลูกศิษย์(ที่เป็นคนไทย) จะเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายที่ดิฉันพยายามสื่อสารไปทั้งหมดนี้....
...โดยไม่หลับไปเสียก่อนที่จะถึงประโยคสำคัญนะคะ : )