รถตู้ของมหาวิทยาลัยเคลื่อนตัวช้า ๆ เข้าสู่อาณาบริเวณโรงเรียนบ้านห้วยข่าเฒ่า เด็กนักเรียนที่กำลังเดินละวิ่งเล่นในเส้นทางที่รถตู้เคลื่อนผ่านต่างหยุดนิ่งและคำความเคารพด้วยการโค้งคำนับ หรือไม่ก็พนมมือไหว้อย่างพร้อมเพรียง โดยไม่สะทกสะท้านต่อฝุ่นที่คลุ้งตลบเป็นทางยาวราวกับทะเลฝุ่น
เราออกเดินทางจากมหาสารคามตอนตี 4 ของวันที่ 28 มกราคม 2550 มาถึงค่ายก็ตอนเกือบ 9 นาฬิกา
ก่อนการปิดค่ายกิจกรรมต้านลมหนาวสานปัญญา ผมได้รับเชิญจากผู้นำนิสิตให้กล่าวอะไรสักเล็กน้อยกับนิสิต นักเรียนและชาวบ้าน ผมถามกลับแบบขำ ๆ ว่า “ที่ว่าอะไรสักเล็กน้อยนั้นคืออะไร ?” นิสิตท่านนั้นก็บอกว่า “อะไรก็ได้ แต่ท่าจะให้ดีอยากให้กล่าวในทำนองซึ้ง ๆ , ประมาณนั้น”
ผมไม่ใช่คนที่จะพูดซึ้งและตลกโปกฮาเก่งนัก จึงวิตกไม่น้อยกับการถูกรับเชิญเช่นนี้ ยิ่งต้องยืนถือไมค์อยู่กลางสนามโล่งเป็นเป้าปะทะลมหนาวที่ชัดเจนเช่นนี้ก็ยิ่งสั่นไหวอยู่เป็นระยะ ๆ
ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี (อะไรสักอย่าง) เบื้องต้นจึงได้แต่กล่าวขอบคุณทุกคนทุกฝ่ายที่ช่วยให้มีกิจกรรมนี้ขึ้น (แต่ไม่ได้ขอบคุณลมหนาวที่ช่วยให้เราได้มาพบกัน) แต่บัดดลผมก็นึกขึ้นได้ว่านิสิตเพิ่งนำ “ธงชาติ” ผืนใหม่มาเปลี่ยนให้กับทางโรงเรียน หลังจากที่ผืนเก่าขาดร่องแร่งโบกปลิวต้านแดดต้านฝนมาอย่างยาวนาน ซึ่งผมจึงเห็นช่องที่จะพูดขึ้นว่า
“ขอบคุณหมู่บ้านที่ยังมีเด็กน้อยวิ่งเล่น เพราะเด็กคือลมหายใจของหมู่บ้าน
ขอบคุณชาวบ้านที่รวมตัวอย่างเข้มแข็งเพื่อให้โรงเรียนหยัดอยู่จนไม่ถูกยุบ
ขอบคุณโรงเรียนที่ยังมีธงชาติโบกพลิ้วอยู่อย่างสง่างาม
เมื่อยังมีหมู่บ้าน และหมู่บ้านก็ยังมีเด็กน้อยวิ่งเล่นอยู่อย่างไม่รู้จบ ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะไม่มีโรงเรียนอยู่ที่นี่
ตราบใดที่ยังมีโรงเรียน มีชาติไทย ตราบนั้นเราก็ยังจะได้ร้องเพลงชาติและฟังเพลงชาติของเราอย่างเปี่ยมสุข
และไม่มีเหตุผลอื่นใดที่เราจะไม่ร้องเพลงชาติไทย เพราะเราต่างเป็นคนไทย, และเป็นคนไทยที่รักแผ่นดินไทย และพร้อมที่จะร้องเพลงชาติไทยให้คนทั้งโลกได้รับฟังอย่างไม่เขินอาย
ท้ายที่สุด ผมขอขอบคุณครูที่ยังหยัดอยู่เป็นที่พึ่งพิงของเด็กและชาวบ้าน
และโดยเฉพาะคุณครูผู้ซึ่งไม่คิดที่จะย้ายออกไปจากที่นี่...ขอบคุณครับ”
ผมพูดหรือกล่าวเช่นนี้ หรือไม่ก็ในทำนองนี้ ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ผมเห็นนิสิตและชาวบ้านหลายคนเริ่มน้ำตาเอ่อไหล และมีเสียงสะอื้นไห้เล็ก ๆ พร้อมกับชาวบ้านท่านหนึ่งก็รำพึงแทรกคำพูดผมขึ้นมาว่า “ฟังแล้ว ตื้นตัน อดร้องไห้ไม่ได้”
ทันทีที่รถตู้ของเราวิ่งพ้นอาณาบริเวณโรงเรียน ผมหันไปถามเจ้านุ้ยตากล้องที่ตามมาด้วยว่า “ตอนที่ผมพูดอยู่นั้น เห็นคนร้องไห้หรือเปล่า” น้องสาวก้านยาวของผมก็ตอบกลับมาว่า “เห็นสิพี่, เห็นคนร้องไห้ตั้งหลายคน !”
ผมแอบนึกอยู่ในใจอย่างเงียบ ๆ ว่า พวกเขาเหล่านั้นร้องไห้เพราะซึ้งซาบในคำพูด (อะไรสักอย่าง) ของผม หรือเพราะฝุ่นผงและลมหนาวต้องปะทะดวงตาปวดแสบ ปวดร้อน จนต้องน้ำตาไหล
จะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ เหนือสิ่งอื่นใด ผมดีใจที่เห็นธงชาติไทยยังโบกสะบัดพลิ้วงามอยู่กลางโรงเรียน
อาจารย์ อัมพร |
สวัสดีค่ะ คุณแผ่นดิน
อ. กฤษณา |