หากได้มีโอกาสพักค้างคืนที่บ้านจีนยูนนาน “รุ่งอรุณ” เราจะสังเกตว่า ในช่วงเช้ามากๆและเย็นของวัน จะเห็นเด็กๆ ตี๋ หมวยกลุ่มใหญ่ เดินทางเป็นกลุ่มๆ ไม่รู้ว่าไปทำอะไรที่ไหน
อาเหลียง คุยกับผมเรื่องราวเกี่ยวกับ “โรงเรียนเพยเต๊อะ” ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้าน
ใช่แล้วครับ! เด็ก เดินทางไปโรงเรียนเพื่อไปเรียนภาษาจีน ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์(Ethnic identity) แสดงถึงความเป็นตัวตนของคนพลัดถิ่น (Diaspora) อย่างพวกเขา
โรงเรียนเผยเต๊อะ มีคุณครูอยู่ประมาณ ๑๐ คน เกือบทั้งหมดเป็นชาวบ้านที่มีโอกาสได้เรียน มีความรู้เชี่ยวชาญด้านภาษาพอที่จะถ่ายทอดสู่เยาวชนได้ การบริหารจัดการโรงเรียนขึ้นอยู่การบริหารของชุมชน ในรูปของคณะกรรมการชุมชน น่าสนใจตรงที่ ชุมชนเล็กๆชุมชนหนึ่ง ที่เป็นชุมชนที่ถูกเบียดให้เป็นคนชายขอบ(Marginalization) ถูกละเลยจากภาครัฐในอดีต เป็นความพยายามในการบริหารจัดการชุมชนภายใต้บริบทที่ซับซ้อนหลากหลาย จะมีสักกี่ชุมชนที่ไม่มีผู้ใหญ่บ้านอย่างเป็นทางการ ไม่มีสมาชิก อบต. เพียงเพราะเป็นเหตุผล ว่าเป็นหมู่บ้านบริวาร และประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวจีนอพยพถือบัตร “จีนฮ่ออพยพ”
โรงเรียนได้รายได้จาก ๒ แหล่ง ด้วยกันจาก ประเทศสิงค์โปร์ผ่านมิชชันนารีสอนศาสนา และส่วนหนึ่งเก็บจากผู้ปกครองเด็กนักเรียนที่ถัวเฉลี่ยจ่ายกันเอง มีนักเรียนประมาณ ๑๑๐ คน สอนตั้งแต่ระดับ อนุบาล จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ ๓ เวลาเรียนก็จะต้องแตกต่างจากโรงเรียนของรัฐ(ไทย) คือ เรียนช่วงเช้าที่เวลา ๐๖.๐๐ น – ๐๗.๐๐ และช่วงเย็น เวลา ๑๘.๐๐ น.- ๒๐.๐๐ น. เพราะช่วงกลางวันปกติเด็กนักเรียนทั้งหมดจะต้องเรียนที่โรงเรียนไทยนั่นเอง การจัดระบบการภาคการเรียนเหมือนกับโรงเรียนทั่วไป คือ ๒ ภาคเรียน พร้อมมีการสอบการเลื่อนชั้น
ด้วยความจำกัดเรื่อง “งบประมาณ” การใช้จ่าย หมวดเงินเดือนของครูจะไม่สูงมากนัก ครูใหญ่ มีเงินเดือน ๘,๐๐๐ บาท ส่วนครูน้อยก็อยู่ที่ ๓,๐๐๐- ๕,๐๐๐ บาท
“แต่ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ที่ทางสิงค์โปร์ จะอุดหนุนงบประมาณบางส่วนให้ทางโรงเรียนอย่างนี้ ต่อไปอีก” อาฉั่ง ครูใหญ่วัย ๕๐เศษบอกกับผม ในวันนั้น
อาเหลียง บอกต่อว่า “ คงจะต้องใช้จ่ายอย่างจำเป็นจริงๆและทางคณะกรรมการชุมชน คงจะมีการประชุมปรึกษา หารือกันว่า จะมีวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างไร”
เท่าที่ผมสังเกตทั้งคุณครูและนักเรียน ต่างให้ความสนใจ ใส่ใจกับการเรียนรู้และการถ่ายทอดเป็นอย่าง นับแต่ผมก้าวเข้าไปในเขตโรงเรียน ก็ได้ยินเสียงเด็กนักเรียนท่องภาษาจีนกัน โทนเสียงแหลมสูงที่ไม่เคยจางหายไปจากบรรยากาศของโรงเรียนทั่วๆไป
แม้คุณครูที่มาสอนที่โรงเรียนเผยเต๊อะ ไม่ได้ร่ำเรียนจากสถาบันที่ผลิตครูที่ชำนาญด้านการถ่ายทอด แต่ด้วยจิตวิญญาณ ของการเป็นผู้ให้ การรักและหวงแหนในวิถีวัฒนธรรมของพวกเขาเอง ทำให้คุณครูทุ่มเท ทั้งกายและใจเต็มที่ ในการเป็นแม่พิมพ์ให้สำหรับเด็กๆในชุมชน “คนพลัดถิ่น” แห่งนี้
ชุมชนจีนยูนนาน บ้านรุ่งอรุณ หมู่ ๕ ตำบลห้วยผา อำเภอเมือง จ.แม่อ่องสอน
สัมภาษณ์ คุณอาเหลียง ,คุณอาฉั่ง,ผู้นำเลาไก่
มีเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้ "คนพลัดถิ่น" เป็นพลเมืองชั้นสองอยู่ตลอดเวลา อาจเป็นด้วยประเด็นความมั่นคง หรือประเด็นอื่นๆ ไม่อาจจะทราบได้...ทำให้ คนพลัดถิ่นเอง ไม่มีทางเลือกมากนักในการ "อยู่"
ปัญหายาเสพติด ปัญหาการลักลอบเข้ามาทำงานโดยไม่ถูกต้องตามกฏหมาย ตลอดจนปัญหาอื่นๆที่ถูกผลักว่า เป็น "ผลผลิต" ของ คนเหล่านี้
ความลำเอียง (Bias) แหล่งผลประโยชน์ ยังคงเข้มข้น ...ปัญหาที่ซับซ้อนก็กลายเป็นปมที่ยากเกินกว่าจะแก้ไข
การที่นักพัฒนา "เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา" จึงเป็นดั่งยุทธวิธี ในการทำงานกับชุมชนให้สำเร็จและยั่งยืน
"การเปิดใจให้กว้างเพื่อมิตรภาพ และความรู้ คงจะดีไม่น้อย.." ...
ขอบคุณครับ naigod
ที่เข้ามาให้ข้อคิดเห็น
เห็นด้วยกับคุณ naigod และคุณจตุพรนะครับ เพราะนี่คือความหลากหลายที่เราต้องยอมรับ ชุมชนหรือผู้เรียนคือศูนย์กลาง ไม่ใช่เราจะหนดว่าจะต้องมีแบบเดียวเหมือนกันหมด อีกไม่นานเราก็จะพบปัญหาที่ยากที่จะแก้ได้ เพราะทุกอย่างเหมือนกันหมด เช่น ความต้องการทำงาน วัฒนธรรม ประเพณี ฯลฯ
เหมือนกับในชนบทปัจจุบัน ภาษา/วัฒนธรรม/วิถีชีวิต ฯลฯถูกกลืน....ที่เราได้เห็นวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรมเพียงการนำมาแสดงเพื่อให้นักท่องเที่ยวหรือคนต่างถิ่นได้ดู ได้ชมเท่านั้น แล้วก็พูดอย่างภาคภูมิใจว่า "ในอดีตเราเคยมี.....ที่ดีงานเช่นที่นำมาแสดงนี้"
แต่ชุมชนในบันทึกนี้ หากเขารักษาสมบัติทุกด้านของสังคมของเขาไว้ได้ เราน่าจะยินดีและสนับสนุนนะครับ
ขอบพระคุณ คุณจตุพรสำหรับบันทึกดีๆ ที่นำมา ลปรร.ครับ
พี่สิงห์ป่าสัก
กล่าวอีกนัยก็คือ การแสดงความเป็นตัวตนของกลุ่มชาติพันธุ์ ครับ โดยเฉพาะ ในเมืองไทย กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ พยายามจะหาจุดยืนในสังคมที่มีชนชั้นวรรณะ และ Bias อย่างชัดเจนเช่นปัจจุบัน ...
เมื่อได้ร่วมทำงานกับชุมชเป็นคนใน (Insider)เราพบ "ความเจ็บปวด" หลายอย่างที่เกิดจากคนในสังคมเดียวกัน
อยากให้โอกาสพวกเขาครับ อยากจะสนับสนุน...อยากให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ เอื้ออาทร
ความรู้สึกและกิจกรรมต่างๆที่พานพบ ผมพยายามเรียงร้อยผ่านทางบันทึกใน Blog ครับ ...ขอบคุณครับที่เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยน เรียนรู้กันครับ
เราเชื่อได้แค่ไหนว่ารัฐไทยจะเปิดโอกาสให้พลเมืองชั้นสองของประเทศได้มีโอกาสลืมตาอ้าปากได้เท่าเทียมกับ "คนไทย" ทั่วไป
ส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่า เป็นไปแทบไม่ได้เลย เพราะแนวคิดของรัฐทุกรัฐต้องกดหัวคนที่เป็นกลุ่มวัฒนธรรมย่อยไว้อยู่แล้ว
ส่วนหนึ่ง เพื่อความมั่นคงของรัฐ คือถ้าปล่อยให้มีความหลากหลาย รัฐจะรวมศูนย์อำนาจสั่งการลำบาก
อีกประการคือเพื่อความมั่งคั่งของผู้ที่เสวยประโยชน์จากอำนาจรัฐเอง ถ้าเอาชนชั้นมาจับ ก็คือชนชั้นปกครอง นักการเมือง และนายทุน
อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา ทุกรัฐในโลกเขาก็ทำกันอย่างนี้ เพียงแต่ดีกรีความเข้มอาจแตกต่างกันไปบ้าง
ดังนั้น ผมคิดว่าจะโฆษณาชวนเชื่อให้รัฐใจกว้างอย่างไรก็ไร้ผล เพราะรากฐานความคิดของรัฐมันไม่เอื้อ
อาจจะมีข้าราชการผ่าเหล่าอย่างคุณจตุพร แต่ก็จะถูกข้าราชการด้วยกันมองอย่างเคลือบแคลง
เหมือนพวก X-Mens ในหนัง ที่ถูกแอนตี้โดยรัฐบาล ทั้งๆที่พวกเขาเป็นฮีโร่อย่างในหนัง ยังไงยังงั้น
ผมคิดว่าต้องสร้างทางเลือกใหม่ในการพัฒนา ให้กับคนชายขอบเหล่านี้ เช่น การสร้างเครือข่ายใหม่ๆข้ามพรมแดนผ่านโลกไซเบอร์ การผลิตสื่อทีสะท้อนตัวตนความคิดของพวกเขาให้ประชาชนพื้นราบได้รับรู้ สร้างสรรค์รูปแบบให้ชนชั้นกลางและ "นายทุนกลับใจ" ที่มีหัวคิดก้าวหน้าได้สื่อสารกับพวกเขา
และในส่วนของนักวิจัย นักพัฒนา ก็ต้องตั้งคำถามอยู่เสมอว่า การพัฒนาที่เราทำอยู่ แท้จริงแล้ว เป็นตัวหมากที่ใครชักใยอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า
ประวัติศาสตร์สอนว่า รัฐเองจะให้คุณค่ากับคนเมืองหลวงมากกว่าคนชายขอบเหล่านี้เสมอ
พูดง่ายๆก็คือ ในสายตาของรัฐบาล ชีวิตคนกรุงเทพสำคัญกว่าคนจีนยูนนาน คนลีซู คนกะเหรี่ยง
ถ้าคุณจะอยู่เคียงข้างคนจนเหล่านี้ คุณก็ย่อมถูกเหยียดโดยรัฐและเหล่าบรรดาสาวกเป็นธรรมดา
ร้ายขึ้นมาหน่อย ก็ถูกกำจัดออกจากพื้นที่ จากหน่วยงาน หรือแม้แต่จากประเทศนี้ โลกนี้
นี่เป็นเรื่องความรุนแรงที่ไม่เพียงเกิดขึ้นกับคนชายขอบนะครับ แต่ยังลามไปถึงคนที่อยู่ต่อสู้ร่วมกับพวกเขาอีกด้วย
อันนี้ ผมเข้าใจความอึดอัดของคุณจตุพรดี และค่อนข้างเป็นห่วงคุณจตุพรอยู่ลึกๆ
แต่ยังไง ก็จะร่วมให้กำลังใจเสมอครับ