เมื่อเช้านี้ผมได้มีโอกาสร่วมประชุมเตรียมงาน “เวทีนวัตกรรมการสร้างเสริมสุขภาวะในสถานประกอบการอุตสาหกรรม” ของ สสส. ในการจัดเวทีครั้งแรกนี้ทาง สคส. (โดยคุณฉันทลักษณ์ และคุณพันธุ์บุณย์) รับจะเป็นผู้ดำเนินการให้ดูเป็นตัวอย่าง เพื่อที่ทีมงานและผู้รับผิดชอบโครงการของ สสส. จะได้นำไปใช้จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครั้งต่อไปได้
การสร้างเสริมสุขภาวะในสถานประกอบการ หรือ “Happy Workplace” ที่พูดถึงนี้ อาจจะมีผู้ตีความไปต่างๆ นานา แต่จากการศึกษาโครงการสร้างเสริมคุณภาพชีวิตคนทำงานจังหวัดชลบุรี ของ สสส. ได้มีการวางกรอบไว้กว้างๆ เป็น “Happy 8” ดังนี้ครับ:
1. Happy Body มีสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและจิตใจ
2. Happy Heart มีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อกันและกัน
3. Happy Society มีความรักสามัคคีเอื้อเฟื้อต่อชุมชนที่คนทำงานและพักอาศัย มีสังคมที่ดี
4. Happy Relax รู้จักผ่อนคลายต่อสิ่งต่างๆ
5. Happy Brain มีการศึกษาหาความรู้พัฒนาตนเองตลอดเวลาจากแหล่งต่างๆ นำไปสู่การเป็นมืออาชีพและ ความมั่นคงก้าวหน้าในการทำงาน
6. Happy Soul มีความศรัทธาในศาสนาและมีศีลธรรมในการดำเนินชีวิต
7. Happy Money มีเงิน รู้จักเก็บรู้จักใช้ ไม่เป็นหนี้
8. Happy Family มีครอบครัวที่อบอุ่นและมั่นคง
ผมมองว่าสิ่งที่กล่าวมาทั้ง 8 ประเด็นนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ใช้ชี้วัดคุณภาพชีวิตของผู้ที่ทำงาน (Quality of Work Life หรือ QWL) ได้ แน่นอนครับ เป้าหมายของผู้ประกอบการก็คือการทำกำไร แต่ในหลักการบริหารสมัยใหม่ได้พิสูจน์แล้วว่าต้องมุ่งเน้นที่ลูกค้า (Customer Focus) เป็นอันดับแรก ต้องทำให้ลูกค้าพึงพอใจ (Customer Satisfaction) ให้ได้ก่อน กำไรที่ได้จึงจะยั่งยืน และสิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือ พนักงานต้องมีความสุขก่อน จึงจะให้บริการที่ดีแก่ลูกค้าได้ และในทางตรงกันข้าม ถ้าพนักงานไม่มีความสุข การทำงานและการให้บริการก็จะทำได้ไม่ดีนัก....
จากการที่ได้มีโอกาสคลุกคลีกับผู้ที่ปฏิบัติงานในหลายองค์กร ผมพยายามเรียนรู้อยู่เสมอว่าอะไรคือปัจจัยหลักที่ทำให้คนทำงานได้อย่างมีความสุข ...และจะขอสรุปประเด็นหลักๆ ไว้ดังนี้:
1. ตัวเนื้องานเอง....มีความท้าทายอยู่ในเนื้องานหรือไม่?.....งานนี้เปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้แสดงศักยภาพหรือไม่?..... ทำให้พวกเขารู้สึกมีคุณค่าหรือไม่?
2. วัฒนธรรมการทำงาน.... เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้ตัดสินใจ ได้มีส่วนร่วม มีความรู้สึกเป็นเจ้าของ (Ownership) หรือไม่?
3. ปัจจัยแวดล้อม.... สภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยหรือไม่?.... ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานเป็นอย่างไร?
4. ภาวะผู้นำ.... ส่งเสริมการทำงานหรือไม่? .....มีการให้ทิศทางที่ชัดเจนหรือไม่? ..... สามารถสร้างขวัญและกำลังใจได้ดีเพียงใด?
ประเด็นสุดท้าย (ข้อ 4) นี่แหละครับ ที่ผมสนใจมากที่สุด เพราะเป็นประเด็นที่ไปเกี่ยวข้องกับทั้งสามประเด็นข้างต้นอย่างแยกไม่ออก และในหลายๆ หน่วยงาน พนักงานมักจะพูดออกมาคล้ายๆ กันว่า ถ้า “หัวหน้า” มีภาวะผู้นำ หรือแค่ปรับเปลี่ยน “พฤติกรรม” ที่ไม่พึงประสงค์บางอย่างได้ แค่นี้พนักงานก็แสนจะสุขใจ และได้ Happy Workplace ขึ้นมาแบบทันตาเห็นเลยทีเดียว !!
Happy จริง ๆ ครับที่ได้เข้ามาเรียนรู้ ขอบคุณครับ
ขอขอบพระคุณอาจารย์ประพนธ์...
สวัสดีครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์..
แฮปปี้เมื่อได้อ่านครับ ขอบคุณมากครับ
ขออนุญาตแลกเปลี่ยนเรื่องภาวะผู้นำค่ะ....ดิฉันเชื่อว่าผู้นำที่ดีต้องเป็นผู้มีคุณธรรมค่ะ....จึงจะช่วยเสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่เพื่อนร่วมงานได้
สักวาผู้นำดีดูที่ไหน
ดูที่ใจมีธรรมประจำจิต
หนึ่งอดทนยิ้มแย้มแจ่มเป็นนิตย์
สองมีคิดริเริ่มเสริมตื่นตัว
สามเป็นผู้ขยันหมั่นทำกิจ
สี่พินิจมอบงานการให้ทั่ว
ห้ามีเมตตาธรรมประจำตัว
หกตรวจทั่วงานที่มอบชอบธรรมเอย
คุณธรรมทั้งหกที่ว่า คือ
1. ขมา - อดทน
2. ชาคริยะ - ตื่นตัว
3. อุฏฐานะ - ขยัน
4. สังวิภาคะ - มีความเอื้อเฟื้อ รู้จักแบ่งงาน
5. ทยา - มีเมตตากรุณา
6. อิกขณา - ตรวจสอบ ตรวจตรา ติดตามผลงาน
มีความรู้สึกว่า ที่อาจารย์บันทึกมาคราใด มันไปเกี่ยวกับงานในที่ทำงานทุกที ตอนนี้ กรมอนามัยกำลังทำ Heathy Workplace กันค่ะ ขออนุญาตนำข้อเขียนของอาจารย์ไป ติดบอร์ด "เสาให้" ที่ ทป. ต่อนะคะ
ขอบคุณทุกๆ ท่านครับ คุณศุภลักษณ์ตีได้ตรงจุดมาก....
....เพราะคนส่วนใหญ่ (พนักงาน) มัก "โทษ" ไปที่คนอื่น (ผู้บริหาร ผู้ร่วมงาน) ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ "ตน" ไม่เป็นสุข และมักจะรอคอยให้ "คนอื่นเปลี่ยนแปลง" ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และ Control ไม่ได้
....ที่น่าจะเปลี่ยนได้ทันทีคือ "เริ่มที่ตนเอง" ....ถ้าทุกคนเห็น "จุดบอด" ของตนเอง แล้วพยายามแก้ไขปรับปรุง ....แค่นี้ก็ดีหลายนะครับ
แวะมาอ่านอีกคน...เก็บเกี่ยวไปแล้ว ขอบคุณค่ะอาจารย์
ได้อ่านแล้วถูกใจคนทำงานจริงๆค่ะ ขออนุญาตนำไปเผยแพร่ในโรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวรฯ คนทำงานจะได้ เก่ง ดี มีสุข ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ
เห็นแบบนี้แล้ว...ก็ชื่นใจค่ะ...อย่างน้อยก็มีอาจารย์ที่พยายามหาแนวคิดมาปลอบใจผู้ปฏิบัติตัวน้อยๆ......
ดิฉันว่า ถ้าผู้นำไม่อ่าน...ในงานก็คงเหมือนเดิม
ถ้าผู้น้อยนำไปติดบอร์ด...ผู้นำ(หรือผู้แนะข้างหู)อาจมองว่าเอามาเหน็บแนม (พวกมองเป็นลบยังมีในองค์กรค่ะ)
ทำอย่างไรผู้นำจึงจะเปิดใจกว้างไม่ฟังผู้แนะ(ข้างหู)มากเกินไปคะ
...........ดิฉันกำลังพยายามที่จะเอาความรู้ใหม่ที่ได้สู่การปฏิบัติจริงค่ะ..........เข้าใจ
ทำได้ครบก็ได้เวลา Happy Time
ผมเห็นด้วยกับอาจารย์หมออย่างยิ่งครับ แต่ประเด็นสำคัญก็อย่างที่บอกครับว่า การที่จะทำเรื่องจากแนวคิดให้เป็นรูปธรรมคงต้องอาศัยกำลังภายในกันหลายขุม องค์กรต้องร่วมปฏิสัมพันธ์ในแนวทางนี้ด้วย การวางแผนที่จะให้ทุกอย่างมันสัมพันธ์กันก็ต้องใช้เวลาหน่อย ผมเองก็จะเริ่มที่บริษัทโดยคงต้องมานั่งกำหนดก่อนว่าอะไรควรที่จะเริ่มเป็นลำดับต้นๆ ขอบคุณครับอาจารย์หมอ