สมหมาย พลอาจ
เรื่องเล่าของคุณสมหมาย พลอาจ คุณกิจยอดเยี่ยมเดือนพฤษภาคม 2549 ของ สคส.คุณสมหมาย พลอาจ ได้เล่าให้กับนักส่งเสริมการเกษตรในวันสัมมนานักส่งเสริมการเกษตรว่า ตนเองนั้นได้ออกทำแผนชุมชนในทุกหมู่บ้านในตำบลคุยบ้านโอง ซึ่งผลของการร่วมเวทีชุมชน พบว่า ปัญหาของชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการทำการเกษตร ก็คือ “ต้นทุนการผลิตสูง"
แนวทางในการทำงานเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านก็คือ “การลดต้นทุน" แต่เมื่อถามชาวบ้านต่อไปว่าต้นทุนของเราคืออะไร ผลก็คือสามารถระดมกันเขียนต้นทุนการผลิตได้เต็มหน้ากระดาษฟาง แต่พอย้อนถามว่ารายได้คืออะไร คำตอบก็คือขายปีละ 1 ครั้ง (แต่เวลาจ่ายเต็มหน้า) ดังนั้นหากจะแก้ปัญหาก็ต้องใช้เวลา ค่อยๆ แก้ไปทีละอย่าง ต้องหาทางแก้โดยชาวบ้าน หากจะลดต้นทุนก็ทำปุ๋ยใช้เอง หรือหากไม่มีความรู้ก็จะเข้าทางเราคือให้ความรู้ แนวทางที่จะได้ความรู้นั้นทุกหน่วยงานก็ให้การสนับสนุนอยู่แล้ว
แต่ในการทำการสอนเรื่องการทำปุ๋ย-ยา ที่ผ่านมาของภาคราชการมักไม่สำเร็จ จึงได้เริ่มต้นทำด้วยตัวเองก่อน ทำมาหลายปีตั้งแต่ปี 2543 จนเกิดความเชื่อมั่น เรียนรู้จากโรงเรียนเกษตรกร มีการจดบันทึกข้อมูลแล้วนำมาศึกษาจนได้ตำรามาเล่มหนึ่ง เป็นตำราที่ได้จากประสบการณ์
เมื่อเริ่มต้นในการทำงานตั้งกลุ่มยังไม่ได้เพราะเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ จึงต้องเริ่มที่ผู้นำ ผู้นำต้องเปลี่ยนผู้นำต้องจับมือกัน เริ่มแรกก็ยังไม่สำเร็จ ต่อมา “ยิ่งทำยิ่งรู้" เจอปัญหาเราหาทางแก้ แก้ไม่ได้ก็ถามผู้รู้โดยตนเองก็ได้ไปเรียนรู้มาจากหลายๆ ที่ เมื่อได้เรียนรู้แล้วก็นำมาปฏิบัติแล้วก็ได้ออกไปตระเวนแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ในการลดต้นทุนของชาวบ้านทั้งปุ๋ยและยา ต้องเริ่มตรงปุ๋ยก่อน เช่น ใช้ปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ขี้วัว ขี้เป็ด ขี้ไก่หรือแกลบรำ เป็นต้น ไปสอนเขาทำตัดปุ๋ยเคมีเลยทันทียังไม่ได้แต่ลดได้ จากนั้นปัญหาของแมลงชาวบ้านต้องรู้ช่วงเวลาการปลูก และหากว่าอยากรู้ให้ชัดต้องมีการจดบันทึก ยกตัวอย่างตนเองว่าบทเรียนมาจากการบันทึก การปฏิบัติจริง แต่เกษตรกรทำอย่างเดียว ไม่บันทึก ถ้าบันทึกก็เหมือนการสงครามเราเหมือนแม่ทัพ ถ้าเรารู้เรารบชนะแน่ หากเราไม่รู้ก็ต้องหาพ่อค้า เหมือนวิ่งเข้าหากองไฟ
เริ่มแรกเก็บขี้วัวขายหมด พวกเรายังโง่ของดีเก็บขาย แต่ของเสียกลับซื้อเข้ามา แต่ตรงกันข้ามกับฝรั่งของดีเก็บไว้ส่วนของเสียเช่นยาฆ่าแมลงส่งไปขายให้ที่อื่น ปัจจุบันรถที่เข้ามาซื้อขี้วัวไม่มีแล้ว บางครั้งต้องหักดิบด้วยการพูดแรงๆ แรกๆ ก็เกรงเหมือนกัน แต่ปัจจุบันชาวบ้านรู้แล้ว สำหรับเกษตรกรก็เริ่มลดการใช้ปุ๋ยใช้ยามากแล้ว ดูจากกากน้ำตาลซึ่งต้องใช้ถึงปีละ 3 ตัน และเริ่มมีการใช้สิ่งทดแทนกากน้ำตาล เช่น น้ำซาวข้าว เหล้าขาว เป็นต้น
ทุกสิ่งทุกอย่างต้องค่อยๆ เป็นค่อยไป ต้องแก้ไปทีละเปราะๆ เริ่มจากปุ๋ยจากยา ก็มาลดการไถการปั่น ทำนาพร้อมๆ กันจะเกิดความคุ้มค่าโดยใช้การทดฝาย เพราะเป็นนาในเขตชลประทาน ต่างจากในอดีตที่ต่างคนต่างทำ ซึ่งหัวใจของการลดต้นทุนนั้นเกษตรกรจะต้องรู้ว่าต้นทุนเกิดจากอะไร แต่หากเราชี้นำเพราะเคยลองทำแล้วไม่ได้ผล อยู่ในชุมชนจึงรู้จักชุมชนถ้าได้ผลก็จะยอมรับ ต้องทำไปสักพักเมื่อเขาได้คิดและเริ่มรู้ตัวก็จะหันมาทำเอง
ปัจจุบันเกษตรกรสามารถรับบริการของหลายๆ หน่วยงาน ทั้งจากเกษตร ธกส. กศน. พัฒนาที่ดิน ฯลฯ และชาวบ้านเริ่มหันมาปลูกในสิ่งที่ควรปลูก เช่น ของกิน ของใช้ เพื่อลดรายจ่ายในครัวเรือน เป็นการลดรายจ่ายทั้งในการเกษตรและในครัวเรือน เราทำเพื่อชุมชน เพราะหากชุมชนดีขึ้น ตัวเราก็จะได้ขึ้นด้วย และขณะนี้ได้ทำงานนอกชุมชนด้วย แต่ขณะเดียวกันการดูแลการเกษตรของตนเองก็ได้อาศัยความรู้ที่มีอยู่ การดูแลก็จะขึ้นอยู่กับจังหวะ แต่การดูแลก็น้อยลง เพราะชาวบ้านทำมากขึ้นธรรมชาติก็กลับมาจึงทำให้การดูแลน้อยลง
บันทึกมาเพื่อการ ปลรร. ครับ
วีรยุทธ สมป่าสัก
พี่สิงห์ป่าสัก
เรื่องของการส่งเสริมเกษตรที่ทวนกระแส เกษตรที่เป็นเกษตรทางเลือก อาจต้องใช้เวลา พี่วีรยุทธี่ทราบดีอยู่แล้ว
อยากยิ่งกว่าคือ การให้เกษตรกรหันไปใช้ปุ๋ยชีวภาพ ทำเกษตรปลอดสาร
ปัญหาที่แม่ฮ่องสอนก็มีมากมายครับ กลุ่มชาติพันธุ์ที่นี่ทำเกษตรเป็นอาชีพหลัก มีพื้ชเศรษฐกิจไม่กี่ตัวกลุ่มนี้ทำรายได้งามทีเดียวครับในหนึ่งปี
เคยมีความพยายามที่จะมีการใช้ปุ๋ยชีวภาพ เกษตรอินทรีย์ ปรากฏว่า ผลผลิตได้น้อย แมลงรบกวนเยอะ ชาวบ้านบอกว่า "ไม่ได้แล้ว" ทำอย่างนี้ตายแน่ๆ มันก็จริงของเขาครับถ้าในช่วงปรับเปลี่ยน
ที่แม่ฮ่องสอนเราก็เลยทำเป็นกลุ่มๆไป ส่วนมากเป็นงานวิจัย ทำดีแล้วขยายผล ปัจจุบันเรามีเครือข่ายเกษตรแม่ฮ่องสอนทำเรื่องนี้อยู่
เป็นงานวิจัยครับพี่ เรามีการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ ดังนั้น การที่เราค่อยๆโต และสานเป็นเครือข่ายเกษตร ถือว่าเป็นจุดเริ่มที่น่าสนใจ
เรามีงานวิจัยที่เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์อยู่หลายๆโครงการ สิ่งสำคัญที่ผม เห็นคือ การพิสูจน์ให้ชาวบ้านเห็น และฝ่ายงานที่เกี่ยวข้องก็รณรงค์(เกษตร สาธารณสุข มหาดไทย กลาโหม ศึกษา)ร่วมด้วย ได้ผลที่น่าพอใจครับ
เรามีเวทีเกษตรจังหวัด ที่มีผู้ประสานงานเครือข่ายเกษตรจัดขึ้น และ สกว.เป็นผู้ดูแลเรื่องวิชาการ
นำมาแลกเปลี่ยนครับ
เป็นแนวคิดที่ดีครับ และผมกำลังศึกษาอยู่ในเขตพื้นที่อีสานใต้ จะติดตามข้อมูลกับพี่ต่อไปครับ
ขอบคุณครับ
เรียน อาจารย์ขจิต
เรียน คุณจตุพร
เรียน อาจารย์หมอวิจารณ์
เรียน คุณอันพิมพ์
บันทึกนี้เป็นประโยชน์มากเลยค่ะ และได้จดบันทึกใว้แล้ว นำไปใช้ที่บ้านค่ะ
ขอขอบพระคุณค่ะ
พิไล
ยินดีมากครับที่บันทึกนี้จะเกิดประโยชน์ต่อสังคม