หนังสือเล่มน้อย ชื่อตามชื่อบันทึกเขียนโดยพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก วัดสุนันทวนาราม จังหวัดกาญจนบุรี ในปี พ.ศ 2546 เป็นหนังสือที่ได้รับการระลึกถึงเสมอเพื่อเตือนตัวเองโดยเฉพาะในยามที่รู้สึกโกรธกับความเป็นไปหลายๆอย่างรอบตัว
หนังสือเล่มนี้ได้ช่วยให้รอดเมื่อเผชิญกับความโกรธมาหลายครั้ง เช่นเมื่อเร็วๆนี้โกรธกับการที่หลักสูตรที่เรียนใช้มาตรฐานเชิงซ้อน (Double standard) กับเรื่องการตีพิมพ์บทความก่อนสำเร็จการศึกษา โดยที่อนุโลมได้สำหรับบางคน เช่นเพื่อนนักศึกษาจากเมืองจีนไม่ต้องตีพิมพ์บทความให้แค่นำเสนอผลวิจัยแก่นักศึกษาด้วยกันเอง บางรายอนุโลมให้เขียนภาษาไทย บางรายอนุโลมให้เขียน literature review ก็ได้ แต่กับบางรายกลับไม่อนุโลมกำหนดว่าต้องผลวิจัยเท่านั้น เมื่อถามก็ได้คำตอบจากเลขาคณะกรรมการหลักสูตรว่า“เพราะนักศึกษาไม่ยอมจบสักทีเลยต้องให้เขียนลงวารสารต่างประเทศ” และ “ขึ้นกับอาจารย์ที่ปรึกษา” แต่เมื่อเรียนถามต่อว่าบทความของตัวเองที่ตีพิมพ์ไปแล้วอาจารย์ที่ปรึกษาบอกว่าใช้ได้ แต่กรรมการหลักสูตรบอกว่าไม่ได้ ก็ได้รับคำตอบคลาสิกว่า “เพราะประธานหลักสูตรบอกว่าไม่ได้”
เริ่มรู้สึกโกรธเพราะคิดว่าได้พยายามถามด้วยเหตุผลว่า รหัสการศึกษาเดียวกัน หลักสูตรเดียวกันทำไมใช้มาตรฐานต่างกัน แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นว่า “คุณมีปัญหาหรือ งั้นก็รีบๆ หาเรื่องมาเขียน หาวารสารลงเสียซิ ฯลฯ” รู้ตัวทันทีว่าโกรธ เพราะถูกเบี่ยงประเด็นจากมาตรฐานหลักสูตรมาพุ่งเป้าที่คนถาม นั่นคือ ใจไปรับรู้ว่าคนตอบมองว่าคำถามที่ถามเป็นปัญหาของผู้ถาม ไม่ใช่ปัญหาของหลักสูตร อย่างนี้เลยโกรธเพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันด้วยเป้าหมายคนละทาง
ขณะที่โกรธจึงนึกถึงหนังสือเล่มน้อยนี้ ที่พระอาจารย์บอกว่า “เมื่อเรากระทบอารมณ์ที่ไม่พอใจ จะโกรธ อยากโกรธ หยุดทำ หยุดพูด หยุดคิด หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ จนกว่าใจจะสงบสบาย เมื่อเราไม่พอใจ ไม่ต้องคิด อย่าคิดไปตามอารมณ์ คิดว่า ทำไมเขาทำอย่างนี้ เขาไม่น่าทำเช่นนี้”
ทันทีที่คิดถึงหนังสือก็เริ่มผ่อนลมหายใจและใจก็สงบลง อดทนฟังสิ่งที่ท่านเลขาพูดจนจบ ได้ขอบคุณท่านที่กรุณาแนะนำให้รีบเขียน รีบหาวารสารลงตีพิมพ์ และสุดท้ายก็เรียนท่านไปตรงๆว่า ไม่ใช่ปัญหาส่วนตัวว่าไม่มีเรื่องจะเขียนจะลงพิมพ์เพราะขณะนี้ก็เขียนบทความกับอาจารย์ที่ปรึกษาอยู่ ส่วนการเขียนบทความภาษาไทยนั้นถึงจะไม่เป็นที่ยอมรับของประธานหลักสูตรแต่ก็เป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีมาก ที่พูดที่ถามเพราะต้องการเห็นมาตรฐานของหลักสูตรที่ไม่ยึดติดกับตัวบุคคล สุดท้ายท่านก็รับว่าจะเอาที่พูดกันไปปรึกษาในคณะกรรมการ ผลต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรก็สุดจะคาดเดาแต่ก็ไม่เป็นไรเพราะเมื่อเริ่มทำตัวเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อนแล้ว ก็ลองดูต่อ
เรื่องนี้จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่กลับมาวิเคราะห์ตัวเองว่า การอ่านหนังสือมากๆ และมีหนังสือที่จะช่วยให้ใจรอดได้บ่อยๆ ในยามที่ต้องเผชิญกับความโกรธที่เข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวก็จะสามารถรอดพ้นจากการจมอยู่ในกองไฟแห่งโทสะ หรือความโกรธได้เร็วขึ้น แต่ก็คิดว่าคงต้องพยายามฝึกปฏิบัติไม่ให้ความโกรธก่อตัวขึ้นเลยจะดีกว่า เพราะความโกรธจะทำให้เกิดทุกข์ดังเช่นข้อเขียนในหนังสือว่า “เมื่อเราสามารถดับไฟได้ เมื่อนั้นก็เย็นสงบสุข ไฟโทสะร้ายกาจเป็นข้าศึกต่อความสุข ถอดโทสะเพียงสิ่งเดียวออกจากจิตใจ ก็จะไม่ต้องต่อสู้กับคนรอบตัว โลกทั้งหมดจะสงบเย็น มีแต่คนน่ารัก มีแต่คนน่าสงสารควรแก่การเมตตา กรุณา”
เวลาที่โกรธ...จะพบว่าลมหายไม่ปกติคะ..
จะตื้นและสั้น...
พอจับได้...ก็จะสูดลมหายใจยาวๆ...ลึกๆ...
ก็ช่วยได้ดีทีเดียวคะ...
และที่สำคัญหากยังไม่หาย ณ ตอนนั้น..ก็จะแผ่เมตตาให้กับสิ่งที่เรารู้สึกโกรธคะ
*^__^*
จริงด้วยค่ะ เวลาโกรธ ลมหายใจมันร้อน หงุดหงิด ตาแดงกล่ำ และพูดปากสั่นด้วย เสียบุคลิก
ไม่โกรธดีกว่า...ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณค่ะ คุณสุชานาถ ..Dr .Ka-Poom(ระยะหลัง Dr หายไป...) อาจารย์ขจิต อาจารย์ปภังกร และอาจารย์สิริพรค่ะ
โกรธทำให้เสียหายทั้งกายและใจของตัวเอง..
ไม่กล้าบอกว่าจะไม่โกรธแล้ว...แต่ว่า คิดๆ ว่าการฝึกผ่อนลมหายใจบ่อยๆ น่าจะยับยั้งอารมณ์โกรธที่กำลังจะคุได้ดีค่ะ
อาจารย์ปภังกรคะ อย่าให้ใครๆเหมือนดิฉันเลยค่ะ...เพราะชอบไปตั้งข้อสังเกตอะไรๆ แล้วระงับไม่ถามไม่ได้..องค์กรอาจจะไม่ค่อยชอบหน้าเท่าไหร่ค่ะ...
ขอบคุณอาจารย์มากนะครับสำหรับประสบการณ์และข้อคิดดีๆ
อ่านเสร็จแล้วทำให้ผมนึกย้อนหลายเรือง
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า
นี่น่ากลัวที่สุดก็คือ
การที่คนไม่รุ้ว่า ตัวเองกำลังโกรธ
ข้อปฏิบัติของผมเวลาที่เกิดความไม่พอใจและกำลังจะลุกลามเป็นความโกรธ(ทำให้สงบ เย็น ทุกครั้ง)
ขอบคุณค่ะ คุณคนไกลและอาจารย์บวร
ความโกรธคงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ ถ้ามีสติและปัญญา อย่างที่อาจารย์บวรกรุณาเล่าวิธีการสร้างสติด้วยปัญญา
การรู้เท่าทันจึงน่าจะเป็นเครื่องวัดสติว่าเร็วหรือช้านะคะ
อ่านจากที่คุณคนไกลพูดถึงว่า มหาวิทยาลัยเป็นที่รวมทาสทางการศึกษาและมีหลุมพรางทางการศึกษาหลายหลุม ..สนใจโดยพลันค่ะ...มีความหมายอย่างไร และจะกรุณาอธิบายขยายความให้ได้หรือไม่คะ