Blog-Tag: Conductor


ความจริงผมยังไม่เคยโดน Tag มีแต่คนบอกอยากจะ Tag แต่คาดเอาเองว่าผมคงไม่เขียน ก็เลยเขียนไปแล้วในบล๊อกภายในบริษัทครับ คนนอกบริษัทอ่านไม่ได้

และแล้ว ก็เกิด Blog-Tag ระบาดไปทั่วเป็นมหกรรมใหญ่ในบล๊อกภายในของบริษัท ด้วยความคิดเบื้องต้นที่ว่า เราเองก็เป็นสังคมเล็กๆที่ต้องทำงานร่วมกัน ดังนั้นหากรู้จักกันไว้ก็ไม่น่าจะเสียหาย

จาก Blog-Tag ที่ให้เขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวเราที่คิดว่าคนอื่นไม่รู้ 5 เรื่อง ก็กลายเป็นนิยาย 5 ตอนไป จากหนึ่งเรื่องสั้นๆ กลายเป็นกว่าสองร้อยนิยายชีวิต แต่ละเรื่องเป็นบทเรียนชีวิต ให้คนอื่นได้เห็น ได้เรียนรู้; ชีวิตคนเราไม่ได้สมบูรณ์แบบ คนเราแต่ละคนคงไม่สามารถจะเป็นคนสมบูรณ์ได้โดยไม่มีประสบการณ์ชีวิต แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้เช่นกัน ที่มัวแต่จะหาประสบการณ์ชีวิตโดยไม่สร้างประโยชน์ให้แก่ตนเอง และคนรอบตัว ดังนั้นการเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตของผู้อื่น ผ่าน Blog-Tag แบบยาวๆ จึงอาจเป็นวิธีการเรียนลัดแบบหนึ่งได้

แม้ว่า Blog-Tag ภายในบริษัท จะเพี้ยนออกไปจากกติกาดั้งเดิมบ้าง แต่นี่กลับเป็นข้อมูลที่ดีที่สุดสำหรับหัวหน้างานและ HR ที่จะได้มี basis ในการเข้าใจตัวตนของพนักงาน เพื่อที่ภาระที่มอบหมาย จะได้ถูกกับจริตของแต่ละคน เพื่อประสิทธิผลที่ดีขึ้น หลายๆเรื่องที่ผมอ่านแล้วรู้สึกภูมิใจมากที่มีพนักงานแบบนี้อยู่ในองค์กร; นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องค่อนข้างแปลกที่พนักงานแต่ละคน เปิดเผยอาจจะยิ่งกว่าคุยกับเพื่อนสนิทเสียอีก ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นสัญญาณดีว่าแต่ละคน ก็ไว้ใจเพื่อนๆในบริษัท ไม่ต้องตั้งการ์ดตั้งกำแพงล้อมรอบตัวเอง

เริ่มเรื่องตามพันธะดีกว่าครับ อาจารย์มาลินี มา Tag ไว้

  1. อ้างถึงรูปที่ผมแปะไว้ในขณะนี้ (ในอนาคตอาจเปลี่ยนได้) อาจารย์มาลินี ถามว่า "อยากรู้จักจริงๆ ว่าเป็นสิงห์ หรือแมว"

    เรื่องนี้ต้องตอบว่า "เป็นกระจกครับ" ตอนที่เลือกรูปนี้มา ตั้งใจเลือกรูปกระจกจริงๆครับ What matters most is how you see yourself

    ด้วยหน้าที่การงานที่เป็นผู้บริหารระดับสูง การตัดสินใจอะไรสักอย่างจะกระทบต่อคนเป็นจำนวนมาก แต่การยึดเอาความคิดของตนว่าถูกต้องจริงแท้แน่นอน กลับอาจเป็นอันตรายร้ายแรงต่อองค์กร หากถามบุคคลภายนอก ก็คงไม่เข้าใจสถานการณ์-ข้อจำกัดขององค์กร ถ้าถามลูกน้อง ก็อาจจะไม่ได้คำตอบที่ตรงกับใจเขา ด้วยความเกรงใจหรืออะไรก็แล้วแต่

    ดังนั้นจึงกลั่นเอาความคิดต่างๆจากประสบการณ์การทำงานกว่าสองรอบนักษัตร มาบันทึกไว้ที่นี่ ไม่อิงตำรา ส่วนหนึ่งก็หาข้อโต้แย้ง-จุดอ่อนเพื่อปรับปรุงความคิดให้ดีขึ้น อีกส่วนหนึ่งก็เพื่อเล่าเรื่องให้ผู้อ่านได้ไตร่ตรอง และเลือกนำไปปรับใช้้ หากเห็นสมควร

    ที่เป็นกระจกนั้น ก็เพราะว่าองค์กรถูกขับเคลื่อนด้วยบุคคลากรหลากหลาย การที่ช่วยให้แต่ละคนได้เข้าใจในศักยภาพที่แท้จริงของตนได้เร็วที่สุด ก็น่าจะช่วยให้องค์กรเจริญรุ่งเรืองไปได้เร็วขึ้น

  2. เนื่องจากต้องการหาข้อโต้แย้งเพื่อ validate ความคิด ผมจึงถือสาเรื่อง privacy มาก ใน profile ของ G2k ก็ไม่มีประวัติ เนื่องจากไม่ต้องการให้ฐานะทางสังคมหน้าที่การงาน มาเป็นอคติต่อการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น (คิดมากไปหรือเปล่า?)

  3. ตอนนี้เป็นห่วงประเทศไทยมาก ในภาคสังคมมีเรื่องการจัดสวัสดิการสังคมในอนาคต อันเป็นปัญหาต่อเนื่องจากเรื่องประชากรศาสตร์ ตลอดจนสภาพของสังคมสูงอายุหลังจากที่คนจากยุค Baby boom และต้นยุค Generation X เกษียณอายุไล่ๆกันเป็นจำนวนมาก ความรู้-ประสบการณ์ไม่ใช่ว่าถ่ายทอดได้ในวันที่มอบงาน-มอบตำแหน่ง แต่เรื่องพวกนี้ ใช้เวลายาวนาน และจะต้องให้โอกาสคนรุ่นใหม่ได้ทดลอง-ทำความคุ้นเคยบ้าง ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า แต่เราก็คงไม่อยากเห็นงานที่ทุ่มเททำมาอย่างเหนื่อยยาก ต้องมาพังไปเพราะผู้มาแทนไม่พร้อม

    ในภาคการบริหารราชการแผ่นดิน ก็มีเรื่องการขาดโครงสร้างในแนวนอน -- ในอดีตจะมีความพยายามจะใช้สไตล์ซีอีโอ ซึ่งเป็นการเลื่อนคอขวดไปอยู่ในระดับสูง จึงไม่มีใครกล้าบ่นดังๆ และเป็นการเสี่ยงต่อลักษณะไม่พึงประสงค์ทั้งสองขั้ว คือเผด็จการ และไม่ตัดสินใจอะไรเลย -- ยิ่งกว่านั้นก็ยังมีความพยายามจะแก้ไขด้วยลักษณะบูรณาการ แต่ด้วยการแบ่งแยกอำนาจหน้าที่อย่างชัดเจน (ด้วยกฏหมาย) การบูรณาการในภาครัฐจึงเหมือนเอาหลอดกาแฟซึ่งประกอบด้วยแท่งเล็กๆ มามัดรวมกันเพื่อใช้เป็นรากฐานของบ้านแทนเสาเข็ม ซึ่งเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กที่หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน

    ส่วนในภาคเอกชน ก็มีปัญหาเรื่องคุณภาพของคน ซึ่งติดกับรูปแบบมากกว่าเนื้อหา ฉาบฉวย แก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่าแก้ที่ต้นเหตุ เรียกร้องเอาแต่ได้ -- แต่การบ่นไปเรื่อยๆ ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลยครับ

    และเรื่องที่อาจจะพิลึกคือ ผมคิดว่าปัญหาคุณภาพสื่อ เป็นปัญหาร้ายแรงพอๆกับปัญหาที่กล่าวมาแล้วครับ อาจจะร้ายแรงกว่าปัญหาการศึกษาตามระบบเสียอีก

  4. เมื่อหน้าที่การงาน-ฐานะเริ่มมั่นคงแล้ว ก็เป็นอาสาสมัครไม่สังกัด NGO มาตั้งแต่ปี 2533 ชอบทำงานเบื้องหลัง ไร้รูปแบบ ไม่ทำเรื่องที่มีเงินเกี่ยวข้องเพราะว่าจะมีคนช่วยเรื่องนั้นอยู่แล้ว ส่วนเราไม่เดือดร้อน

    มักเป็นคนที่ป่วนกระบวนการคิด เพราะเชื่อในศักยภาพของคน ไว้ใจสังคมไทยโดยรวมว่าผู้มีส่วนได้เสียต่างปรารถนาดี; ป่วนใครๆไปทั่ว บางคนรับได้-ถ้ารู้ว่านั่นไม่ใช่ personal attack ก็จะได้ประเด็นไปคิดต่อ; บางคนรับไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ ผมไม่รับอะไรกลับคืนมา รวมทั้งความไม่พอใจด้วย

  5. ทำงานกะกลางคืน นอนเกือบเช้ามาเกือบยี่สิบปี ช่วงสึนามิลาพักร้อนหนึ่งเดือน เพื่อมาทำงานด้านข้อมูลผู้ประสบภัยวันละยี่สิบชั่วโมง แม้ไม่มีใครเห็น แต่ก็รู้สึกดีว่าได้ทำอะไรเพื่อคนที่กำลังทุกข์ยากบ้าง ไม่ได้ไปแบกศพเพราะคิดได้ก่อนไปว่าผมสามารถทำบางสิ่งได้ดีกว่านั้น

ผมขออนุญาตไม่ tag ใครต่อนะครับ เชื่อว่าในที่สุด ทุกคนก็คงจะถูก tag อยู่ดี ขอชดเชยให้ดังนี้ครับ

  • ผมเขียนบล๊อกบน Gotoknow สดๆ ไม่เตรียมบทความไว้ก่อน (หากเพิ่ม Preview function ได้ก็จะดีครับ)
  • งานเยอะโดยไม่ได้พยายาม; เชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไป คอขวดจะเติบโตขึ้นเป็นคอห่าน จึงพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เป็นคอขวดมาตั้งแต่แรก; เมื่อกระจายงานออกไป ก็ทำให้ต้องติดตามงานหลายหลายแบบ
  • งานหลักคือประชุม ตอนค่ำๆ เกิดอาการคอแตกบ่อยๆ (มีข้อแนะนำไหมครับ); เซ็นต์เอกสารเท่าที่จำเป็น เชื่อว่าผู้บริหารเลือกได้ว่าอยากจะให้องค์กรของท่านเป็น Procedure oriented หรือเป็น Result oriented; ถ้าท่านอยากให้เป็นอย่างไร ก็จัดสรรทรัพยากร ขั้นตอน กระบวนการให้สะท้อนกับสิ่งที่ท่านต้องการ
  • ถือศีลห้า -- แรกๆรู้สึกว่ายาก แต่ถ้าหากเราเข้าใจว่าสามารถเลือกว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรได้ ก็จะไม่รู้สึกว่าศีลห้าง่ายหรือยาก กลายเป็นเรื่องธรรมดาไป
  • จบ MIT (Made In Thailand) ไม่เคยอยู่ต่างประเทศนานเกินสองอาทิตย์
คำสำคัญ (Tags): #conductor#tag
หมายเลขบันทึก: 77102เขียนเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2007 11:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน 2012 21:50 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (22)

สวัสดีครับ ผมตามบล็อกอาจารย์มาลินีมา น่าสนใจมากครับ ขอบคุณสำหรับข้อคิดเห็นดีๆ ครับ

ผมสงสัยอยู่อย่างเพราะเห็นโครงสร้างบล็อกของคุณ conductor แปลกไปจากคนอื่น ไม่ทราบว่าทำยังไงครับที่เอาภามาอยู่ด้านซ้าย และขยายข้อความให้เต็มจอ

แก้ CSS ครับ แฮ่ะๆ แตกต่างทั้งรูปแบบและเนื้อหา

ใช้ View Source ใน browser เพื่อดู HTML แล้วตัด <style> tag บล๊อคที่สอง ไปใช้ได้เลยครับ

<style> tag บล๊อคที่สองเป็นอันที่ผม override CSS มาตรฐานของ Gotoknow ครับ (ซึ่งคือ <style> tag บล๊อคแรก)

เดี๋ยว preview function จะตามมาครับ :-)

ข้อสามบรรทัดสุดท้ายนี่ผมเห็นด้วยอย่างมากเลยครับ กำลังพยายามว่าจะทำอย่างไรได้บ้างที่จะแก้ปัญหานี้ครับ (แย้มหน่อยๆ เราแอบไปซื้อ fresh.in.th ไว้แล้วครับ) 

ผมเองก็มีข้อห้ามาเป็นสิบปี พึ่งเปลี่ยนได้ไม่เกิน 6 เดือนนี่เองครับ

และไม่แน่ใจว่าผมถือศีลห้าหรือเปล่านะ แต่ไม่ได้กินเบียร์มาหลายเดือนแล้วครับ

สวัสดีค่ะ

อ่านความลับของคุณ Conductor ถึงกับอึ้งไปเลยค่ะ  แต่แอบยิ้มไปด้วย เพราะว่าเจอคนรักประเทศเพิ่มขึ้นอีกแล้ว

ส่วนความลับข้อสุดท้ายนี้ ต้องรักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ

ทำได้แล้วครับ ขอบคุณมากๆ ครับ ปรับปรุงบ้านแก้เบื่อครับ เดี๋ยวเบื่อก็เปลี่ยนอีกครับ

อาจารย์ธวัชชัย: Preview function สาธุ ขอบคุณมากครับ

ส่วนเรื่องนอนดึก อะไรที่สุดขั้วเกินไปก็ไม่ดีทั้งนั้น -- เพื่อนร่วมงานผมสั่งไว้ว่าไม่ให้นอนดึก บางทีผมเลยต้องนอนเช้าแทน

คุณมะปรางเปรี้ยว: ผมเชื่อว่า่บน Gotoknow นี้ มีคนที่ทำให้อึ้งได้มากกว่าผมหลายเท่าครับ เพียงแต่รอให้โดน tag ก็จะเห็นแรงบันดาลใจของคนที่ทำในสิ่งที่ต้องทำ

ปัญหา ต่างๆไม่สามารถแก้ไขด้วยการแสดงความปรารถนาดี การวิพากษ์ หรือการชี้นิ้วได้ นอกจากความรู้คู่คุณธรรมแล้ว ความรู้ควรจะคู่กับการกระทำด้วย

ส่วนเรื่องที่เขียนไม่อยากเรียกว่า ความลับครับ ถ้าลับนักผมคงไม่เขียนอยู่ดี เพราะว่าความลับที่เปิดเผยแล้ว ก็ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป ที่เขียนเป็นเรื่องของผมที่คนไม่ค่อยรู้มากกว่า เขียนมาเผื่อใครเอาไปปรับใช้ได้ดีกว่าผม ก็จะเป็นประโยชน์ครับ

อาจารย์มาโนช: ยินดีด้วยครับ

มาลงชื่อไว้ก่อนจะลาไปนอนค่ะ

ได้ยินชื่อเสียง จากมีผู้อ้างถึงมานานแล้วค่ะ

แต่เพิ่งได้เข้ามาตามอ่านบันทึกอย่างจริงๆจังๆก็ตอนนี้

ด้วยความเลื่อมใสอย่างยิ่งเลยค่ะ

ขอสมัครเป็นแฟนประจำด้วยอีกคน

^___^

คุณ minisiam: ผมยังรอเรื่องเรือโนอาอยู่นะครับ

คุณ k-jira: ผมคงจะยังใช้ชื่อ Conductor ต่อไปเพื่อให้บันทึกรวมเป็นกลุ่ม แต่ก็อยากให้ดูที่เนื้อหาของแต่ละบันทึกมากกว่าชื่อผู้บันทึกครับ ถ้านำประเด็นไปปรับใช้เขียนได้ ผมไม่คิดค่าลิขสิทธิ์ และขออนุโมทนาด้วยนะครับ

มาแวะอ่านความลับของคุณ Conductor ค่ะ พักผ่อนบ้างนะค่ะ :)

ไล่อ่านมาจากไหนก็ไม่ทราบ พอเจอบล็อกนี้ก็เลยอ่านหมดเลย (แหะ แหะ ก็เพิ่งมีไม่กี่ entry นี่นา) ชอบมากครับ ตอนแรกเห็นเกี่ยวกับการจัดการ นึกว่าจะเป็น How-to ดาดๆตามแผงหนังสือ

ยิ่งอ่านตัวตนและปณิธาน ก็ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ ถ้ามีโอกาส คงได้ช่วยงานอาจารย์สักวันครับ ในฐานะอาสาสมัครก็ได้ครับ 

อ.จันทวรรณ: พักครับ ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ไม่พึ่งนาฬิกาปลุก นอนจนพอแล้วก็ตื่นเองครับ แม้ใช้ชีวิตแบบไร้รูปแบบมานาน แต่ก็ยังมีคนที่ต้องดูแล จึงไม่พยายามจะทำร้ายตัวเองครับ ชีวิตผมโชคดีอยู่อย่างหนึ่ง คือมักอยู่ในฐานะที่เลือกได้ จึงไม่ค่อยฝืนทำอะไรบ่อยนัก

คุณ iMenn: บันทึกที่ผมเขียน ความจริงก็เป็นแนวคิดหลักที่ทุกท่านเข้าใจอยู่แล้วครับ ส่วนรายละเอียดหากเห็นด้วยก็นำไปปรับใช้ หากไม่เห็นด้วยก็ทิ้งไปเลย

คน เรามีดีกันไม่เหมือนกัน หากเราค้นพบว่าตัวเรามีดีอะไร แล้วอยากจะช่วยเหลือผู้อื่น สังคมไทยน่าจะยินดีต้อนรับความช่วยเหลือที่เป็นของดี และให้โดยบริสุทธิ์ใจแบบนี้ครับ -- ถ้าหากคุณ iMenn คือคุณเม่นผู้มีคำขวัญ "ขยัน ... แล้วจะเหนื่อย" แล้วละก็ ฝีมือที่มีอยู่ ช่วยผู้อื่นได้แน่นอนครับ

อ๊ะ โดนแซวคติพจน์ประจำใจ :)

          จริงด้วยค่ะ ที่บางครั้งการเปิดเผยเปลือกนอกของเรา กลับเป็นเกราะกั้นการรู้จักกันอย่างแท้จริง

          ขออย่าได้ทราบเลยว่า ดิฉันกำลังสื่อสารกับใคร นอกจากคุณ conductor 

         ไม่น่าเชื่อว่า Blog tag ซึ่งนำพาดิฉันให้มาได้รู้จักคุณ conductor จะทำให้ดิฉันเข้าใจ หลักการของ การแสดงตัวตน ตามความหมายที่ อ.ดร.จันทวรรณ และ อ.ดร.ธวัชชัย ตั้งไว้ได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้

          มันทำให้ดิฉันเสียดายว่า ถ้าตัวดิฉันเองไม่โชว์เปลือกจนหมดเปลือก อาจช่วยให้ดิฉันเข้าใจใครๆ ได้มากกว่านี้เป็นแน่

 

การเดินทางจากจุด A ไปยังจุด B นั้นเดินได้หลายทางครับ แม้ในนิวโตเนียนฟิสิกส์ที่เราคุ้นเคย จะคิดว่าการเดินทางเป็นเส้นตรงจะมีประสิทธิภาพที่สุด แต่เรื่องนี้ก็ไม่จริงหากมีสนามความโน้มถ่วงมาเกี่ยวข้อง ดังนั้นผลลัพท์จึงขึ้นกับผู้สังเกตและสิ่งแวดล้อม-ไม่ได้ขึ้นกับทางเลือก เช่นเดียวกับการเลือกที่จะแสดงตัวหรือไม่ อาจจะไม่มีคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับทุกกรณีครับ

การแสดงตัวด้วย credibility ของผู้บันทึก เป็นการแสดงความเปิดเผยจริงใจอย่างยิ่งว่าไม่มีอะไรปิดบัง ช่วยให้ผู้อ่านซึมซับความคิดในบันทึกได้สนิทใจมากขึ้น

การไม่แสดงตัว-เฉพาะของผม-เป็นเพราะผมไม่อยากให้ผู้อ่านรับความคิดใดๆไปโดยไม่ได้ไตร่ตรอง หรือไม่ได้ปรับให้เข้ากับข้อจำกัดของตนก่อนนำไปใช้

ผมไม่ได้ให้อะไรใคร แค่คิดดังๆ เขียนไว้แล้ววางไว้เฉยๆ ส่วนผู้ใดสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ก็หยิบไปได้ ไม่ติดค้างกัน แต่ถ้าไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไรครับ ผมจะยิ่งยินดีที่จะลปรร.เพื่อให้ความคิดลึกซึ้งขึ้น น่าจะได้ประโยชน์กันทุกฝ่ายครับ

ขอบคุณอาจารย์ที่กรุณา Tag มาครับ

จากคำ  What matters most is how you see yourself สำคัญไหมครับที่เราจะทราบว่า ภาพที่เราเห็นตัวเอง กับภาพที่คนอื่นๆ รอบๆ ตัวเราเห็นเรา เป็นภาพเดียวกัน หากสำคัญ จะมีวิธีทราบได้อย่างไร

เจอคำถามดีเข้าแล้ว ขอบคุณนะครับที่ให้โอกาสผมได้เขียนในประเด็นนี้

ผมคิดว่าภาพที่เราเห็นตัวเองมีความสำคัญอย่างยิ่งครับ โดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ ซึ่งจะช่วยให้เด็กพัฒนาเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง กล้ายืนหยัดอยู่บนความถูกต้อง ไม่ฉาบฉวย หลงกระแสไปโดยไม่คิด

ฝากเว็บไว้สามหน้าให้อ่านครับ

ต่อให้เป็นคนที่เราสนิทที่สุด ก็จะไม่เห็นภาพของเราเป็นแบบเดียวกับภาพที่เรามองตัวเอง เพราะว่าต่างคนต่างมีชีวิตของตน ไม่มีใครอยู่ด้วยกันตลอดเวลา (แม้แฝดสยาม ก็อาจแตกต่างกันได้มาก)

ภาพที่เราเห็นตัวเองที่แตกต่างกับภาพที่คนอื่นๆ มองเห็นตัวเรา อาจชี้ไปในทางที่

  1. เราไม่สามารถ express ตัวเองได้ดีพอ -- เป็นปัญหาการสื่อสาร
  2. สิ่งที่เราทำ ไม่เหมือนกับสิ่งที่เราคิด -- เป็นปัญหาการปฏิบัติ ปัญหา AQ ต่ำ ยอมให้เงื่อนไข/ข้อแม้ มามีอิทธิพลเหนือเป้าหมาย
  3. จิตสำนึกถูกปรุงแต่งจนแตกต่างกับจิตใต้สำนึกมาก -- ปัญหาจริยธรรม/การควบคุมตัวเอง
  4. เราไม่มีโอกาสได้ทำอย่างที่ต้องการทำ -- อันนี้มัวแต่นั่งรอราชรถมาเกย จะโทษใครดี!!

วิธีการตรวจสอบ ก็คงต้องหมั่นสอบทานครับ ไม่รู้จะตอบอย่างไรเหมือนกัน: สื่อสารกันมากขึ้น หัดอ่านปฏิกริยาของคน "เปิด"ตัวเองมากขึ้นเท่าที่เห็นสมควร ถามหา feedback ที่เขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจเรา แล้วรับให้ได้เมื่อเขาพูดตรงๆ

ผมคิดว่าภาพที่เราเห็นตัวเอง เป็นผลมาจาก self-esteem ครับ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่มองออกไปข้างนอก (ชี้นิ้ว ไม่พอใจ คนอื่นเป็นคนผิดเสมอ) แต่เราลืมย้อนกลับมามองตัวเองตามความเป็นจริงเพื่อปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น เป็นคนที่มีค่าสำหรับคนรอบข้าง (มีค่า กับ เก่ง ไม่เหมือนกันนะครับ)

ผมคิดว่าสังคมไทย มี self-esteem ต่ำมาก และเราก็ละเลยเรื่องนี้กันเป็นล่ำเป็นสัน สังเกตจากการขาดคนที่สามารถที่จะชื่นชมคนอื่นอย่างจริงใจ (ไม่ยอมรับว่าคนอื่นดีกว่าตน)

นอกจากนั้น สังคมไทยชอบยัดเยียดอุดมคติของตนลงไปที่คนอื่นๆ ใช้คำว่า "ต้อง" อยู่ตลอดเวลา ไม่เคารพในความแตกต่าง เพราะว่าจุดยืนที่ตั้งอยู่บนฐานที่ไม่แน่น ก็ไม่สามารถจะต้านทานความแตกต่างได้ ในที่สุดก็จะไหลไปตามกระแส เราจึงทำอะไรเป็นพักๆ ชอบแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแล้วนึกว่าตัวเองเก่ง

เรามักจะลืมไปว่า แม้แต่ร่างกาย"ของเรา"เวลาไม่สบาย-หรือเป็นแผล จะสั่งให้หายก็ยังไม่ได้เลยครับ (คือว่าสั่งได้แต่มันไม่หาย) สิ่งเดียวที่เรา "สั่งได้" แม้ไม่ง่ายคือจิตใจของเราเท่านั้น

ขอเสริมคุณ conductor ครับ

Sherk กล่าวไว้ว่า "มันไม่สำคัญหรอกที่คนอื่นจะมองเราเป็นยังไง ถ้าเค้ามองเราเป็นไอ้ขี้แพ้แล้วเราจะเป็นไอ้ขี้แพ้หรือ?"

ผมเชื่อว่า ถ้าคนเรามีความเชื่อมั่นในตัวเอง มีความหวัง ความฝัน สักวันมันจะเป็นจริงได้ ถ้าเราไม่หยุดไปซะก่อนครับ

เช่นกันในขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่เนี่ย เรากำลังทำอะไร เพื่ออะไรอยู่ มีสักกี่คนกันครับที่รู้ ผมก็อยากรู้ตัวเองเหมือนกันครับ ;)

 

ผมกำลังถูกสอบสวนเรื่องทำตัวลึกลับเกินไปครับ (เรื่องตัวตน/รูปที่ใช้บน GotoKnow)

รูปแรก อธิบายไว้ในบันทึกแล้ว

ส่องกระจกก็เห็นตัวเอง เมื่ออ่านข้อความของผมแล้วคิดอะไร สิ่งนั้นก็สะท้อนความคิดและตัวตนของท่านผู้อ่านเอง

ระหว่างผู้ที่รู้จักนิสัยใจคอกัน ผมเป็นผู้มีชื่อเสียงในการป่วนความคิดคนรอบข้าง เป็นคนที่มักจะไม่บอกอะไรลูกน้องตรงๆ คือชอบพูดให้คิด ไม่ได้พูดให้เชื่อ

ดังนั้น นอกเหนือจากกวนตะกอนให้น้ำขุ่นนิดหน่อยแล้ว ผมไม่ได้ทำอะไรให้ใคร จึงไม่จำเป็นต้องขอบคุณอะไรมากมายจนรู้สึกกระอักกระอ่วน

รูปที่สอง มีบางส่วนจากคาถาธรรมบทจากพระไตรปิฎก แปลว่า "เมื่อรู้ว่าอะไรคือจุดหมายปลายทางของตนแล้ว ก็ควรใฝ่ใจขวนขวาย"

แต่มีคำถามสำคัญที่ไม่ได้เขียนไว้ ว่าเรารู้เป้าหมายของเราหรือไม่ -- เพราะคนทุกคนแตกต่างกัน แต่ละคนคงจะมีเป้าหมายไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่มีคำตอบวิเศษที่เป็นคำตอบที่ดีสำหรับทุกๆ คน แต่ละคนจะต้องแสวงหาคำตอบสำหรับตนเอาเอง อย่าหวังว่าจะมีใครมาหาทางออกให้เราได้ตลอด

รูปนี้ ลองเปลี่ยนเพราะใช้รูปแรกมานาน พอเบื่อก็เลยลองเปลี่ยนดูว่าจะมีกัลยาณมิตรท่านใดสังเกตเห็นหรือไม่ ผู้คนจดจำของ Conductor จากรูป หรือชื่อ หรือสำนวน หรือจำไม่ได้เลย

รูปที่สามนี้ มาจากหนังเรื่อง Bean ซึ่ง Mr.Bean ไปทำภาพ Whistler's Mother เสียหาย แล้ววาดรูปการ์ตูนเอาไว้แทน -- ก็มันเป็นแค่หนังตลก อย่าไปคิดอะไรจริงจังมากนักเลยครับ

Bean ทำแบบนี้เพราะความรับผิดชอบของเขา-ในแบบของเขาเอง เขาเลือกที่จะแก้ไขสิ่งที่เสียหายแทนที่จะนั่งอยู่เฉยๆ แล้วตั้งเงื่อนไข-หาเหตุผลไปเรื่อยๆ ที่จะไม่ทำ เขามีความสุขกับสิ่งที่เขาทำได้เสมอไม่ว่าใครจะคิดกับเขาอย่างไร สุข-ทุกข์เกิดในใจเราเท่านั้น

สำหรับคนไม่คิดมากอย่าง Bean ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องคิดมากเลยครับ รูปก็เป็นแค่รูปเท่านั้น หัวคือหัว

คืนนี้ไล่อ่านความลับของชาวบ้านที่เจ้าตัวเต็มใจเปิดเผย ได้รู้อะไรแปลกๆ เยอะดี แต่พรุ่งนี้ก็คงลืมหมดแล้ว ไม่ชอบจำเรื่องส่วนตัวของใครเยอะๆ นอกจากจะมีประโยชน์ในการเตือนเราให้ทำหรือไม่ทำอะไร รวมถึงควรระวังเรื่องอะไร แต่นะ ถึงเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของแต่ละคนแล้วก็ต้องเอามาประยุกต์กับตัวเองอยู่ดี เหตุการณ์เดียวกัน คนละเวลา สถานที่ และบุคคล ผลลัพธ์อาจจะต่างกันสุดขั้วก็ได้

สำหรับผม Blog-Tag ไม่เคยเป็นเรื่องการเปิดเผยความลับหรอกครับ ความหมายของ Blog-Tag ดั้งเดิม คือให้เล่าเรื่องของเราที่คิดว่าคนอื่นไม่ค่อยรู้มาห้าเรื่อง

เริ่มต้นมาจากตรงนี้

สวัสดีครับ

  • ตามมาช้า เพราะเชื่อมโยงๆมาจากบันทึกอื่นๆ
  • เริ่มมาจากการส่งการบ้านท่านครูบาฯครับ
  • ได้แง่คิด ได้ประโยชน์ดี
  • ขอบคุณครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท