เผชิญหน้ากับความตาย


หรือหากคนพวกนี้จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในหมู่ชนใดก็ตาม ผมก็เชื่อว่าจะไม่มีมนุษย์ใดในโลกนี้ ยอมรับคนที่มือเปื้อนเลือด และคงไม่กล้ามองคนอื่นด้วยความเต็มภาคภูมิเป็นแน่แท้
ช่วงวันสองวันที่ผ่านมา ความหดหู่ย่างกรายเข้ามาเกาะกุมความรู้สึกผมอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ย้ายมาทำงานที่ ม.อ.ปัตตานี ได้ 11 เดือน เพราะได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของคุณ “ปิยะพงศ์ เพชรเงิน” นักศึกษาชั้นปีที่ 4 วิชาเอกพัฒนาสังคม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เมื่อราวบ่าย 2 โมงของวันเสาร์ที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา

คุณปิยะพงศ์ก็คงเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดว่าตนเองจะเป็นเหยื่อคนใจร้าย และยิ่งเป็นนักศึกษาด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่คิดว่าตนเองจะเป็นเหยื่อความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผมขอแสดงความเสียใจไปยังคุณพ่อคุณแม่ ญาติพี่น้องของนักศึกษาของเรา และหวังอย่างสุดซึ้งว่า เหตุการณ์เลวร้ายนี้จะยุติลงในเร็ววัน

วันก่อนผมเคยเขียนลงบล็อคว่า ความรุนแรงมันได้คืบคลานเข้ามาใกล้ตัวเรามากขึ้น เพราะมันเกิดขึ้นกับคนที่เรารู้จัก คนที่เราเคยพบเห็น ก็ทำให้เราหันกลับมามองตนเองมากขึ้น ว่าคงอีกไม่นานความตายก็คงอยู่ไม่ห่างเราจนเกินไป ขณะนี้คงคิดได้อย่างเดียวว่า เราต้องระมัดระวังตัวเองให้ดีที่สุด แต่หากความตายมันจะมาเยือนในเร็ววันนี้ ก็คงไม่เสียดายนัก เพราะอย่างน้อยเราก็จบตำนนานของเราในแผ่นดินที่เรารัก และคิดถึง แผ่นดินที่ผู้คนจำนวนมากยังยิ้มแย้มแจ่มใส มีน้ำใจกับผู้มาเยือนเสมอ

เมื่อคืนผมอ่านนิตยสารสารคดี ฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ.2550 งานสารคดีเรื่อง “เตรียมตัวก่อนเดินทางครั้งสุดท้าย” เขียนโดยคุณวีระศักดิ์ จันทร์ส่องแสง เขาได้สัมภาษณ์พระไพศาล วิสาโล พระผู้นำหลักปฏิบัติเพื่อการเผชิญความตายอย่างสงบ กล่าวว่า การเผชิญหน้ากับความตายเป็นสิ่งจำเป็น การนึกถึงความตายมีประโยชน์ ทำให้เราไม่ประมาท เราควรพร้อมที่จะคุยเรื่องความตาย เหมือนเป็นสิ่งธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน

ส่วนคุณหมอสกล สิงหะ ประธานหน่วยชีวันตาภิบาล โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ให้สัมภาษณ์อย่างน่าสนใจว่า การพบกันครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ เราอาจไม่ได้พบกันอีก ถ้าเราระลึกได้เช่นนี้ เราก็จะปฏิบัติต่อกันอย่างอ่อนโยน ที่ด่ากันทะเลาะกัน แล้วคิดว่าไว้วันหลังค่อยคืนดีกัน มันอาจสายไปก็ได้ เขาอาจจากไปก่อนได้คืนดีกัน แต่ถ้าเราตระหนักว่าเขาจะไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เราก็จะเร่งคืนดีกัน หรือไม่อยากทะเลาะกันเลย

ผมเลยคิดต่อจากท่านทั้งสองว่า หากวันพรุ่งนี้ผมอาจจะไม่มีลมหายใจอยู่บนโลกนี้ วันนี้ผมคงต้องทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด ตั้งใจที่สุด เพื่อให้วันที่ผมไม่มีชีวิตอยู่ เพื่อนร่วมงานผม คนใกล้ชิดผมจะกล่าวถึงผมด้วยจิตใจที่ดีงาม หรืออย่างน้อยคนอยู่ข้างหลังผมอาจจะนึกถึงผมด้วยความดีมากกว่าความเลว

ความตายที่เป็นไปอย่างธรรมชาติ เป็นความตายที่งดงาม หากแต่ความตายที่คนใจบาปคิดชั่วหยิบยื่นให้นี่ต่างหาก ผมคิดว่าเป็นมันความหยาบช้าที่มนุษย์ไม่พึงกระทำต่อกัน และพระเจ้าทุกศาสนาในโลก ก็คงไม่เห็นดีเห็นงามไปด้วยเป็นแน่แท้ ที่สำคัญหากพวกคนเหล่านั้นตายไปตามกรรมของพวกเขา เขาคงได้รับการลงโทษจากพระเจ้าอย่างยุติธรรม เพราะเราคงไม่มีสิทธิที่จะไปตัดสินว่าใครควรอยู่หรือไม่ควรอยู่ในแผ่นดินนี้ พระเจ้าประทานชีวิตมาให้กับทุกคนได้ประสานสัมพันธ์กัน แม้ว่าเราจะต่างกันด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ ความเชื่อ ค่านิยมก็ตาม

หรือหากคนพวกนี้จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในหมู่ชนใดก็ตาม ผมก็เชื่อว่าจะไม่มีมนุษย์ใดในโลกนี้ ยอมรับคนที่มือเปื้อนเลือด และคงไม่กล้ามองคนอื่นด้วยความเต็มภาคภูมิเป็นแน่แท้

ขอให้ใบไม้ที่ร่วงหล่น ผลิบานในโลกใหม่ที่งดงาม
หมายเลขบันทึก: 124570เขียนเมื่อ 3 กันยายน 2007 10:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 20:12 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

สวัสดีค่ะอาจารย์ภีรกาญจน์

เมื่อไม่กี่วันดิฉันเพิ่งคุยกับพี่ที่นั่นค่ะ  การอยู่ห่างไกลนี้ก็ทำให้เป็นห่วงกังวล  แต่ได้คุยโทรศัพท์แล้วก็ค่อยคลายกังวลลงไปบ้าง  จากนั้นก็กลับมากังวลใหม่ในเวลาไม่นานนัก  ได้แต่หวัง(และหวังเหลือเกิน)..ว่าภาวะเช่นนี้จะผ่านไป  เหมือนกับที่เคยผ่านมา และผ่านไปแล้วในอดีต

ขอแสดงความเสียใจอย่างสูงกับครอบครัวของนักศึกษาที่สมาชิกในครอบครัวต้องจากไปด้วยนะคะ 

คุณพ่อดิฉันบอกว่าโลกเป็นเช่นนี้มานาน      ลูกต้องเตรียมตัวให้พร้อม  ดิฉันไม่ได้คิดอะไรจนผ่านชีวิตมาข่วงหนึ่งก็ได้เห็นว่าไม่ใช่เฉพาะเตรียมพร้อมที่จะอยู่อย่างเดียว แต่ต้องพร้อมที่จะไปด้วย  ดิฉันทำใจให้นิ่งไม่ได้มากนัก เพราะเมื่อเรามีบุคคลอันเป็นที่รัก  เราก็ย่อมห่วงกังวล 

แต่เมื่อได้เห็น"โลก"ตรงหน้า ก็พอจะเข้าใจ....  อ่านบันทึกนี้ของอาจารย์ก็ยิ่งรู้สึกเข้าใจและชื่นชมวุฒิภาวะทางใจของอาจารย์นะคะ  

ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อาจารย์นับถือ จงปกปักรักษาอาจารย์และครอบครัวนะคะ    

สวัสดีครับ P อ.Phirakan  

เพราะความไม่แน่นอนนั่นเอง...ทำให้เราต้องมีสติ ในการใช้ชีวิต

เวลาที่เหลือก็ไม่รู้ว่าเหลือมากหรือน้อยเพียงใด ผมกำลังจะบอกทุกคนว่า ใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้มีคุณค่าที่สุดตามเวลาที่ล่วงผ่านไป และพร้อมที่จะเผชิญกับความตายที่เป็นความจริง ที่ทุกคนหลีกหนีไม่พ้น

ขอให้น้อง นศ.ไปสู่สุคติ และขอให้กำลังใจอาจารย์ นักศึกษา ตลอดจนผู้คนที่ร่วมชะตากรรม

 

อาจารย์ครับ

  • ผมทราบข่าวตอนกลับไปถึงปัตตานีแล้ว
  • ความรู้สึกแรกคือ กลัว เพราะถนนสายที่น้องนักศึกษาเสียชีวิต คือถนนสายหลักที่คนปัตตานียะลาไปมาหาสู่กันเป็นปกติ เป็นห่วงคนใกล้ตัวที่ต้องเดินทางเส้นนั้นเป็นประจำ
  • เสียใจ กับการจากไปของน้องปิยะพงศ์ มันทำให้ผมคิดถึง นักศึกษาแพทย์จบใหม่ที่ผมรู้จัก ที่เพิ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุตกตึก เมื่อไม่นานมานี้ ทั้งคู่เสียชีวิตในวัยที่กำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ เป็นทั้งความหวังและกำลังสำคัญของครอบครัว สำหรับเราเองซึ่งยังต้องถือว่าเป็นเพียงคนรู้จัก ยังนับเป็นความสูญเสีย ที่บรรยายเป็นตัวหนังสือไม่ได้ แล้ว่สำหรับผู้เป็นพ่อและแม่ของทั้งคู่ เราคงสัมผัสความทุกข์ของท่านได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
  • ครับ เหตุการณ์เช่นนี้ มันเตือนสติเราให้ระลึกถึงความตาย และทำให้ดำรงชีวิตอย่างมีสติ ปฏิบัติหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดในแต่ละบทบาท ให้สมกับที่เกิดมาครั้งหนึ่ง
  • ในการอบรมเผชิญความตายอย่างสงบ ของหลวงพี่ไพศาล เรามีกิจกรรมมรณานุสติ สมมุติตนเองว่ากำลังจะตาย แต่สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการเข้าร่วมหลายครั้ง ผมรู้สึกว่า เหตุการณ์ความตายของผู้อื่น การสมมุติในบทภาวนา ทำให้เราได้เพียงแค่ เข้าใกล้ความตายเท่านั้น แต่เราไม่มีวันรู้เลยว่า เมื่อความตายมาอยู่ตรงหน้าจริงๆ เราจะเป็ฯอย่างไร
  • จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่มั่นใจตนเองว่า จะรับมือกับวันนั้นได้ แล้วเราก็ไม่เคยคิดถึง ความตายอย่างปัจจุบันทันด่วน จากอุบััติเหตุหรือเหตุร้ายเช่นนี้ ซึ่งยากลำบากกว่าความตายจากโรคหรือความชรานัก
  • หลวงพี่ไพศาลบอกว่า ก็ต้องฝึกฝนเตือนสติอยู่เรื่อยๆ เหมือนเตรียมตัวสอบ แต่การสอบครั้งนี้มีครั้งเดียว ไม่มีการสอบซ่อมหรือเก็บคะแนนไว้ก่อน
  • ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของน้องปิิยะพงศ์อีกครั้ง และขอให้ความดีคุ้มครองให้อาจารย์ปลอดภัยด้วยนะครับ
ลืมไปว่า จะขออนุญาตนำไปรวบรวมไว้ใน รวมบันทึก ของผมนะครับ ขอบคุณครับ

คุณ Phirakan P ครับ

โดยส่วนตัวเชื่อว่า หากเราได้นำเอาชีวิตของใครคนใดคนหนึ่ง มาเป็นอนุสสติ ทำให้เราประพฤติธรรม จะเกิดกุศลบุญต่อคนๆนั้นอย่างยิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมขออนุญาตร่วมอนุโมทนาบุญกับคุณ Phirakan รำลึกถึงชีวิตน้องนักศึกษาที่จากไปในครั้งนี้ด้วย

เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น บางครั้งสำหรับคนธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ก้ไม่อาจจะ make sense อะไรได้ สิ่งที่เราทำต่อหลังจากเกิดเรื่องราวต่างๆเหล่านี้ อาจจะเป้นเพียงเครื่องมือเดียว ที่เราจะทำให้มีค่า มีความหมาย และ make sense มากที่สุด ขึ้นอยู่กับว่าพวกเราจะช่วยกันเก็บเกี่ยว ศึกษาความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต และจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร ผมคิดว่าเป็นวิธีเดียวที่อาจจะทำให้ดวงวิญญาณผู้ที่เสียชีวิตไป มีส่วนสร้างกุศลธรรมตามมาบนแผ่นดินนี้ได้บ้าง

ขอขอบพระคุณทุกท่านมากครับที่ให้กำลังใจคนทางนี้ เราก็ได้แต่ภาวนาให้เหตุการณ์ร้ายๆ มันยุติโดยเร็วที่สุดครับ

ผมเห็นด้วยกัยคุณหมอเต็มศักดิ์ครับว่า แม้เราจะสมมติว่าเราเข้าใกล้ความตาย แต่คนอย่างเราๆ ก็ไม่มีวันรู้เลยว่าความตายมันมาอยู่ตรงหน้าตอนไหน ฉะนั้นเราก็คงทำใจครับ ว่าเป็นเช่นนั้นแล ดังท่านว่า

 

ขอบคุณอีกครั้งครับ มีกำลังใจขึ้นอีกเยอะเลย

         สวัสดีครับหนุ่ม    ขอให้เข้มแข็งนะ อ่านบันทึกนี้แล้วเศร้าจัง  พี่จะอธิษฐานให้พระเจ้าที่พี่เชื่อคุ้มครองทุกคนที่ต้องเผชิญกับภาวะแบบนี้ให้ปลอดภัยมีชีวิตอยู่อย่างเข้มแข็ง

ขอบคุณพี่พัชณี และชาวบล็อคทุกท่านครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท