กิ่วเคียน.... ผมเพียรพยายามเหลือเกินในการที่จะเขียนบันทึกถึงเรื่องราวอันเป็นนาฏกรรมชีวิตของนิสิตกลุ่ม "มหกรรมคนอาสา : นิสิตบ้าหนีเรียนไปเกี่ยวข้าว” ที่เกิดขึ้น ณ ที่นั่น แต่จนแล้วจนรอดผมก็ทำไม่สำเร็จสักที และเพียรพร่ำบ่น (จิก) ถามตัวเองว่าทำไมถึงไม่ยอมลงมือเขียนบันทึกถึงเรื่องเหล่านี้ให้แล้วเสร็จ ? ใยจึงปล่อยวันเวลาล่วงยาวผ่านมามากมายถึงเพียงนี้ ? กระทั่งบัดนี้ก็ยังให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้
ปลายเดือนพฤษภาคมของปีที่แล้ว (23 พฤษภาคม 2549) ผมเชื่อว่าบางท่านก็พอจดจำกันได้กับโศกนาฏกรรมของชาวอุตรดิตถ์ที่ประสบภัยธรรมชาติ “น้ำท่วม โคลนถล่ม” สูญเสียทรัพย์สินและชีวิตไปอย่างเศร้าสลด !
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ประสบชะตากรรมเช่นนั้นและปรากฏภาพชะตาชีวิตอย่างชัดเจนในสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ โดยเฉพาะหมู่บ้านที่อยู่ในเขตตำบลน้ำหมันที่ประกอบด้วย บ้านน้ำต๊ะ บ้านน้ำรี และบ้านทรายงาม รวมถึงบ้านกิ่วเคียน ตำบลจริม ด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้ง 4 หมู่บ้านเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ริม “ลำนำรี” โดย 3 ชุมชนแรกเป็นหมู่บ้านต้นน้ำ ส่วนบ้านกิ่วเคียนเป็นปลายสายของลำน้ำ ..</p><p> </p><p>ผมติดตามสถานการณ์ความเป็นไปในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง - และทราบว่า สามชุมชนแรกในตำบลน้ำหมัน ได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอย่างอุ่นใจ นั่นอาจเป็นเพราะเป็นชุมชนต้นน้ำที่เข้าถึงได้ง่าย ภาพข่าวต่าง ๆ จึงโหมกระแสพุ่งตรงไปยังพื้นที่ดังกล่าวอย่างเป็นเอกภาพ </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ครั้งนั้น, หนึ่งนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามเพียงไม่กี่คนมุ่งตรงลงสู่พื้นที่ผู้ประสบภัย สัญจรเข้าสู่ชุมชนต้นน้ำอย่างบ้านน้ำรี น้ำต๊ะและทรายงาม แต่เมื่อพบเห็นความร่วมมือร่วมใจของมหาชนที่หลั่งไหลเข้าสู่หมู่บ้านอย่างไม่ขาดสาย จึงได้ร่วมกับ มูลนิธิกองทุนไทย แกะรอยตามเส้นทางของสายน้ำมาเยือน “กิ่วเคียน” หมู่บ้านที่ประสบชะตากรรมไม่น้อยไปกว่ากัน แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาให้การช่วยเหลือ !</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p> </p><p> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ผมได้รับการยืนยันจากทุกภาคฝ่ายว่านิสิตของมหาวิทยาลัยมหาสารคามและทีมทำงานของมูลนิธิกองทุนไทย (รวมกันแล้วไม่เกิน 7 คน) คือกลุ่มคนกลุ่มแรกที่เข้ามารับรู้ รับฟังและให้การช่วยเหลือชาวบ้านด้วย “สองมือ” และ “หัวใจ” ที่เต็มร้อย</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">หลายคนฝังตัวช่วยเหลือชาวบ้านอยู่ที่นั่นนานเป็นสัปดาห์โดยไม่กลับมาเรียนหนังสือ วัน ๆ ก้มหน้าก้มตาขุดลอกดินโคลนออกจากบ้านแต่ละหลัง พบปะพูดคุยให้กำลังใจชาวบ้าน สำรวจข้อมูลความเดือดร้อนของแต่ละครัวเรือน รวมถึงอื่น ๆ อีกมากมายที่คิดว่า “ทำได้” ก็ลงมือทำอย่างไม่อิดออด ตลอดจนการส่งข่าวกลับมหาวิทยาลัยเพื่อชักชาวให้มิ่งมิตรทั้งหลายได้ระดมการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">การฝังตัวร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชาวบ้าน ทำให้นิสิตและทีมงานของกองทุนไทย มองเห็นสภาพความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของชาวกิ่วเคียน นั่นก็คือ ที่นาบริเวณลำน้ำได้ถูกโคลนถมทับจนไม่เหลือสภาพให้พลิกฟื้นปลูกข้าวได้อย่างที่เคยเป็น จนชาวบ้านต้องตกอยู่ในภาวะขาดแคลน “ข้าว” อย่างแสนสาหัส … ขาดแคลนทั้งข้าวที่ต้องใช้บริโภคและข้าวเปลือกที่จะต้องใช้เป็นพันธุ์ข้าวในการเพาะหว่าน</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">“กองทุนข้าวเปลือก” คือแนวคิดที่แจ่มชัดขึ้นและเป็นแนวคิดที่คาดหวังว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องและนำพาความยั่งยืนมาสู่ชุมชน </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">นับจากวันนั้นมาวิธีคิดเช่นนั้นก็ก่อให้เกิดกลุ่ม “มหกรรมคนอาสา” ขึ้นมา โดยมีมหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นศูนย์กลางของการขับเคลื่อนความช่วยเหลือดังกล่าวไปสู่พี่น้องชาวอุตรดิตถ์ โดยการระดมแรงกายและแรงใจจากทั่วสารทิศ (เท่าที่จะทำได้) ในการร่วมเป็น “คนอาสา” ลงแรงขอรับบริจาคข้าวเปลือกด้วยการ “ลงแขกเกี่ยวข้าว” ตามไร่นาของชาวบ้านในเขตจังหวัดมหาสารคามและร้อยเอ็ด เพื่อนำไปมอบให้ชาวกิ่วเคียนได้ใช้เป็นพันธุ์ข้าวเพาะปลูกในฤดูฝนที่กำลังจะมาเยือนในปี 2550</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>การเคลื่อนตัวของนิสิตในครั้งนั้น ได้สร้างปรากฏการณ์แห่ง “จิตอาสา” หรือ “จิตสำนึกสาธารณะ” ของคนหนุ่มสาวในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างน่ายกย่อง สื่อมวลชนหลายภาคส่วนทั้งหนังสือพิมพ์และรายการโทรทัศน์ตอบแทนความดีของพวกเขาด้วยการนำเสนอข่าวสารเหล่านี้เป็นระยะ </p><p> </p><p> </p><p>21 มกราคมที่ผ่านมา (อันยาวนาน) กองกิจการนิสิต ร่วมกับชาวมหกรรมคนอาสาได้จัดพิธี “สู่ขวัญข้าว” ขึ้นที่ชุมชนบ้านดอนนา ต.ขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม อันเป็นพื้นที่ละแวกมหาวิทยาลัย ซึ่งครั้งนั้นพี่น้องชาวบ้านจากอุตรดิตถ์ก็เดินทางมาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ขณะที่กองกิจการนิสิตก็ได้นำ “วงแคน” ไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์บรรยากาศในค่ำคืนนั้นอย่างน่าประทับใจ</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p> </p><p></p><p>(พี่น้องชาวกิ่วเคียน, น้ำต๊ะ, ทรายงามและน้ำรีเดินทางมาร่วมพิธีสู่ขวัญข้าว) </p><p> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">นั่นคือ พิธีกรรมอันสำคัญก่อนการนำข้าวเปลือกไปส่งมอบให้กับพี่น้องผู้ประสบภัยธรรมชาติ….นั่นคือครั้งสำคัญของการก่อเกิด “มหกรรมคนอาสา” ที่ควรค่าต่อการยกย่องและกล่าวถึง</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p>ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่เขียนบันทึกเรื่องนี้ซะที ! และไม่เข้าใจว่าตัวเองมัวไปทำอะไรอยู่ที่ไหนกันแน่ถึงได้ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมานานถึงเพียงนี้ ? </p><p></p><p></p><p></p>
สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน
อ่านแล้วน้ำตารื้น..และรู้สึกอิ่มเอมในใจตั้งแต่เช้าเลยค่ะ..เขียนเมื่อไหร่ไม่สำคัญเท่ากับตอนนี้ได้เขียนแล้วและเขียนได้อย่างดี..เพราะมี " ผล " การกระทำที่ปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจนในเดือน มค.ที่ผ่านมา..ขอไปเตรียมตัวใส่บาตรก่อนนะคะ..
สวัสดีครับ...คุณเบิร์ด
แวะมาอ่านบันทึกของตนเองในเช้าสาย ๆ ที่กำลังรอการออกเดินทางไปราชการ
ขอบคุณมากครับที่กรุณาแวะมา ลปรร. อย่างต่อเนื่อง
กิ่วเคียน...เป็นพื้นที่ที่อยู่ลึกมาก ช่วงที่ประสบภัยก็ถูกตัดขาดจากภายนอก แต่ยังโชคดีที่อยู่ปลายน้ำไม่มีใครเสียชีวิต และการสูญเสียทรัพย์สินก็มีอย่างมหาศาล
ค่ำคืนที่น้ำและโคลนไหลบ่ามานั้น ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าเสียงสัตว์ที่ลอยมากับกระน้ำและทะเลโคลนร้องระงมดังลั่น ...
ปัจจุบันนี้ ...มีศพที่หาไม่เจอไม่ต่ำกว่า 30 ราย...ผมไปพื้นที่มาแล้ว ที่นั่น....น่าเห็นใจมากครับ
มาเยี่ยม...
เห็นมุมคิด...รถบรรทุก...ปลายทางแห่งฝัน...เห็นแสงตะวันอยู่ไกล ๆ นะครับ...
สวัสดีครับ อ.ขจิต
ขอบคุณมากครับสำหรับกำลังใจในการแวะมาทักทาย
อันที่จริงเรื่องที่กิ่วเคียนมีอีก 2 - 3 เรื่องที่สามารถเขียนถึงได้ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงเขียนออกมาไม่ได้เลย...หรืออาจเป็นเพราะผม "อิน" กับภาพชีวิตมากจนเกินไป จนเขียน "ความจริง" ไม่ได้
การได้นอนบนรถบัสสองคืนติดต่อกัน คือ ความรู้สึกอันวิเศษ หนาว ๆ อุ่น ๆ อย่างน่าจดจำเป็นที่สุด
... นิสิตเรามีพลังใจเต็มร้อยครับ แต่ยังขาดประสบการณ์เรื่องการจัดการและบริหารระบบ จึงลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่น้อย แต่โชคดีที่เป็นงานภาคสนามจึงไม่เน้นพิธีการมากนัก กระนั้นก็คุยกับพวกเขาว่าเราต้องเรียนรู้ระบบการบริหารจัดการด้วยเช่นกัน
ภูมิใจกับนิสิตกลุ่มนี้มาก....
ขอบคุณครับ....
สวัสดีครับ พี่อัมพร
เดิมทีก็กะจะตั้งชื่อบันทึกนี้ว่า "กิ่วเคียน..ความทรงจำไม่รู้จบ" แต่ดูเหมือนจะเป็นกวีเกินไป เลยเปลี่ยนใหม่ซะยาวเลย
ผมยังอยากเขียนถึงกิ่วเคียนอีกสักสองตอน แต่ขอให้มีพลังมากกว่านี้ก่อนนะครับ...
.....
สวัสดีครับ คุณหมูน้อย
..เกิดเป็นคนไทย ไม่ช่วยคนไทย..จะเป็นคนไทยได้ไงจริงไหมครับ...
อยากให้เห็นภาพบรรยากาศที่นิสิตเกี่ยวข้าวอยู่กลางแดดร้อนจังเลย รวมถึงการขุดลอกโคลนตมและการขนหินชะลอแรงน้ำในลำน้ำรีจังเลย...จะได้สัมผัสลึกว่า ทุก ๆ อย่างที่ลงแรงมีความหวังของการ "มีชีวิต" เสมอ
ขอบคุณครับ
อ. umi |
ภาพที่รถวิ่งนั้นเป็นช่วงที่อยู่บนเขาน้ำหนาว เรา 6 ล้อบรรทุกข้าวเปลือกพร้อมนิสิตดูแลร่วม 10 คนออกเดินทางล่วงหน้ารถบัสร่วม 1 ชั่วโมงแต่รถบัสก็แซงตรงน้ำหนาวนี่แหละครับ...
ไปถึงกิ่วเคียนก็ตี 2 แล้งนะครับ....อากาศหนาวเย็นมาก ๆ
12ปีผ่านไป เด็กเสื้อสีชมพูที่กำลังเดินเข้าบ้านที่เต็มไปด้วยดินโคลนในภาพประกอบ พึ่งได้อ่านข้อความนี้ หน่วยงานต่างๆ เข้ามาสร้างภาพและจากไป แต่จำได้ดีว่ากลุ่มพี่ๆนักศึกษาจากม.ต่างๆเข้ามาช่วยอย่างจริงจัง บางกลุ่มอยู่คลุกคลี จนผูกพันธ์กับชาวบ้านที่นี่ ขอบคุณนะคะ ^ ^