ท่านคิดว่า
หากเราศึกษาอะไรซักอย่างแล้ว ทำให้สิ่งที่ศึกษามันแตกแขนงไปเรื่อยๆ ทำให้น่าติดตามไปเรื่อยๆ แล้วถ่ายทอดให้คนอื่นรับรู้เพื่อต่อยอดไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้เคยเกิดในตัวท่านบ้างไหมครับ ว่าสิ่งที่เราเป็นอยากรู้อยากเห็น อยากเรียนรู้ เน้นตัวความรู้ หรือสิ่งที่ได้มานั้นไม่รู้ว่าเป็นความรู้หรือไม่ ท่านคิดว่ามันเป็นกิเลสไหมครับ
หากเป็นเราจะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร เพื่อดับกิเลสตัวนี้
หากเทียบการกระหายความรู้นี้ เหมือนการกระหายเงินทอง ทรัพย์สมบัติหล่ะครับ จะเป็นกิเลสหรือไม่ครับ หากต่างคำตอบกับความรู้นั้นเราจะอธิบายอย่างไรครับ
กราบขอบพระคุณมากครับ
สมพร ช่วยอารีย์
สวัสดีค่ะคุณเม้ง เม้ง สมพร ช่วยอารีย์
เพลงไพเราะมากค่ะ
มาเยี่ยม...
มองได้หลายมุม...
ไม่ทราบว่านี่พอจะเป็นคำตอบได้หรือเปล่าครับ
ผมเคยเห็นคำตอบในเรื่องนี้บางแห่งครับ ที่ตอบตรงๆ เลย ขอเก็บเป็นการบ้านนำมาฝากนะครับ
โดนใจคะ
(ไม่คิดว่าจะมีคนคิดคล้ายๆกัน อะนะเคอะ)
อืม ฟังจากคุณอุทัยแล้ว คิดว่าไม่เข้าใจ แต่คิดว่าโดนถึงแก่นของหัวใจคะ
ขออนุญาตแวะมาทักทายคะ
อาจารย์เม้ง.....
คำถามทำนองนี้ รู้สึกว่าพระคุณเจ้าค่อนข้างตอบยาก...แต่จะลองตอบดู...
การกระหายความรู้ อยากรู้อยากเห็นในความรู้ เป็นกิเลสหรือไม่ครับ ...
พิจารณาคำถามแล้ว อาจเพ่งคำสำคัญได้ ๓ คำ คือ
ทั้ง ๓ กลุ่มนี้ จัดเป็น เจตสิก ซึ่งเป็นคุณลักษณะ หรืออาการของจิต โดยที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป พร้อมกับจิต...
เจตสิก นี้ มีทั้งหมด ๕๒ ซึ่งอาจจำแนกโดยย่อได้เป็น ๓ กลุ่ม คือ ฝ่ายดี ฝ่ายชั่ว และฝ่ายกลางๆ...
ฝ่ายกลาง ๆ ก็เช่น วิริยะ ความเพียรพยายาม ถ้าสนับสนุนฝ่ายดีก็ไม่เป็นกิเลส ถ้าสนับสนุนฝ่ายชั่วก็จัดเป็นกิเลสได้...
ปัญญินทรีย์ หรือ อโมหะ ความรู้ ความเข้าใจ ความไม่หลง จัดเป็นฝ่ายดีอย่างเดียว....
โลภะ ความอยากได้ในอารมณ์ จัดเป็นฝ่ายชั่ว ฝ่ายเดียว...
เมื่อนำข้อความคำถามมาประมวลแล้ว อาจยังฟันธงไม่ได้ จะต้องศึกษาเฉพาะเรื่องเฉพาะกรณีว่าเป็นกิเลสหรือไม่...
อนึ่ง คำสอนทางพระพุทธศาสนาจัดเป็น วิภัชชวาท คือ วิเคราะห์เฉพาะเรื่องเฉพาะกรณี มักจะไม่เหมารวมทั้งหมด....
เจริญพร
ขอบคุณน้องธรรมาวุธ
ขอบคุณพี่รุจิราพร มากๆนะครับ
กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ
กิเลส คือ สิ่งที่มนุษย์คิด มนุษย์สร้าง มนุษย์กระทำ
คิดดี สร้างดี ทำดี
คิดไม่ดี สร้างไม่ดี ทำไม่ดี = ไม่เลว
(คิดเสียงดัง)
อืม.... พี่สมพร คะ อย่าเรียกนุชคุณพี่เลยนะเคอะ เขินอะนะคะ
ที่บอกว่าโดนใจ ที่ว่าไม่คิดว่าจะมีคนคิดคล้ายๆกัน คือ หมายถึง มีกิเลสที่จะคิด ที่เขียนเหมือนกัน ว่าวะงั้นอะกะ
กิเลศ ด้านดี มีไหม
กิเลศ ด้านลบ เชื่อว่ามี
บางทีอาจจะอยู่ที่ขยับโจทย์ ออกพ้นจาก กิเลศ ไปอยู่ในหมวดอื่น จะดีไหม เดี๋ยวชาวบ้านตีความกันสมองแฉะ
ท่านครูมากๆครับ
สวัสดีค่ะคุณเม้ง
ตอนแรกว่าจะแวะมาทักทายเฉยๆ แต่พอเข้ามาอ่าน กลับทำให้เกิดความคิดต่อก็เลย ฝากไว้นิดหนึ่งแล้วกัน..ปอ.ปยุตโต ได้ให้ความหมายไว้ว่า " ถ้าทะยานอยากในสิ่งที่ดีเรียกว่าขยันหมั่นเพียร " ค่ะ..
เพราะฉะนั้นถ้าอยากรู้อยากเห็นในเรื่องการเรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นการทะยานอยาก ( ถ้าดูในความหมายนี้ก็คือ ตัณหา ) แต่้เป็นการทะยานอยากในสิ่งที่ดีและไม่เกิดความเศร้าหมอง ( ก็คือไม่เกิดกิเลส ) จึงถือว่าเป็น " ความขยันหมั่นเพียร " เจ้าค่ะ..ฝากอิทธิบาท 4( ธรรมให้ถึงความสำเร็จ ) ไว้ให้คิดต่อแล้วกัน..
ฉันทะ = ความมีใจรัก พอใจที่จะทำสิ่งนั้นด้วยใจรักเพื่อให้เกิดผลสำเร็จอย่างดี
วิริยะ = ความพากเพียร ขยัน พยายาม เข้มแข็งอดทนไม่ท้อถอยจนกว่าจะสำเร็จ
จิตตะ = ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำด้วยความคิด ไม่ฟุ้งซ่านทำงานนั้นอย่างอุทิศตัวอุทิศใจ
วิมังสา = การใช้ปัญญาสอบสวน หมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญหาเหตุผลเพื่อให้สิ่งนั้นได้ผลดีขึ้น
ขอบคุณที่ทำให้สมองได้ออกกำลังค่ะ..
ยังไงผมก็เชื่อว่าเป็นกิเลสอยู่ดี....55555
เพราะผมคิดเอาง่าย ๆ ว่า...อยากได้ อยากมี อยากเป็น...อยากไม่ได้ อยากไม่มี อยากไม่เป็น...ล้วนเป็นกิเลสทั้งสิ้น...
เพียงแต่ว่ากิเลสนั้นหนามากหรือเบาบางแค่ไหน...เส้นทางแห่งความเป็นไปของกิเลสเป็นเช่นไร...เช่น ถ้ามีความโน้มเอียงไปทางนิพพาน(เหมือนกระดานหก หัวทิ่มลงมาทางนิพพานว่างั้น...อิอิ)...ก็แสดงว่ามีปัญญากำกับเส้นทางความอยากอยู่ด้วย...
หากใช้ปัญญาเป็นกรรไกรตัดกิเลสได้...จนไม่มีอะไรให้ตัดอีกต่อไป...ถึงจะเรียกว่าหมดสิ้นแล้วซึ่งกิเลสอาสวะครับ...อิอิ
ขอบคุณคุณพี่มากๆครับ
ขอบพระคุณท่านอาจารย์แฮนดี้มากครับ
หวัดดีคะพี่เม้ง