ตลอดเวลาสามเดือนกว่าๆ...
"พี่ต้อย" ต้องนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง....กินอาหารเหลวทางสายยาง
ปวดหนักปวดเบาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ลืมตามองมาดูผมบ้าง...เป็นการลืมตาครึ่งฝันครึ่งตื่น...
สายตาที่เหมือนจะขอบคุณผม...ที่มาล้างแผลที่มากมายตามร่างกายให้
แผลเก่าหาย...แผลใหม่ที่พุพอง และแผ่กระจายตามตัว
"พี่ต้อย" อยู่กับแม่...และลูกสาวเพิ่งจบปอหก...ลูกชายวัยใกล้เกณฑ์ทหารไปก่อสร้างที่กรุงเทพฯ
การนอนแน่นิ่ง...เพราะไปตัดอ้อย...ขากลับตอนพบลค่ำ....นั่งกะบะรถยนต์...ตกลงมาหัวน๊อคพื้น
ครอบครัวที่หาเช้ากินค่ำ...บางวันที่ผมได้เจอะเจอกระด้างข้าวของแม่พี่ต้อย....และลูกสาว "น้องพลอย"
ผมไม่ได้รังเกียจอาหารที่เห็นตรงหน้า...แต่นึกสะท้อนใจว่า....ชีวิตของคนเราบนโลก
แตกต่างกัน...เหมือน "ฟ้ากับเหว"
ครอบครัวเลือกที่จะนำพี่ต้อยออกจากโรงพยาบาล...ค่ายาไม่ได้เพราะมีบัตรทอง
แต่คุณแม่พี่ต้อยที่ไปเฝ้าพี่ต้อย...ต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรมากมาย...
เมื่อกลับมาอยู่บ้าน...ก็มีพี่สาวมาดูแลเรื่องอาหารให้
ส่วนทีมของผมก็มาล้างแผล...ดูแลการปัสสาวะ...และบริบาลเล็กๆ น้อยๆ
แต่เราก็รู้สึกเจ็บปวดว่า...ช่วยอะไรได้เพียงเท่านี้เหรอ...เหมือนทำอะไรสักอย่างแล้วไม่สุดๆ...
การประสานงานขอความช่วยเหลือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง...
รู้สึกว่ายากเย็นจัง...วิธีที่ง่ายสำหรับผม คือ
เมื่อมีโอกาสได้พูดที่ใดก็ตาม...ผมไม่รู้สึกอับอาย
ที่ขอรับบริจาคคนในชุมชน....แต่หารู้ไม่คนในชุมชนยื่นมือให้การดูแลอย่างเอื้ออาทรกัน
มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในแต่ละวันกับผมและครอบครัวนี้....
บางสิ่งได้บันทึกไว้...บางสิ่งได้หายไปพร้อมกับความหลงลืมที่ผ่านพัดกับวันเวลา
แต่สิ่งหนึ่งที่จำได้แม่นยำแจ่มชัดมากที่สุด...คือ "น้องพลอย"...ซื้อของขวัญให้พี่ต้อยหรือคุณพ่อ
ในวาระเทศกาลปีใหม่...กล่องของขวัญที่ห่อสวยงามรอคอยพ่อตื่นขึ้นมาและเปิดมันออกดู
ของขวัญอยู่ใต้เตียงนอน...
น้องพลอยบอกผมว่า...คุณหมออย่าเพิ่งบอกใครๆ นะว่า ข้างใน คือ เสื้อใหม่สำหรับพ่อ
น้องพลอยเก็บตังค์ค่าขนมไปโรงเรียน
บางวันได้ไปโรงเรียน...บางวันก็หยุดเรียนดื้อมาอยู่กับพ่อ...
คุณครูเข้าใจเหตุผล...ให้จบชั้นปอหกไม่กี่วันที่ผ่านมา
และเป็นวันแห่งการยุติกับการไปโรงเรียนอย่างเป็นทางการของน้องพลอย
เมื่อวานผ่านพ้นวันจันทร์ไม่นาน...เวลาตีสาม...
พี่ต้อยก็จากโรคที่เจ็บปวด....เดินไปอีกโลกหนึ่งที่ไม่มีใครล่วงรู้
คุณยายแม่พี่ต้อยบอกกับผมตอนเช้าเมื่อผมรับรู้เรื่องว่า
ตอนสี่ทุ่มพี่ต้อยชักเกร็ง...คงเป็นอากาศร้อน...ไข้สูง...จากบาดแผลเต็มตัว
ญาติๆ ลงมติว่า...ไม่นำไปโรงพยาบาล
เป็นสิ่งที่ตอนผมเรียนจบใหม่ผมยอมรับไม่ได้นะ
ว่า...ทำไมเราไม่ช่วยเหลือคนเจ็บให้สุดๆ
แต่เวลาผ่านไป...หัวใจของผมคงจะเย็นชากับความตายก็ได้นะ
ญาติๆ ก็มานอนเฝ้ากันที่บ้าน
รอคอยความตายอย่างรู้เนื้อรู้ตัว
ตอนตีสอง...พี่ต้อยบ่งบอกอาการการตายแบบคนอีสานว่า
"ดังเหิน...หูแข็ง" (จมูกเหิน...หูแข็ง)...ระฆังแห่งความตายได้ก้องกังวานแล้ว
ญาติไปส่งคำสวดมนต์เพื่อส่งวิญญาณเดินไปข้างหน้า...
จัดกรามให้แนบสนิทกับปาก...ตาข้างสองให้หลับตาสนิท
พร้อมกับเสียงร่ำไห้...
ผมมาถึงเช้าตรู่...
บ้านของพี่ต้อย...ดูโล่งแตกต่างจากทุกๆ วัน
เตียงนอนของพี่ต้อยก็ไม่อยู่ที่เดิมแล้ว
งานศพของพี่ต้อยเป็นงานที่เรียบง่าย...เงียบสงบ
หน้าโลงศพ...ไม่มีรูปถ่าย...และถ้อยคำที่บ่งบอกถึงชื่อ...อายุ...เหมือนทุกๆ งานศพที่ผมได้พบเห็น
หน้าโลงศพ...มีสิ่งของวางเรียงราย
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจำได้ คือ กล่องของขวัญของน้องพลอยที่รอคอยให้พ่อเปิดมันออกดู...
การเตรียมงานสวดศพ...เรียบง่ายมาก...เงียบๆ
ตั้งแต่นิมนต์พระ...และจนสิ้นสุดพิธีกรรม
เลิกงาน...
ผมมาที่งานศพอีกครั้ง..
เพราะผมเป็นเจ้าภาพงานศพ...ตลอดระยะเวลา
ที่ได้มาเจอกัน...ความผูกพันย่อมมี...ถึงแม้ไม่ได้คุยกันแบบสองทาง...
มีเพียงผม...ที่ส่งเสียงคุยกับพี่ต้อยเท่านั้น
ความรู้สึกที่ว่า...ผมมาทำงาน หรือมาหน้าที่ที่ควรทำ...สำหรับผมไม่มีเลย
เพราะผมรู้สึกคุ้นเคยเหมือนมาบ้านญาติพี่น้อง...
......................
สวดศพเพียงวันเดียว...วันพรุ่งนี้...ก็เผา...
ชีวิตเราก็เท่านี้จริงๆ...
บนความเสียใจ และจิตตกที่เกิดขึ้นกับผม
สิ่งหนึ่งที่ต้องขอบพระคุณพี่ต้อย..
คือ...การเรียนรู้...
ชีวิตคนเราก็แค่นี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
ขอให้พี่ต้อยไปสู่ที่ชอบๆนะครับ
ความตายก็เหมือนกับสายมลมนะครับ
ไม่ว่าจะอยากหรือไม่อยาก ชอบหรือไม่ชอบ
สุดท้ายก็ต้องพัดผ่านไปอยู่ดีนั่นเอง
การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า จึงเป็นสิ่งที่ทุกๆ คนควรจะตระหนักรู้ให้มากที่สุด
เมื่อสังขารหมดสภาพใช้งาน การละวางจากไปช่วยให้พ้นทุกข์..บนความเอื้ออนุเคราะห์อย่างเต็มที่แล้ว..ขอให้กำลังใจค่ะ
.....ผมรู้สึกคุ้นเคย...เหมือนมาบ้านญาติพี่น้อง.....นี้คือ.... การทำงานจิตอาสา..และ....การทำงานด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ (Humanize Health Care) ....จริงๆ.นะคะ ..... เยี่ยมมากค่ะ ...
ผมอ่านบันทึกนี้เกือบไม่จบ เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอ มันตื้นตันด้วยความพล่ามัวของม่านน้ำตา...
ขอชื่นชมคุณหมอด้วยใจจริงครับ....
สิ่งที่เป็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน..คือ..ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา..เจ้าค่ะ..และชีวิตจริงๆคือเช่นนี้เอง..ยายธี..ขอให้คุณทิมดาบมีพลังกับการทำงาน..ด้วยจิตที่ว่าง..ดังท่านพุทธทาส..พร่ำสอนไว้เป็นร้อยปีแล้ว..ทำงานทุกชนิดด้วยจิตที่ว่าง..(ยายธี )
เป็นบันทึกที่พี่อ่านทุกตัวอักษร
ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผุ้วายชนม์ด้วยนะคะ
พี่คิดว่า คุณหมอ ทำดีที่สุดแล้วค่ะ ขอชื่นชมอย่างจริงใจ
สำหรับพี่เองอ่านแล้วได้เรียนรู้ว่า หมออนามัย มักจะมีความใกล้ชิดผูกพันกับชาวบ้านอย่างมาก
ในช่วงสุดท้าย ยังมีความเอื้ออาทรแบบนี้ ถือว่า 'ดีที่สุดในบริบทที่เขาเป็น' นะคะ
ตอนจบใหม่ๆ ก็สะท้อนใจ ทำไมคนไข้บางคนมีพร้อมทุกอย่าง เพียงปัสสาวะขุ่นนิดหนึ่ง ญาติก็รีบโทรมาปรึกษา
ทำไมบางคน...
-สวัสดีครับ..
-ชีวิต เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป..
-ขอให้พี่ต้อยไปสู่สุขติ ..
พบกันก็เพื่อจาก
สัจธรรมของชีวิต
..
ขอดวงวิิญญาณคุณต้อย...ไปสู่สุขคติครับ
..
...
เป็นกำลังใจในการทำงานนะครับ
คุณทิบดาบหามุมพักผ่อนของชีวิตบ้างนะครับ
ขอให้ไปสู่สุคตินะคะ และขอเป็นกำลังใจให้คุณพ่อน้องทิมดาบด้วยค่า
ทุกชีวิต เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นสัจธรรม
อ่านแล้วได้คิดครับ งดงามมาก และสะท้อนให้เห็นว่าในสังคมยังมีอะไรที่เราต้องทำอีกมาก
เป็นกำลังใจให้หมอและครอบครัวน้องพลอยครับ
สวัสดีค่ะ
แม้ความตายเป็นเรื่องธรรมดา แต่การก้าวไปสู่ความเป็นธรรมดาของ "พี่ต้อย" สะท้อนให้เห็นความงดงามในน้ำใจของบุคคลรอบข้างเป็นอย่างมาก
ขอบคุณ สำหรับการบอกเล่า เรื่องราวที่งดงามค่ะ
พี่ต้อยได้ใส่เสื้อที่น้องพลอยซื้อให้ในวันสุดท้ายไหมคะ...
...
ขอชื่นชมนะคะ ชีวิตที่ดีงามที่คุณทิมดาบได้ทำไว้เป็นบุญกุศล
ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวน้องพลอยคะ แล้วน้องพลอยจะได้เรียนต่อไปไหมคะ นี่คือคำถาม แล้วเราจะมีวิธีไหนที่จะช่วยได้คะ
การมีจิตอาสา นำพาซึ้งความผูกพัน ส่งกำลังใจในการทำงานต่อไปข้างหน้าเสมอ นะคะ
ศรัทธาแนวคิด วิถีการทำงาน......
ดวงวิญญาณของคุณต้อย คงเฝ้ามองและขอบคุณ......กับทุกสิ่งที่ทำ.....