บ่ายสองโมงเศษของเมื่อวาน หลังเซ็นแฟ้มจำนวนมากเสร็จสิ้นลง ผมถือโอกาสพาตัวเองออกมาจากโต๊ะทำงานและห้องหับอันจำเจ
- โดยมีวัดสุธรรมารามของบ้านหนองแข้ เป็นจุดหมายปลายทาง
วัดสุธรรมาราม, เป็นวัดที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่บ้านหนองแข้ ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม ครอบคลุมพื้นที่ทางใจและทางสังคมของชาวบ้านหนองแข้ หมู่ที่ 4 และ 21 จำนวนประมาณ 105 ครัวเรือน
ระยะทางจากมหาวิทยาลัยไปจนถึงวัดฯ ไม่ห่างไกลนัก แต่คะเนได้ว่าคงไม่เกิน 5 กิโลเมตร
ผมเลือกที่จะเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวหลังจากรู้ว่ารถตู้ของหน่วยงานไม่ว่างให้บริการ โดยแรกเริ่มเดิมทีกะจะชวนน้องๆ ในทีมงานลงพื้นที่ไปด้วย แต่เห็นว่าหลายคนกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่กับงานเฉพาะหน้าอย่างสาหัส เลยจำต้องล้มเลิกความตั้งใจนั้นทันที
- และเลือกที่จะ “บินเดี่ยว” แบบเก๋ๆ แทน
(ซ้าย) กุฏิสงฆ์ที่สร้างเมื่อปี ๒๕๑๘ (ขวา) ศาลาที่สร้างขึ้นเพื่อจัดเก็บสิ่งของเครื่องใช้ของวัด
การลงพื้นที่ของผมในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลัก ๒ ประการ
ประการแรกคือการไปพบปะเยี่ยมเยียนชาวบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วม (พูดราวกับเป็นนักการเมือง-เลยใช่ไหมครับ)
รวมถึงการไปดูสภาพพื้นที่หลังภัยน้ำท่วม (เผื่อช่วยอะไรได้บ้าง)
และที่สำคัญประการที่สองเลยก็คือ การไปสำรวจพื้นที่ในการจัดกิจกรรมสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ของวัดวาอาราม
จะว่าไปแล้ว ภารกิจทั้งสองประการนั้น ก็หาใช่หน้าที่โดยตรงของผม หรือแม้แต่หน่วยงานของผมที่ต้องรับผิดชอบ หากแต่เป็น “ภารกิจทางใจ” ที่ผมคิดอยากจะทำ และปรารถนาที่จะต่อยอดความคิดของตัวเองอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านั้น เคยได้ตะลุยออกไปจัดกิจกรรมในทำนองนี้มาแล้วเป็นระยะๆ
โดยส่วนตัวนั้น ผมปรารถนาที่จะเห็นมหาวิทยาลัยให้บริการด้านต่างๆ ต่อชุมชนรายรอบมหาวิทยาลัยอย่างสม่ำเสมอ ร่วมประสานใจสร้างชุมชนให้เป็น “ศูนย์การเรียนรู้” ร่วมกันระหว่างชุมชนกับมหาวิทยาลัย พร้อมๆ กับการส่งเสริมและสนับสนุนให้ชุมชนได้ยืนหยัดด้วยรากฐานอันเป็นภูมิปัญญาของชุมชน มากกว่าการเคลื่อนไหลไปตามกระแสทุนนิยม จนไม่หลงเหลือ “รากเหง้า” ให้แตะต้องสัมผัส
ดังนั้น ในระยะหลายปีมานี้ ผมจึงดิ้นรนหางบประมาณจากแหล่งต่างๆ ไปจัดกิจกรรมกับชุมชนรายรอบมหาวิทยาลัยเป็นระยะๆ ผ่านมิติของ “ค่ายอาสาพัฒนา” ในรูปแบบต่างๆ ทั้งค่ายสร้าง-ค่ายสอน-ค่ายเรียนรู้แบบบูรณาการ โดยหวังให้ชุมชนเกิดความตระหนักในคุณค่าและศักยภาพของตนเอง และเชื่อมโยงไปสู่การเปิดพื้นเป็น “ห้องเรียน” ให้นิสิตได้เข้าไปศึกษาเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งในหมู่นิสิตกับนิสิต และนิสิตกับชาวบ้าน
- มิติการเรียนรู้ที่ผมว่านั้น อาจหมายถึงมิติแห่งการเปิดตนเปิดใจสู่กระบวนการต่างๆ เป็นต้นว่า
· การทำงานเป็นทีม
· การเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี
· การวางแผนงานและบริหารจัดการ
· การคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
· การซึมซับวิถีวัฒนธรรมของชุมชนด้วยการฝังตัวอยู่ในชุมชน ฯลฯ
และที่สำคัญอีกอย่างที่ผมให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เลยก็คือ การปลูกฝังเรื่อง “จิตอาสา” หรือ “จิตสำนึกสาธารณะ” ให้แก่นิสิต เพื่อให้ความตระหนักถึงความรับผิดชอบทั้งต่อ “ตนเอง” และ”สังคม” เป็นที่ตั้ง ซึ่งกระบวนการทั้งปวงนั้น บางครั้ง ลำพังการเรียนรู้จากห้องเรียน ก็ไม่สามารถเชื่อมโยงมาสู่เรื่องเหล่านี้ได้เสียทั้งหมด
ส่วนเหตุผลของการเลือกพื้นที่ใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยนั้น ผมก็ตอบอย่างชัดเจนมาในทุกยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการแก่ชุมชนอันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย ความสะดวกในเรื่องระยะทาง ทั้งการริเริมและต่อเนื่อง
รวมถึงความสะดวกของการในเรื่องระยะทางและเวลาของการลงสู่การศึกษาเรียนรู้ของนิสิตกับชุมชน
ซึ่งไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินทางไปไกลแสนไกล ข้ามวันข้ามคืน จนเหนื่อยหนักคอพับคออ่อนอย่างที่พบเจออยู่ในปัจจุบัน
แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่าจะปิดประตูตายสำหรับการเดินทางไปยังที่อื่นๆ เสียทั้งหมด เพราะแนวคิดที่ว่านี้เพียงต้องการให้นิสิตมี “ห้องเรียนชีวิต” ในอีกนิยามหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัย ไปมาสะดวก..และเชื่อมความเป็นชุมชนกับมหาวิทยาลัยอย่างสนิทแน่นเท่านั้นเอง
ศาลาวัดที่เริ่มเสื่อมโทรมรอการซ่อมแซมปรับปรุง
และสำหรับครั้งนี้..
การมาเยือนวัดสุธรรมาราม จึงเป็นแต่เพียงการสำรวจพื้นที่ของการให้บริการชุมชนเท่านั้น ยังไม่หลงหลักปักใจว่าจะเลือกพื้นที่ดังกล่าวเป็นสถานที่ของการให้บริการทางสังคมและผูกโยงเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ หรือ “ห้องเรียนชีวิต” ของนิสิตและชาวบ้านแต่อย่างใด
โดยก่อนหน้านี้สักเล็กน้อย ผมได้รับข้อมูลข่าวสารจากชาวบ้านว่า “ศาลาวัด” กำลังผุกร่อน หลังคาเสื่อมโทรม มีรูรั่วกระจายเต็มไปหมด หน้าฝนคราใดน้ำเจิ่งนองทั่วพื้นศาลา ลำบากขนย้ายทรัพย์สินสิ่งของกันจ้าละหวั่น อีกทั้งพื้นที่ก็เริ่มคับแคบ งานบุญงานทานคนล้นศาลากันทุกปี –
ด้วยเหตุนี้แหละ ผมถึงจำต้องลากสังขารดุ่มเดินลงพื้นที่ด้วยตนเอง เพียงเพื่อมาดูให้เห็นกับตาว่าสภาพที่ว่านั้น จริงเท็จอย่างไร ? และเร่งด่วนแค่ไหน ? หรือพอจะช่วยอะไรได้บ้าง ?
- ซึ่งก่อนหน้านั้น ผมก็ประสานเรื่องงบประมาณบ้างแล้ว คาดว่าอย่างน้อย ก็คงพอมีทุนรอนให้ช่วยเหลือได้บ้างในระดับหนึ่ง
จากสภาพที่พบเจอนั้น
ศาลาหลังที่ว่านี้สร้างขึ้นในราวๆ ปี ๒๕๑๖ ตอนนี้สภาพผุพังอย่างเห็นได้ชัด หลังคามีรูรั่วเต็มไปหมด พื้นศาลาเริ่มมีอาการทรุด ผนังศาลาที่ก่อด้วยอิฐเอนทรุดรอทะลายตัวลงทุกขณะ จำต้องใช้ลวดขึงยึดไว้ในแน่นหนากับเสาไม้ที่หยัดยืนเป็นแกนหลักของศาลา
จากการพูดคุยกับแกนนำชาวบ้านรวมถึงพระเจ้าอาวาสนั้น ทำให้รู้ว่าเดิมทีลูกหลานที่ไปทำงานในกรุงเทพฯ จะนำผ้าป่ามาทอดถวายในห้วงสงกรานต์ แต่พอเจอพิษเศรษฐกิจแบบจังๆ เลยจำต้องชะล่าถอยออกไปอย่างน่าเห็นใจ พลอยให้แผนการซ่อมแซมนี้ชะงักลงอย่างไม่มีข้อแม้
- ส่วนทุนรอนที่มีอยู่ในมือหลายหมื่นบาทนั้น ก็ไม่เพียงพอต่อการซ่อมแซมเป็นแน่แท้ จึงจำต้อง “รอศรัทธา” และ “ปาฏิหาริย์” มาเกื้อหนุน
ด้านหลังของศาลาที่คาดว่าเป็นจุดที่ต้องทุบเพื่อขยายพื้นที่การใช้สอยให้กว้างขวาง
สิ่งที่ผมค้นพบข้อเท็จจริงบางประการก็คือ
ขณะนี้ ยังไม่แน่ชัดว่าจะซ่อมแซม ด้วยการมุงหลังคาและขยายห้องหับให้กว้างขวางขึ้น หรือไม่ก็รื้อออกให้หมด จากนั้นก็ยกเสาให้สูง เทคานใหม่และมุงหลังคาใหม่ไว้ก่อน ทีเหลือค่อนระดมทุนทำให้แล้วเสร็จ
ซึ่งแนวคิดหลังนั้น เรียกได้ว่าเป็นการทำใหม่ หรือสร้างใหม่เลยก็ว่าได้
และนั่นก็หมายถึงเงินก้อนโตไมใช่ย่อยเลยทีเดียว …
เพียงเพราะความต้องการที่ยังไม่แจ่มชัดนั้น ผมจึงร้องขอให้ชาวบ้านได้พูดคุยกันอีกสักรอบว่าต้องการอะไร ? มีแผนระยะสั้นระยะยาวรองรับหรือไม่ ? และงบประมาณต้องใช้เท่าไหร่ .?.มีทุนอยู่แล้วกี่บาท ? ฯลฯ เสร็จแล้วค่อยหวนกลับมาหารือกันอีกรอบก็ยังไม่สาย..
สิ่งเหล่านั้น คือทางออกที่ผมเชื่อว่าเหมาะสมที่สุด ทั้งการกลับไปสู่การถามตัวตนของชุมชนเองว่าต้องการอะไร ..และมีต้นทุนอะไรแค่ไหน ทุกอย่างที่มีอยู่สอดรับกับความเป็นไปได้กี่มากน้อยกันแน่ แต่ถึงกระนั้นก็เป็นที่น่ายินดีว่าชาวบ้านเปิดเผยข้อมูลว่า ขณะนี้มีเงินอยู่กี่หมื่น และจำนวนเงินที่ว่านั้น ก็พร้อมที่จะนำมาสมทบแบบไม่เกี่ยงงอน ขอเพียงมหาวิทยาลัยเข้ามาเกื้อหนุนอีกแรงหนึ่ง
อย่างน้อยเจตนารมณ์เช่นนั้น ก็พลอยทำให้ผมอุ่นใจถึงความเป็น “ส่วนร่วม” ของชุมชนอยู่มาก เพราะนั่นคือการยืนยันได้ว่า เราได้เริ่มต้นด้วยกัน และชุมชนก็รู้สึกถึงการเป็น “เจ้าของ” ในสิ่งที่เรากำลังจะให้บริการ
แต่ด้วยความที่ยังไม่ชัดเจนในสิ่งที่ต้องลงมือทำ ผมจึงยังคงไม่ให้ความหวังใดกับชาวบ้านมากนัก แต่รับปากว่าจะกลับมาพูดคุยกันอีกรอบ โดยเก็บงำแนวคิดของการสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ร่วมกัน (ห้องเรียนชีวิต) ไว้เงียบๆ …
ไว้ให้ชาวบ้านชัดเจนในสิ่งที่ต้องการ ค่อยมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือขายฝันร่วมกันอีกครั้ง
บางทีศาลาหลังที่ว่านี้ อาจไม่แต่เฉพาะเป็นพื้นที่การจัดกิจกรรมในทางศาสนาเท่านั้น หากแต่บางที อาจเป็น “ห้องเรียนชีวิต” อีกห้องหนึ่งเลยก็ได้ …
แต่ตอนนี้คงยังไม่ถึงเวลาที่ผมต้องสื่อสารอะไรไปมากกว่านี้..กระมัง !
แต่อย่างน้อยก็ยืนยันได้ว่า ผมจะยังคงเดินทางเพื่อสร้างห้องเรียนชีวิตให้เกิดขึ้นในชุมชนรายรอบมหาวิทยาลัยให้จงได้
- เพราะผมเชื่อว่า ในโลกใบนี้ ไม่มีที่ใดที่ไม่ใช่ “ห้องเรียน” ของ “ชีวิต
๑๖ ก.พ.๕๒
บ่ายคล้อยของวันทำงาน
ดีมากมากครับ นิสิต ได้จะเรียนรู้ พื้นที่ใกล้ มมส
สวัสดีค่ะมาชื่นชมและร่วมยินดีกับกิจกรรมดีๆค่ะ
ขอบคุณนะคะที่ให้ได้เรียนรู้ร่วมกัน
" ในโลกใบนี้ ไม่มีที่ใดที่ไม่ใช่ “ห้องเรียน” ของ “ชีวิต ^_^
สวัสดีครับ
ความจริง "บวร = บ้าน วัด โรงเรียน" โดยเฉราะ ร ตัวนี้ คือ สถาบันอุดมศึกษาแห่งภูมิปัญญา ซึ่งห่างกันแค่ 5 กม.
เป็นกำลังใจให้ครับ
สวัสดีค่ะ
สวัสดีคะ อาจารย์พนัส
มาเรียนรู้จากอารย์เพิ่มนะคะ
ภาพและตัวหนังสืออธบายได้ชัดเจนนะคะ
พี่ประกายโหวตให้รับรางวัลคะ
สวัสดีครับ อ.JJ
ช่วงนี้มาแรงใจและพลังกลับมาเขียนบันทึกอีกรอบ นั่นคงเป็นเพราะผมมีงานรับผิดชอบมากขึ้น กลับมายังที่เดิม ตำแหน่งเดิม และพ่วงแถมงานใหม่มาให้ทำ
เป็นธรรมดาที่ผมจะรู้สึกเสมอว่า ในเวลาที่งานหนักๆ นั้น ผมจะมีพลังเป็นที่สุด ซึ่งต่างจากช่วงว่างงานสิ้นเชิง ช่วงนั้น จิตใจจะเหี่ยวเฉา ไร้พลังชีวิต
นี่กระมังครับที่เขาว่า "เปลี่ยนงานหนัก...เป็นพลังชีวิต"
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ..อ.ขจิต ฝอยทอง
ความเป็น “ส่วนร่วม” ของชุมชน
ทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน
เปลี่ยนงานหนัก...เป็นพลังชีวิต"
พลิกวิกฤติ เป็นโอกาส ค่ะ
มาชื่นชมสำหรับความคิดอันมีคุณค่า
สวัสดีค่ะ อาจารย์แผ่นดิน
สวัสดีครับ เทียนน้อย
ผมมีความเชื่อว่าห้องเรียนของชีวิตอยู่รายรอบตัวเราเสมือนสายลมที่โอบล้อมเราอยู่ด้วยนั่นเอง
ในสมัยที่ยังเด็ก ผมมองว่านอกชานบ้านและสวนหลังบ้านเป็นห้องเรียนที่สนุกและตื่นเต้นมากที่สุดที่ผมหลงรัก นอนนับดาวและฟังเรื่องราวเกี่ยวกับท้องฟ้า,ดวงดาว,ดวงจันทร์ ..เมขลาล่อแก้ว...ฯลฯ ขณะที่สวนหลังบ้านก็มีเรื่องราวของใบหม่อน, ต้นมะเขือ, ต้นมะม่วง คอยหยอกล้อให้เข้าไปวิ่งเล่น..อย่างเป็นมิตร
นั่นแหละครับ ผมถึงเชื่อว่าทุกๆ ที่ ไม่มีที่ใดที่ไม่ใช่ห้องเรียนของชีวิต
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ pa_daeng [มณีแดง คนสวย แซ่เฮ]
ผมเข้าใจข้อจำกัดของการทำงานในระบบสายงานของป้าแดงนะครับ แต่กิจกรรมออกหน่วยให้บริการชุมชนของชาวหมอ,พยาบาลก็เป็นเรื่องที่ชวนยกย่องอยู่แล้ว
ในอดีตผมเป็นคนแรกเลยนะครับที่ทำค่ายในลักษณะสุขภาพ โดยประสานโรงพยาบาลในเขตพื้นที่ที่ออกค่ายมาช่วยตรวจสุขภาพและแจกจ่ายยาให้ชาวบ้าน ซึ่งในขณะนั้น ที่ "มมส" ยังไม่มีคณะแพทย์ ไม่มีคณะพยาบาล ไม่มีคณะเภสัช ไม่มีคณะสาธารณสุข ...
กิจกรรมในทำนองนั้น มาจากแรงบันดาลใจที่ตนเองอยู่บ้านนอกแล้วไม่ค่อยได้รับโอกาสทางสังคมในเรื่องนี้ ประกอบกับการอ่านนวนยิยเรื่องเขาชื่อกานต์ ...ก็เลยตั้งใจว่าถ้ามีโอกาส จะทำค่ายแบบนี้ให้ได้
....
สำหรับผมแล้ว, ...
ผมเป็นคนไม่ติดยึดกรอบจนเกินไปนัก ยึดเป้าหมายเป็นที่ตั้ง และเรียนรู้ที่จะใช้วิธีการต่างๆ ไปสู่เป้าหมาย บางครั้งอิงกรอบ บางครั้งนอกกรอบบ้าง...
แต่ทั้งปวงนั้น, ผมสบายใจที่ได้ทำ อยู่เฉยๆ เป็นทุกข์มากกว่า และที่สำคัญ ไม่ว่าด้วยวิธีการใดเราก็บรรลุเป้าหมายภายใต้กติกาที่ว่านั่นแหละ
...
ขอบคุณครับ
รักษาสุขภาพคักๆ เด้อ...
สวัสดีครับ อาจารย์แผ่นดิน
ขอเชียร์เต็มที่เลยครับกับโครงการดีๆ
ที่ช่วยลดช่องว่างระหว่างสถาบันการศึกษากับชุมชน
ผมเคยมีความคิดส่วนตัวเสมอว่า
สถาบันการศึกษาทุกแห่ง
น่าจะมีการตอบสนอง
และเอื้อประโยชน์ให้กับชุมชน
ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
มิใช่เพียงผลิตบัณฑิตเพื่อตอบโจทย์
ของสังคมเมืองใหญ่
นานๆ ไป ชุมชนก็จะล่มสลาย
สวัสดีค่ะอาจารย์ผู้เปี่ยมด้วยอุดมการณ์
ศรัทธาการทำงานของอาจารย์ที่บอกว่า "มีการอิงกรอบบ้าง บางครั้งต้องออกนอกกรอบบ้าง" ครูแป๋มว่าบางทีการทำอะไรในกรอบมักจะขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ จึงขอทำเพื่อความสบายใจ
อาจารย์ชอบ"เขาชื่อกานต์" ครูแป๋มชอบ "ครูบันนอก"ค่ะ
สวัสดีครับ กัมปนาท อาชา (แจ๊ค)
วัด,บ้าน และโรงเรียน ... คือ โรงเรือนแห่งการเพาะชำชีวิตของชุมชนโดยแท้เลยครับ
ตอนนี้พี่ออกพื้นที่ทำงานลักษณะนี้บ่อยมาก จนบางคนแซวว่า ย้ายไปอยู่ฝ่ายชุมชนสัมพันธ์แล้วหรือไร
การทำงานในทำนองนี้ เป็นเสมือนการตอบโจทย์รากเหง้าความเป็นเด็กชนบทของพี่เอง, ... ในอดีตต้องไปวัดทุกเช้า ถวายภัตตาหารเช้าเสร็จ ก็กินข้าวก้นบาตรค่อยมาโรงเรียน พอถึงเทศกาลสำคัญๆ ก็ขนน้ำเข้าวัด เป็นต้นง
ทั้งสามส่วน, เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งสำหรับพี่ -
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ ครูคิม
สวัสดีครับ พี่ ประกาย~natachoei ที่~natadee
ภาพและตัวหนังสืออธิบายได้ชัดเจนนะคะ
พี่ประกายโหวตให้รับรางวัลคะ
...
ขอบคุณครับ ว่าแต่โหวตให้คะแนนที่ว่านี้ โหวตทางใจ ไม่เกี่ยวกับรางวัลสุดคะนึงใช่ไหมครับ...
วิถีการโหวตรางวัลสุดคะนึงดูคึกคักมากเลย นั่นคือบทพิสูจน์เครือข่ายแต่ละคนเหมือนกัน ส่วนผมนั้น, ถอยมาสังเกตการณ์จะดีกว่า และปล่อยให้บันทึกของตัวเอง ได้บอกเล่าเรื่องราวของมันเอง ส่วนจะก่เกิดประโนชน์อันใดหรือไม่นั้น ก็คงขึ้นอยู่กับผู้อ่านเป็นสำคัญครับ,
....
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ . ศรีกมล
การทำงานกับชุมชน จะช่วยให้นิสิตเกิดความตระหนักถึงการช่วยเหลือสังคม และที่สำคัญก็คือ การฝากถึงนัยยะทางบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง โดยหวังว่า กิจกรรมเหล่านี้ จะสะกิดเตือนให้เขาได้หัวกลับไปถึงบ้านเกิดของตนเอง อย่างน้อยก็ให้มีความรู้สึกผูกพัน และพร้อมที่จะพัฒนา หรือช่วยเหลือตามโอกาสตามความเหมาะสม ต่อไป
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ กระติก~natachoei ที่ ~natadee
งานนี้เป็นเรื่องท้าทายมากเลยครับ โดยเฉพาะการกระตุ้นให้ชาวบ้านลุกขึ้นมาวางแผน บริหารจัดการสาธารณะประโยชน์ของตัวเองร่วมกัน ศาลาที่จะสร้างขึ้นมานี้ เป็นโจทย์ใหญ่ที่ชาวบ้านจะต้องถกคิดร่วมกันอย่างจริงจังว่า แผนระยะสั้นระยะยาวเป็นอย่างไร จะซ่อมแซม หรือวางโครงขึ้นใหม่ สิ่งเหล่านี้ ผมถือว่าเป็นเรื่องท้าทาย และน่าสนใจมาก
ตอนนี้, ผมจึงสนใจวิธีคิดของชาวบ้าน ว่าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ... ผมคงไม่ลงไปกำหนดอะไร อยากฟังเสียงของชาวบ้านเป็นที่ตั้ง
ขอบคุณครับ
อยากบอกอาจารย์ว่าถ้าจำไม่ผิดเคยไปวัดนี้ค่ะสมัยเป็นนักศึกษามีศึกษาศาสตร์ มข.กับ ม.มหาสารคาม สัมพันธ์ buddy พาไปไหว้พระที่วัดนี้ แต่ตอนนั้นเล็กกว่านี้มากๆ สมัยก่อนนั่งรถมอเตอร์ไวด์ไปค่ะ ไปทานแจ่วฮ้อนริมแม่นำที่ขามเรียงด้วยนะคะ
อ่านบันทึกและข้อความคิดเห็นที่ต่อๆ กันมาแล้วมีความรู้สึกดีค่ะ
ไม่ยึดติดกรอบ กลับไปทวนเรื่องราวในอดีต และเลือกทำดีที่สุดที่ทำได้เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ให้เรามี เป็น ได้ในวันนี้ ทำให้ใจของเราเบิกบาน ยินดี เท่าที่เรารู้สึกได้ด้วยตัว และใจเราเอง
และชอบประโยคนี้ของคุณแผ่นดิน "ทุกๆ ที่ ไม่มีที่ใดที่ไม่ใช่ห้องเรียนของชีวิต"
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับ อรวรรณ
ได้อ่านบันทึกแล้ว เสมือนได้พบเจอรุ่นพี่ร่วมสถาบันโดยแท้เลยครับ
ไดไปงานมข. มศว. สารคามสัมพันธ์ปี 35 เราน่าจะเรียนรุ่นใกล้เคียงกันนะคะอาจารย์
สวัสดีครับ ณภัทร๙
ด้วยความที่มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ในภูมิภาค จึงไม่ละทิ้งเรื่องของการช่วยเหลือชุมชน ตามพันธกิจของการบริการวิชาการและการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ดังจะเห็นได้จาก การจัดกิจกรรมร่วมกับชุมชนในหลายๆ มิติ ทั้งโดยมหาวิทยาลัย และทั้งโดยนิสิต ยกตัวอย่างเช่น
สวัสดีค่ะ อ.แผ่นดิน
หนักใจเรื่องโหวต แต่ก็โหวตให้อ.ยูมิ แล้วค่ะ มีหลายคนที่อยากโหวตให้
อ.สบายดีไหมค่ะ
สวัสดีครับ . ครูแป๋ม
"หลักสูตรเป็นเสมือนเครื่องมือที่จะนำไปสู่เป้าหมาย ครูเป็นผู้ใช้เครื่องมือ ดังนั้นครูจึงเป็นผู้กำหนดดอกผลทางการศึกษา ประเด็นเกี่ยวกับการใช้หลักสูตร หรือการจัดการเรียนการสอนของครูมีอยู่สองตอน ตอนแรก ครูสอนหรือไม่สอน ถ้าครูไม่สอนเป็นแต่เพียงนั่งบังเสารับเงินเดือนรอวันเกษียณอายุเพื่อรับบำนาญ การศึกษาก็พังไปหมดแถบแล้ว ตอนที่สอง ถ้าครูสอนก็ต้องถามต่อไปว่า สอนอย่างไร สอนโดยวิธีบอก สอนให้จด สอนให้จำ หรือสอนให้ทำ หรือสอนให้รู้จักคิด การจัดการเรียนการสอนที่พึงประสงค์ คือ สอนคน ไม่ใช่สอนหนังสือ"
สวัสดีครับ ทรายชล
สวัสดีครับ berger0123
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมและมาส่งข่าวเรื่องการโหวต นะครับ...
การโหวตรางวัลสุดคะนึง ผมทราบดีว่าเป็นกระแสที่คนให้ความสนใจกันมาก สำหรับผมแล้ว, ..ผมไม่เคยชินที่จะต้องเลือก หรือต้องตัดสินในเรื่องเหล่านี้ และในวีถีการงาน ก็แทบปฏิเสธการเข้าประกวดใดๆ ..
ผมมีเครือข่ายไม่เยอะในเรื่องที่เป็นการงานของตัวเอง แต่ก็ทราบดีว่าเรื่องที่ผมเขียนถึงนั้น ก็มีกัลยาณมิตรจำนวนหนึ่งติดตามให้กำลังใจอยู่อย่างสม่ำเสมอ ..
น้ำใจและมิตรภาพอันดีงามที่ผมได้รับมานั้น ยิ่งใหญ่เกินสิ่งใดเทียบเคียงแล้ว สิ่งต่างๆ ที่มีการแบ่งปันในโอกาสต่างๆ คือรางวัลอันยิ่งใหญ่ที่ผมไม่อาจลืมเลือนไปได้
ผมยังไม่คิดที่จะโหวตให้ใครเกี่ยวกับรางวัลสุดคะนึง,
เพราะเห็นว่า คนที่ผมรักและคนที่ผมชอบ ก็ล้วนได้รับการโหวตไปแล้วแทบทั้งสิ้น และผมไม่สามารถตัดใครต่อใครออกได้ เพราะแต่ละท่าน มีมุมมองชีวิตและการงานที่ต่างกันออกไป
จึงได้แต่เฝ้ามอง และชื่นชมวิธีแห่งการส่งเสริมและสนับสนุนกันเข้าสู่รางวัลสุดคะนึงอย่างเงียบๆ ...
และพยายามจะพัฒนาตนเองจากบันทึกของตนเองและกัลยาณมิตรให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้..
....
ขอบคุณอีกครั้ง, ขอบคุณด้วยความสัตย์จริง...