กว่าจะเก็บกระเป๋าและข้าวของออกจากที่ทำงานก็ล่วงเข้าเกือบ ๒ ทุ่ม เพียงเพราะนิสิตท่านหนึ่งเข้ามาปรับทุกข์ เล่าความสุข ในกิจกรรม "มหกรรมคนอาสา" (เกี่ยวข้าวใหม่ กินปลามัน ปั้นข้าวจ้ำ ร่วมทำบุญ) ที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน แต่ก็กำลังจะเริ่มต้นมหกรรมรอบใหม่ในอีกไม่ช้า !
พวกเขาเรียกตนเองว่า "นิสิตบ้า" เพราะหลายคนโดดเรียนไปลงแขกเกี่ยวข้าวช่วยชาวบ้าน และขอรับบริจาคข้าวเปลือกไปช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบภัย "น้ำท่วม โคลนถล่ม" ที่ อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์
แต่โดยส่วนตัวแล้วผมแซวด้วยความรักใคร่ว่าพวกเขาไม่ได้บ้า ! แต่เป็นพวก "นิสิตกบฎ" ! เหตุที่เรียกเช่นนี้เพราะแกนนำที่ขับเคลื่อนล้วนเป็นผู้นำองค์กรนิสิตทั้งนั้น แต่ไม่ยัก "ขออนุมัติกิจกรรม" ตามระเบียบมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็น ชมรมคนสร้างฝัน ชมรมครูอาสา ชมรมวรรณศิลป์ ชมรมอาสาเพื่อในหลวง หรือแม้แต่กลุ่มพลังเสรี
ไม่แต่เฉพาะองค์กรนิสิตใน มมส เท่านั้น แต่ยังมีพันธมิตรอีกไม่น้อยร่วมอุดมการณ์สานฝันด้วยกัน อาทิ นักศึกษาจาก ม.อุบลราชธานี โรงเรียนพลาญชัยพิทยาคม เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน หรือแม้แต่มูลนิธิกองทุนไทย ซึ่งร่วมใช้พื้นที่เล็ก ๆ ใน มหาวิทยาลัยฯ เป็นพื้นที่ "ระดมพลคนอาสา" สืบมาตั้งแต่ ๑๖ พ.ย. ที่ผ่านมา
ผมติดตามกระบวนขับเคลื่อนของพวกเขามาโดยตลอด เมื่อสบโอกาสทั้งในระบบและริมทางเท้า เราก็มักพูดคุย ไต่ถามและให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง
ผมให้ความสำคัญกับ "เนื้องาน" อันเป็น "น้ำใสใจจริง" ของพวกเขา มากกว่าการ "ติดยึด" กับระบบ แต่ก็ไม่วายที่จะชักชวนพลพรรคอาสาเหล่านี้นำกิจกรรมดี ๆ เข้าสู่ระบบในมหาวิทยาลัย หรือไม่มหาวิทยาลัยก็ควรกระโจน "ลงแรง" ช่วยเหลือ สนับสนุนพวกเขาซะเลย เพราะยังไงเสีย กิจกรรมนี้ คือ กิจกรรมที่ให้ได้มากกว่า "ลุยขี้ตม เกี่ยวข้าวแบบทนแดด ทนฝน ทนลมหนาว กินข้าวกลางลานดิน" แต่มันเป็นกระบวนการเรียนรู้ในเชิง "วัฒนธรรมของชาวนา" และการทำนาไม่ใช่อาชีพ แต่มันเป็นวัฒนธรรมของชาวนา ที่สำคัญอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะ "วิถีวัฒนธรรมแรงงานอาสา" หรือที่เราเรียกกันอย่างคุ้นหู (แต่ไม่คุ้นตาให้พบเห็นบ่อยนักในวิถีชาวนาในปัจจุบัน) ว่า "ลงแขกเกี่ยวข้าว"
แน่นอนที่สุด, จุดประสงค์หลักก็คือการอาสาไปช่วยลงแขกเกี่ยวข้าวในหมู่บ้านเพื่อรับบริจาค "ข้าวเปลือก" ไปช่วยชาวบ้านผู้ประสบภัยฯ ใน จ.อุตรดิตถ์ ที่ซึ่งครั้งหนึ่งนิสิตเหล่านี้เคยสัญจรลงพื้นที่ไปช่วยเหลือเกื้อกูลในนาม "อาสาสมัคร" มาแล้วครั้งหนึ่ง จนเกิดแรงบันดาลใจที่จะกลับมาขอรับบริจาคข้าวเปลือกไปให้ชาวบ้านได้ "บริโภค" และจัดเก็บเป็น "พันธุ์ข้าว" เพาะปลูก และหว่านฝัน ต่อลมหายใจให้ชีวิตในฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง ...
แต่สำหรับผมแล้ว ผมเห็น (๑) แรงใจและจิตสำนึกอันดีงามของคนหนุ่มสาวที่มีต่อคนไทยที่ตกอยู่กับชะตากรรมความลำเค็ญจากภัยธรรมชาติ (๒) เห็นการทำงานในระบบเครือข่ายพันธมิตรทั้งในมหาวิทยาลัยและนอกมหาวิทยาลัย ทั้งในภาครัฐและเอกชน (๓) เห็นการสัมผัสและเรียนรู้วิถีชาวนากลางทุ่งข้าว ทั้งการเก็บเกี่ยวผลผลิต รวมถึงการกินอยู่แบบเรียบง่ายกลางสายลมหนาว (๔) การแลกเปลี่ยนแนวคิดและพลวัตรการทำนาของคนอีสานผ่านเวทีชาวบ้านท่ามกลางบรรยากาศค่ำคืนที่ท้องฟ้าประดับด้วยดาวหลากดวง หรือแม้แต่กลางทุ่งข้าวที่ลมหนาวยังพัดวู่ไหว (๕) เห็นน้ำใจและความอารีของชาวบ้านที่มีต่อชาวบ้านด้วยกันอย่างอบอุ่น (๖) เห็นปราชญ์ชาวบ้านที่ยังทำหน้าที่มรดกทางสังคมอย่างไม่ลดละ ...ฯลฯ
วันเวลาล่วงถึงวันนี้ , ข้าวเปลือกกองใหญ่กองรวมกันที่วัดบ้านดอนนา (จ.มหาสารคาม) และยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่ขนย้ายมาจากพื้นที่ ต.ดงลาน อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งคาดว่าจะได้ข้าวเปลือกจาก "ศรัทธา" ที่ร่วมกันลงแขกเกี่ยวข้าวไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ กระสอบ
บัดนี้ "เกี่ยวข้าวใหม่ กินปลามัน ปั้นข้าวจ้ำ" ได้ยุติลงแล้ว คงเหลือแต่เฉพาะ "ร่วมทำบุญข้าว" (สู่ขวัญข้าว) ในห้วงเดือนมกราคมอันเป็นวัฒนธรรมหนึ่งของชาวนาที่ตระหนักในบุญคุณของ "ข้าว" ที่นิสิตย้ำเน้นว่าให้ความสำคัญกับพิธีกรรมนี้มาก และต้องประกอบพิธีตามวิถีชาวนาเสียก่อน จึงจะขนย้ายและส่งมอบไปยังพี่น้องชาวอุตรดิตถ์
แต่ในแววตาที่ฉายฉานอยู่นั้น ผมรู้ว่ามีความเหนื่อยล้าซ่อนแฝงอยู่อย่างลึกเร้น โดยเฉพาะปัญหาหลักที่โหมกระหน่ำเข้ามายิ่งกว่าลมหนาวที่หนาวเหน็บและเย็นยะเยือก
ปัญหานั้นก็คือ "งบประมาณ" สนับสนุนการจัดกิจกรรมของนิสิตที่มีอยู่อย่างน้อยนิดและไม่เพียงพอต่อการ "ขนย้าย" ข้าวเปลือกจาก จ.ร้อยเอ็ด มายัง จ.มหาสารคาม และถ่ายโยงไปสู่ จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งหากล่าช้าไปกว่านี้สภาวะความชื้นของหมอกหนาว อาจทำให้ข้าวเปลือกชื้นแฉะ ไม่สามารถใช้ประโยชน์อันใดได้อย่างเต็มที่...
ผมเข้าใจและเห็นใจอย่างลึกซึ้งต่อ "มหกรรมคนอาสา" ที่ (หนีเรียน) หลบเร้นไปจากห้องเรียนมหา'ลัย ไปสู่ "ห้องเรียนชีวิต" กลางทุ่งข้าว และอดสะท้อนใจไม่หายกับชะตากรรมที่พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาเรื่องงบประมาณ ...!
"นิสิตบ้า" หรือ "นิสิตกบฎ" ย้ำกับผมอย่างแผ่วเบา แต่หนักแน่นว่า การพบปะกันในวันนี้ มิใช่การบอกกล่าวเล่าความเหมือนครั้งที่ผ่านมา หากแต่มาร้องขอความช่วยเหลือในการขับเคลื่อนใน "โค้งสุดท้าย"
ก่อนลาจาก ....ผมหยิบยกเอาถ้อยคำของท่านผู้หนึ่งที่เพิ่งผ่านเข้ามาในชีวิตผมเมื่อไม่นานบอกกล่าวกับเขาว่า "ความจริงสวยงามเสมอ" พร้อมให้สัญญากับเขาว่า "พันธกิจ" ของผู้คนในมหกรรมคนอาสา จะต้องเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างแน่นอน ... เพราะคนทำดี ไม่สมควรถูกปล่อยเคว้งและเดินทางอย่าง "เดียวดาย"
เรี่ยวแรงและหยาดเหงื่อการเก็บเกี่ยวของ "คนอาสา" และ "ชาวนา" จากที่ราบสูงในวิถี "ลงแขก" จักต้องไม่สูญเปล่า ..
ที่สำคัญผมและนิสิตกบฎท่านนี้ยังวาดหวังว่า ปีหน้าฟ้าใหม่เราจะขับเคลื่อนกองทุนข้าว (ธนาคารข้าว) ขึ้นที่ชุมชนใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย ให้ชาวบ้านได้เป็นส่วนหนึ่งของการเก็บเกี่ยว , ก่อตั้งกองทุนข้าว และร่วมใช้ประโยชน์ร่วมกันเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา (เมื่อนานมาแล้ว)
แต่ตอนนี้และขณะนี้ เราต่างก็บอกกับตนเองว่า "มหกรรมคนอาสา" บทใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ....และเราก็พร้อมแล้ว...
ชุดความรู้ของคนอีสาน มีภูมิสังคม เป็นฐาน คนรุ่นใหม่ในอีสาน ไม่ยอมเรียนภูมิสังคมอีสาน
แล้วคนรุ่นไหน จะดูแลอีสาน
พันธมิตรทางวิชาการต้องต่อวงจรกันให้ติด ร่วมคิดดังๆ พลังจะเกิดอย่างมีพลัง
ยินดีด้วยนะคะ เป็นข่าวดีก่อนนอนเลยค่ะ
แย่จัง...เพิ่งมีโอกาสค้นพบบันทึกตกค้าง
ขอบคุณมากครับ เจ้หนิง...