เมื่อปลายปีที่แล้วผมได้ไปสมัครเรียนโยคะอยู่ 2 เดือน ช่วงนั้นจำได้ว่าหลังเลิกงานถ้าไม่ติดอะไรก็จะต้องพยายามไปให้ได้ เพราะเสียเงินไปเต็มจำนวนแล้วต้องไป “ให้คุ้มค่า” ถ้าไปบ่อยครั้งเวลาหารเฉลี่ยออกมาราคาก็ดูไม่สูงนัก แต่ถ้าไปน้อยครั้งก็จะรู้สึกว่าราคาต่อครั้งค่อนข้างแพง วิธีคิดเช่นนี้มีส่วนดีก็คือทำให้ช่วงนั้นขยันไปเรียน ซึ่งก็ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อร่างกายเพราะทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ตั้งแต่ต้นปีผมได้สมัครเป็นสมาชิกของ Fitness Club แห่งหนึ่ง (มีเครื่องออกกำลังกายอันทันสมัยและยังมี Class โยคะให้เรียนได้อีกด้วย) ช่วงนั้นมี Promotion สำหรับการเป็นสมาชิก “ตลอดชีพ” ลดราคาให้สุดๆ แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องสมัครเป็นสมาชิกทั้งสามีและภรรยา แรกๆ ผมก็ไม่มั่นใจแต่แล้วก็ทนการรบเร้าของภรรยาไม่ไหว เห็นว่าถึงอย่างไรก็เป็นการลงทุนในเรื่องสุขภาพ น่าจะยอมเสียเงินจำนวนนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ดีกับตัวเรา
มาถึงวันนี้ผมอยากจะสารภาพกับทุกๆ ท่านว่า ตั้งแต่เป็นสมาชิกมา ผมยังไม่เคยไปใช้บริการเลย ไม่ใช่ว่าผมเพิกเฉยเรื่องการออกกำลังกายนะครับ ผมเองมีเครื่องวิ่งสายพานอยู่ที่บ้าน สัปดาห์หนึ่งก็ใช้ 2-3 ครั้ง ส่วนตอนเช้าก็ฝึกโยคะเป็นประจำทุกวันๆ ละ 30-40 นาที แต่ที่ยังไม่ได้ไปใช้บริการเครื่องออกกำลังกายที่ Fitness นี้ ก็เป็นเพราะว่าต้องหาเวลาและต้องขับรถไป ไม่สะดวกสบายเหมือนการออกกำลังกายที่บ้าน ต้องจัดสรรเวลาเหมือนกับช่วงที่ไปฝึกโยคะมาเมื่อปลายปีที่แล้ว ผมถามตัวเองว่า “แล้วทำไมตอนนั้นหาเวลาไปได้ล่ะ” . . . ซึ่งก็ได้คำตอบว่า . . . เป็นเพราะช่วงนั้นเสียเงินไปแล้ว ต้องพยายามไปให้คุ้มค่าก่อนจะหมดเวลา 2 เดือน ไม่เหมือนกับตอนนี้ ที่ยังไม่ไปก็ได้ เพราะรู้สึกว่ามีเวลา “ทั้งชีวิต” เนื่องจากเป็นสมาชิกตลอดชีพ มีความรู้สึกเหมือนกับว่ายังมีเวลา “อีกนาน”
คำว่า “ตลอดชีวิต” นี้ จริงๆ แล้วไม่มีอะไรการันตีเลยว่า “อีกนาน” มันอาจจะหมายถึงเวลา “ไม่กี่ปี ไม่กี่เดือน หรือไม่กี่วัน” ก็ได้ แล้วถ้ามันไม่ได้นานเหมือนที่เราคิด แล้วเรื่องความคุ้มค่าล่ะหายไปไหน? เราใช้ชีวิตทุกลมหายใจอย่างคุ้มค่าแล้วหรือยัง? อยู่กับสิ่งที่คาดหวังหรือปรารถนาแล้วหรือยัง? หรือยังคงมีความหวังลมๆ แล้งๆ ว่า “ยังมีเวลาอีกนาน” ?
มีคนส่งรูปนี้มาให้ ผมตั้งชื่อว่า "ยังยิ้มได้ แม้เมื่อ(อุทก)ภัยมา" . . . น่าทึ่งจริงๆ
พี่ใหญ่ขอแชร์ประสบการณ์เรื่องนี้....เมื่อก่อนอยู่ในวัยเดียวกับอ.ประพนธ์ พี่ใหญ่ขาดวินัยในเรื่องการออกกำลังอย่างแรง..ยกเว้นเมื่อถูกชมรมเทนนิสของ ธปท.มาเคี่ยวเข็ญให้ลงแข่งขัน senior match (เพราะหาใครว่างลงในทีมไม่ได้) จึงฟิตหยิบไม้แรคเก็ตมาซุ่มซ้อมแบบเอาเป็นเอาตายอยู่พักหนึ่งที่สโมสรกิฬาที่เป็นสมาชิก...แต่นอกจากนี้แล้ว...นานๆจึงโผล่ไปที..เสียค่าบำรุงไปฟรีๆอย่างไม่น่าให้อภัย...
หลังเกษียณ...คิดได้แล้วค่ะ....ชีวิตเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ขอสร้างวินัยในการออกกำลังอย่างเคร่งครัด...เลือกว่ายน้ำและ jogging..เพราะไม่ต้องรอใคร...
เห็นด้วยกับอ.ประพนธ์ว่า การออกกำลังไม่ต้องเลือกสถานที่.. อยู่บ้าน สร้างอุปกรณ์ออกกำลังที่เหมาะสม ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง...แต่สำคัญที่สุด คือรักษาวินัยอย่างต่อเนื่อง...แล้วจะติดเป็นนิสัย...ถ้าไม่ได้ออกกำลังแล้วจะหงุดหงิดค่ะ...
สวัสดีคะ
ออกกำลังกายที่บ้านเหมือนกันคะ
แต่พี่ก็ยังชอบผลัดวันประกันพรุ่ง แย่จังคะ ต้องรีบปรับปรุงโดยด่วน
มิน่าละคะ อาจารย์ ดูสดชื่นและหุ่นดีจังคะ
อ่านบันทึกอาจารย์แล้วทำให้นึกถึง Memory ยี่ห้อหนึ่งที่เป็นเจ้าตลาดอุปกรณ์เสริมคอมพิวเตอร์ครับ เขารับประกันอุปกรณ์เขาตลอดชีพ แต่ภายในไม่กี่ปีคอมพิวเตอร์หลักที่เราซื้อ Memory นั้นไปเสริมก็ตกรุ่นแล้วครับ
โยคะที่บ้าน ตามท่าที่เราทำได้ ดีที่สุดค่ะ เพราะทำได้เท่าที่ต้องการ
ขอบคุณพี่ใหญ่มากครับสำหรับการแชร์เรื่องการสร้างวินัยในการออกกำลังกาย คำว่า “วินัย” นี้ผมว่าเป็นคำที่สำคัญค่อนข้างมาก คนส่วนใหญ่ได้ยินคำว่า “วินัย” แล้วก็นึกนึกไปถึงการทำตามคำสั่งอย่างวินัยของทหาร ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว “วินัย” ที่เราพูดกันโดยทั่วไปนั้นหมายถึงความสามารถในการ “สั่งตัวเองได้” หรือที่ดีกว่านั้นก็คือ “ทำไปโดยที่ไม่ต้องสั่ง” เลย
พี่ต้อยครับ . . . ที่พูดว่า “. . . และหุ่นดีจังคะ” สงสัยพี่อาจจะต้องไป “วัดสายตา” นะครับ ตอนนี้พุงกำลังจะเกินเกณฑ์ “คนไทยไร้พุง” ไปแล้ว
อาจารย์ธวัชชัย Touch จุดสำคัญของบันทึกนี้ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อครับ ก็คือไอ้คำว่า “ตลอดชีพ” หรือ “ตลอดชีวิต” นี่แหล่ะครับ ที่มันทำให้เรา “ประมาท” และพลาดเวลาปัจจุบันไปเสียฉิบ !
ใช่เลยครับ คุณแก้ว . . . ผมใช้แนวทางของอาจารย์กวี ที่สถาบันโยคะวิชาการ โดยยึดหลักสี่ประการ (ในการฝึก) ดังต่อไปนี้ 1. นิ่ง 2. สบาย 3.ใช้แรงแต่น้อย และ 4. มีสติรู้ตัวอยู่ทุกขณะตลอดเวลา และเป็นการฝึกท่าพื้นฐาน 14 ท่า ครับ . . . เคยเขียนเรื่องการไปเข้าคอร์ส "โยคะ ธรรมะหรรษา" ไว้เมื่อต้นปี ใน beyondKM นี้ครับ
สวัสดีครับอาจารย์
ผมมีกรณีของตัวเองที่อยากจะแบ่งปันกันอ่านดูครับ
สำหรับผม เหตุที่บีบให้ต้องไปฟื้นฟูสุขภาพคือ "ความตาย" ครับ
ตั้งแต่ต้นปีนี้ ผมรับรู้ได้ถึงอาการ "กำลังตก" ชัดเจนกว่าที่ผ่านมา กำลังตกที่ว่านี้คือ กินเท่าไหร่ก็ไม่มีกำลัง หิวบ่อย กินมาก แต่ไม่มีกำลัง พลังลมหายใจก็แผ่วเบา ผมรู้ว่าผมกำลังป่วย และก็รู้การแพทย์เท่าที่ผมรู้จัก ไม่สามารถฟื้นร่างกายผมได้
ผมปล่อยให้ร่างกายเป็นไปตามกฎของธรรมชาติตั้งแต่กลางปีที่แล้ว หลังจาก "จิตตื่น" ขึ้นมา ผมทำงานอย่างปกติ โดยไม่ใส่ใจกับอาการป่วยทางกาย เพราะในตอนนั้นพร้อมแล้วที่จะ "ละร่าง" ได้ทุกเมื่อ
ดูเหมือนว่า "บุญ" จะถึงรอบครับ ผมถูกดึงให้เข้าร่วมค่ายสุขภาพแพทย์ทางเลือกที่จังหวัดตรังเมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา ผมไปถึงวันแรก อาจารย์พากดจุดลมปราณ โยคะ เดินเร็ว ผมทำราวกับว่า "ย่องเบา" อย่างไรอย่างนั้นเลย
ผ่านไปวันถึงวันที่ห้าของการเข้าค่าย ผมเริ่มเห็นแสงสว่างอยู่ที่ปลายทางเดิน กำลังผมฟื้นกลับคืนมาราว 80% จากที่ก่อนมาเข้าค่าย พลังชีวิตเหลือแค่ประมาณ 10% ผมปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด จนถึงวันที่สิบของการเข้าค่าย กำลังผมฟืนคืนมา จะว่าเต็มร้อยก็ว่าได้ครับ เพราะผมทดลองเดินเท้าจากสถานีรถไฟตรัง มายังค่ายท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ได้อย่างสบาย ก่อนหน้านี้ เพียงแค่เห็นฝนตั้งเค้า ผมก็มีอาการหนาวสั่นรอแล้ว ไม่ต้องไปถูกฝนหรอก สมัยก่อน หากจะเดินเท้าเปล่าอย่างนี้ ผมต้องพกน้ำหลายลิตร เพราะร่างกายกระหายน้ำบ่อย หลังจากเข้าค่ายแล้วไม่ต้องเลย ผมได้ชีวิตสมัยก่อนที่จะเข้ามาอยู่กรุงเทพกลับคืนมาแล้วครับอาจารย์
จากการเรียนรู้ในค่าย ปัญหาสุขภาพของผม และอาจารย์หมอก็บอกด้วยว่า เป็นปัญหาสุขภาพของคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมือง จริง ๆ แล้ว คนในต่างจังหวัดที่ผมได้สัมผัสเมื่อผมกลับมาอยู่ในชุมชน คือ "ปัญหาร่างกายเสียสมดุลแบบมีภาวะร้อนเกินครับ" แต่คนส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าตัวเองร้อนเกิน เพราะ เครื่อง "เซ็นเซอร์" พังแล้ว ตัวอย่างเช่น ในกรณีคนที่กินเหล้าแล้วไม่รู้สึกเมาเป็นต้น หรือคนที่ต้องปรุงอาหารรสจัดขึ้นทุกวัน ๆ หรือที่เรียกว่า "เคยชิน" นั่นเอง
สาเหตุที่ร่างกายผมเสียสมดุลในแบบที่มีภาวะร้อนเกิน ก็เพราะ ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพนานไปหน่อย กินนอนไม่เป็นเวลา มลพิษมาก อาหาร(อร่อย)จัด โดยเฉพาะช่วงที่มาอยู่ปักษ์ใต้สองปีหลัง อาหารอร่อยมากครับ รสจัดทุกอย่างเลย จนกระทั่งว่า ความร้อนขึ้นเกินขีด จนกระทั่งตีกลับเป็นเย็น ร้อนตีกลับเป็นเย็น ตัวอย่างเช่น ร่างกายหนาวสั่น แต่เหงื่อออก เป็นต้นครับ
ระยะก่อนที่ผมจะไปเข้าค่อย ร่างกายผมร้อนขนาดว่า หนังศีรษะไหม้ดำเลยครับ เวลาอาบน้ำเสร็จ ถ้าเอาผ้าเช็ดตัวไปเช็ดที่หัว จะมีสีดำตีผ้าเช็ดตัวออกมาเลย ผมหนังก็ใกล้จะเปื่อยแล้วครับ เพราะไปโดนอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ถลอกเป็นแผลได้ง่าย ที่สำคัญเวลาเป็นแผล ความร้อนจะเผาแผลจนแผลมีรอยไหม้ดำ และหายช้าด้วยครับ
อาจารย์หมอที่มาจัดค่ายอธิบายกลไกการทำงานของความร้อนเกินในร่างกาย ที่ไปทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยว่า เมือร่างกายได้รับพิษร้อนเข้ามาจากช่องทางต่าง ๆ เช่น ความเครียด อาหาร มลพิษ สารพิษ และเชื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ร่างกายก็จะหาทางระบายความร้อนออก ในกรณีของผม ร่างกายระบายความร้อนทางน้ำ โดยผ่านระบบปัสสาวะ ผมจึงมีอาการปัสสาวะบ่อย และกระหายน้ำบ่อย การปัสสาวะแต่ละครั้งร่างกายจะขับโปแตสเซี่ยม ออกมาด้วย นี่เองที่เป็นสาเหตุว่า ทำไมผมถึงรู้สึกหมดแรงทุกครั้งหลังจากถ่ายปัสสาวะ พอหมดแรงผมกลับไปกินข้าวบ้าง กินน้ำหวานบ้าง สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้ร่างกายร้อนเข้าไปอีก ความรู้ในค่ายแนะนำว่า "ต้องรับประทานผักฤทธิ์เย็น" สด ๆ หรือผ่านไฟก็ได้
ในกรณีคนอื่นที่ผมรู้สึกในค่าย มีหลายอาการที่ไปเข้าค่ายด้วยกันครับ มีตั้งแต่ เพิ่งให้คีโมมาใหม่ ๆ จนถึงพูดไม่ได้เนื่องจากเส้นเลือดตีบ และเบาหวาน ความดัน อาจารย์หมออธิบายว่า (ยกตัวอย่างมะเร็งก็แล้วกันนะครับ เพราะดูเหมือนจะเป็นโรคยอดนิยมของเมืองไทยไปแล้ว) ความร้อนในร่างกายที่มากขึ้นในกรณีคนที่เป็นมะเร็งนั้น เพราะว่าร่างกายต้องการระบายความร้อนออก ณ อวัยวะที่เป็นมะเร็ง เช่นตับ เพราะตับเป็นอวัยวะระบายพิษร้อนที่สำคัญของร่างกาย พอความร้อนจะไปออกที่ตับมากเกินไป จนตับระบายไม่ทัน ความร้อนจะไปเผาทำลายเนื้อเยื่อบริเวณนั้นให้แข็งและไหม้จนเซลล์ในบริเวณนั้นตาย ร่างกายก็จะสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาแทนเซลล์ที่ตาย ทำให้เกิดก้อนเนื้อแข็ง ๆ ที่เรียกว่าเนื้อร้ายบ้าง หรือมะเร็งบ้างขึ้นที่อวัยวะภายในนั้น ๆ ความร้อนนี้สูงจนขนาดที่ว่า เม็ดเลือดขาวยังถูกเผาให้อ่อนแรงได้ครับ
...ผมชักจะใช้เนื้อที่ของอาจารย์มากเกินไปแล้ว...เอาเป็นว่า คณะคุณหมอที่มาจัดค่ายที่จังหวัดตรังนี้ มาจากกลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลอำนาจเจริญครับ ท่านที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อต้องการฟื้นฟูสุขภาพตัวเองก็ลองค้นหาช่องทางติดต่อเองครับ
สำหรับผม เหมือนเกินใหม่ครับ ที่สำคัญ ผมได้มีโอกาสไปบำบัดญาติพี่น้องที่บ้านเกิด ให้มีความ "ผาสุก" ขึ้นกว่า 30 คน และได้สอนให้พี่สามารถดูแลแม่ ได้ด้วยวิธีง่าย ๆ และที่สำคัญครับไม่ต้องใช้เงินสักบาท ยาก็อยู่ข้างบ้านเรานี่เอง
อาจารย์หมอถึงกับประกาศว่า "สูญบาท รักษาทุกโรค" และก็เป็นจริงครับ ผมไปเข้าค่าย ก็ไม่ต้องจ่ายเงินสักบาท จริง ๆ แล้ว ถ้าผมมีผมก็จะให้หมดเลยครับ แต่ผมมีเพียงแรงกาย ผมจึงอุทิศแรงกายช่วยเหลือคน ตามเจตนารมณ์ของอาจารย์หมอครับ
กราบขออภัยอาจารย์ประพนธ์ครับ ที่ใช้พื้นที่มากเกินความเหมาะสมครับ หากการแลกเปลี่ยนนี้พอมีประโยชน์ ขออุทิศแด่ทุกท่านครับ ความผิดพลาดผมขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว
ขอเพิ่มเติมให้อาจารย์ค่ะ
ออกกำลังกายโดยการวิ่งและระยะหลังเปลี่ยนเป็นเดินเร็วๆเมื่อ13ปีที่แล้วจากการไปเรียนหลักสูตรบริหารและมีอาจารย์มาสอนทำให้เกิดแรงบันดาลใจว่าฉันจะออกกำลังกายเพื่อไม่ให้เจ็บป่วยโดยทำทุกเช้าจนถึงปัจจุบัน
พยายามให้สามีไปด้วยแต่ไม่สำเร็จ สร้างวินัยให้ตัวเองว่าฉันต้องแข็งแรง และควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด ตั้งใจจะใส่ส้นสูงโดยออกกำลังเข่าทุกวันคล้ายๆจะควบคุมร่างกายให้ได้
4-5ปีต่อมา สามีมาออกกำลังด้วยโดยมาเดินเร็วๆที่มสท.ทุกๆเช้า แต่ไม่ยอมยืดเหยียดกล้ามเนื้อก่อนเดินถึงแม้หมอจะทำให้ดูเป็นตัวอย่างทุกวัน
ขณะนี้ดูเหมือนตัวเองก็แข็งแรงดี แต่เริ่มปวดเข่าบ้างทำให้ไม่กล้าใส่รองเท้าส้นสูงมากๆ
เรื่องนี้สอนหมอว่าการออกกำลังกายควรทำง่ายๆไม่ใช้เวลาและเงินมาก และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันคือเราได้คุยกันทำให้เพลิน เสร็จจากเดินก็ไปซื้อกับข้าวต่อบ้าง
ร่างกายที่เราไม่อยากให้ไม่เจ็บป่วยก็บังคับสังขารไม่ได้ ทำให้ยอมรับกับสภาพปัจจุบันแต่ก็พยายามดูแลร่างกายให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ค่ะ
การออกกำลังกายถ้าไม่เพลิดเพลินเช่นซื้อเครื่องมาแล้วก็มาวิ่งโดยไม่สนุกกับการวิ่งจะทำให้รู้สึกเหมือนถูกบังคับและน่าเบื่อ อาจจะทำได้ไม่นานค่ะ
ขอใช้พื้นที่อาจารย์เยอะหน่อยแข่งกับคุณสวัสดิ์นะคะ
สวัสดีค่ะท่านอ.
มาอ่านเรื่องราวดีๆ ต่อจากเรื่อง 5 ข้อควรรู้ก่อน ... ชอบมากค่ะ
เห็นเพื่อนเค้าไปโยคะ ทุกเช้าก่อนทำงานค่ะ เธอเล่าว่าตั้งแต่โยคะก่อน ไปปะทะคารม กับลูกค้า สามารถรับมือได้ดีมากๆ :)
ปูได้หนังสือมาเล่มเกี่ยวกับโยคะ ก็ผลัดวันผลัดคืนมาตั้งต้นปี แบบประมาณว่าทำไม่ค่อยได้ เลยเปลี่ยนเป็น ซักผ้าทุกเช้าแทน :)
ขอบพระคุณมากค่ะ เราใช้ชีวิตทุกลมหายใจอย่างคุ้มค่าแล้วหรือยัง? อยู่กับสิ่งที่คาดหวังหรือปรารถนาแล้วหรือยัง? หรือยังคงมีความหวังลมๆ แล้งๆ ว่า “ยังมีเวลาอีกนาน” ?
เรียน อ.ประพนธ์ค่ะ