มีรุ่นพี่ที่เคารพท่านหนึ่งเคยบ่นให้ฟังว่า...
"คนเรานี่เห็นแก่ตัวจริงๆ ชอบแบ่งประเภทผู้อื่น ว่าเขาเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ว่าเขาเป็นสัตว์นรกบ้าง แล้วยกย่องตัวเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ!"
ตอนนั้นผมก็ตอบคำถามรุ่นพี่ท่านนี้ได้ไม่เต็มปากนัก เพราะไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเหตุไรมนุษย์เราถึงได้บังอาจเรียกตัวเองว่าสัตว์ประเสริฐ ผมได้แต่แย้งในใจว่ามันต้องมีหลักอะไรสักอย่างซิ ไม่งั้นพุทธศาสนาเราจะกล่าวถึงทำไม
มาวันนี้ผมเจอคำตอบมานำเสนอแล้วครับ
(สมาชิกในสังกัดมนุษยชาติ)
มนุษย์เป็นสัตว์พิเศษ ซึ่งแตกต่างจากสัตว์ทั้งหลายอื่น สิ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นสัตว์พิเศษ ได้แก่ สิกขา หรือการศึกษา คือการเรียนรู้ฝึกฝนพัฒนา มนุษย์ที่ฝึก ศึกษา หรือพัฒนาแล้ว ชื่อว่าเป็น "สัตว์ประเสริฐ" เป็นผู้รู้จักดำเนินชีวิตที่ดีงามด้วยตนเอง และช่วยให้สังคมดำรงอยู่ในสันติสุขโดยสวัสดี
มนุษย์ที่ชื่อว่าฝึก ศึกษา หรือพัฒนาตน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ผู้เป็นสมาชิกใหม่ของมนุษยชาติ พึงมีคุณสมบัติที่เป็นต้นทุน ๗ ประการ ที่เรียกว่า แสงเงินแสงทองของชีวิตที่ดีงาม หรือ รุ่งอรุณของการศึกษา ซึ่งเป็นหลักประกันของชีวิตที่จะพัฒนาสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ผู้เป็นสัตว์ประเสริฐอย่างแท้จริง ดังนี้
๑. กัลยาณมิตตตา (มีกัลยาณมิตร) แสวงแหล่งปัญญาและแบบอย่างที่ดี คือ อยู่ร่วมหรือใกล้ชิดกัลยาณชน เริ่มต้นแต่มีพ่อแม่เป็นกัลยาณมิตรในครอบครัว รู้จักคบคน และเข้าร่วมสังคมกับกัลยาณชน ที่จะมีอิทธิพลชักนำและชักชวนกันให้เจริญงอกงามในการพัฒนาพฤติกรรม จิตใจ และปัญญา โดยเฉพาะให้เรียนรู้และพัฒนาการสื่อสารสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ด้วยเมตตา มีศรัทธาที่จะดำเนินตามแบบอย่างที่ดี และรู้จักใช้ปัจจัยภายนอก ทั้งที่เป็นบุคคล หนังสือ และเครื่องมือสื่อสารทั้งหลาย ให้เป็นประโยชน์ในการแสวงหาความรู้และความดีงาม เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาชีวิต แก้ปัญหาและทำการสร้างสรรค์
๒. สีลสัมปทา (ทำศีลให้ถึงพร้อม) มีวินัยเป็นฐานของการพัฒนาชีวิต คือ รู้จักจัดระเบียบความเป็นอยู่กิจกรรมกิจการและสิ่งแวดล้อมให้เอื้อโอกาสแก่การพัฒนาชีวิต อย่างน้อยมีศีลขั้นพื้นฐาน คือมีพฤติกรรมที่ถูกต้องในความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางสังคม ด้วยการอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์อย่างเกื้อกูลไม่เบียดเบียนกัน และในความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางวัตถุ ส่งเสริมคุณภาพชีวิต เกื้อหนุนการศึกษา การสร้างสรรค์ และระบบดุลยสัมพันธ์ของธรรมชาติ
๓. ฉันทสัมปทา (ทำฉันทะให้ถึงพร้อม) มีจิตใจใฝ่รู้ใฝ่สร้างสรรค์ คือ เป็นผู้มีพลังแห่งความใฝ่รู้ ใฝ่ทำ ใฝ่สร้างสรรค์ ใฝ่สัมฤทธิ์ ใฝ่ความเป็นเลิศ อยากช่วยทำทุกสิ่งทุกคนที่ตนประสบเกี่ยวข้องให้เข้าถึงภาวะที่ดีงาม ไม่หลงติดอยู่แค่คิดจะได้จะเอาและหาความสุขจากการเสพบริโภค ที่ทำให้จมอยู่ใต้วังวนแห่งความมัวเมาและการแย่งชิง แต่รู้จักใช้อินทรีย์ มีตาที่ดู หูที่ฟัง เป็นต้น ในการเรียนรู้ หาความสุขจากการศึกษา และมีความสุขจากการทำสิ่งที่ดีงาม ด้วยการใช้สมองและมือในการสร้างสรรค์
๔. อัตตสัมปทา (ทำตนให้ถึงพร้อม) มุ่งมั่นฝึกตนจนเต็มสุดภาวะที่ความเป็นคนจะให้ถึงได้ คือ ระลึกอยู่เสมอถึงความจริงแท้แห่งธรรมชาติของมนุษย์ผู้เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ และต้องฝึก ซึ่งเมื่อฝึกแล้วจะประเสริฐเลิศสูงสุด แล้วตั้งใจฝึกตนจนมองเห็นความยากลำบาก อุปสรรค และปัญหา เป็นดุจเวทีที่ทดสอบและพัฒนาสติปัญญาความสามารถ มีจิตสำนึกในการพัฒนาตนยิ่งขึ้นไป จนเต็มสุดแห่งศักยภาพ ด้วยการพัฒนาที่พร้อมทุกด้าน ทั้งพฤติกรรม จิตใจ และปัญญา
๕. ทิฏฐิสัมปทา (ทำทิฎฐิให้ถึงพร้อม) ถือหลักเหตุปัจจัยมองอะไรๆ ตามเหตและผล คือ ตั้งอยู่ในหลักความคิดความเชื่อถือที่ดีงามมีเหตุผล อย่างน้อยถือหลักเหตุปัจจัย ที่จะนำไปสู่การพิจารณา ไตร่ตรอง สืบสวน ค้นคว้า เป็นทางเจริญปัญญา และเชื่อการกระทำว่าเป็นอำนาจใหญ่สุดที่บันดาลชะตากรรม กับทั้งมีพฤติกรรมและจิตใจที่อยู่ในอำนาจเหตุผล แม้จะใฝ่ทำให้สำเร็จและดีงามสูงสุด ก็รู้เท่าทันความเป็นไปได้ภายในขอบเขตของเหตุปัจจัยที่มีและที่ทำ ถึงสำเร็จก็ไม่หลงลอย ถึงพลาดก็ไม่หงอยงง ดำรงจิตผ่องใสเป็นอิสระได้ ไม่วู่วามโวยวายเอาแต่ใจตน ตลอดจนไม่ปล่อยตัวเลื่อนไหลไปตามกระแสความตื่นข่าวและค่านิยม
๖. อัปปมาทสัมปทา (ทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม) ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท คือ มีจิตสำนึกในความไม่เที่ยง มองเห็น ตระหนักถึงความไม่คงที่ ไม่คงทน และไม่คงตัว ทั้งของชีวิตและสิ่งทั้งหลายรอบตัว ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยทั้งภายในและภายนอกตลอดเวลา ทำให้นิ่งนอนใจอยู่ไม่ได้ และมองเห็นคุณค่าความสำคัญของกาลเวลา แล้วกระตือรือร้นขวนขวาย เร่งศึกษาและป้องกัน แก้ไขเหตุปัจจัยของความเสื่อม และเสริมสร้างเหตุปัจจัยของความเจริญงอกงาม โดยใช้เวลาทั้งคืนวันที่ผ่านไปให้เป็นประโยชน์มากที่สุด
๗. โยนิโสมนสิการสัมปทา (ทำโยนิโสมนสิการให้ถึงพร้อม) ฉลาดคิดแยบคายให้ได้ประโยชน์และความจริง คือ รู้จักคิด รู้จักพิจารณา มองเป็น คิดเป็น เห็นสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็นไปในระบบความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย โดยใช้ปัญญาพิจารณาสอบสวน ค้น วิเคราะห์ วิจัย ไม่ว่าจะเพื่อให้เห็นความจริง หรือเพื่อให้เห็นแง่ด้านที่จะใช้ให้เป็นประโยชน์ กับทั้งสามารถแก้ไขปัญหา และจัดทำดำเนินการต่างๆ ให้สำเร็จได้ด้วยวิธีการแห่งปัญญา ที่จะทำให้พึ่งตนเองและเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้
ผมไม่แน่ใจว่าคำตอบนี้เป็นที่พึงพอใจของรุ่นพี่ท่านนั้นหรือเปล่า แต่สำหรับผมกระจ่างแจ้งเลยครับ
ถ้ายึดตามคุณสมบัติ แสงเงินแสงทองของชีวิตที่ดีงาม แล้ว ผมชักไม่แน่ใจว่าผมเป็นสัตว์ประเสริฐหรือเปล่า แต่ก็พยายามทำให้สมบูรณ์ทั้ง ๗ ข้อครับ
แล้วคุณล่ะครับคุณให้คะแนนตัวเองไว้กันอย่างไรบ้างครับ?
คราวหน้าผมจะกล่าวถึงว่าความเป็นมนุษย์หรือคนที่สมบูรณ์นั้นท่านวางหลักไว้อย่างไรบ้างครับ
ธรรมะสวัสดีครับธรรมาวุธ
พระพุทธเจ้าบอกว่า มนุษย์คือสัตว์แห่งการเรียนรู้ ใช่ไหมคะ
? ทางตะวันตก บอกว่า มนุษย์คือสัตว์สังคม
ไปได้ยินตอนดูรายการหนึ่งทางช่อง 7
ขออนุญาติบันทึกและมาทักทายคะ
สวัสดีครับ
ธรรมะสวัสดีครับ
ขอตอบแบบประสาผมนะครับ
ถ้าเป็นมวยนี่ผมคงกำลังถูกคู่ต่อสู้ต้อนเข้ามุมซินะเนี่ย
สวัสดีค่ะ
ตามมาอ่านและช่วยออกความเห็นเจ้าค่ะ..
มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ.. เพราะฝึกฝนตัวเองได้ ไม่ใช่เพียงแค่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ถือว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ ความเข้าใจผิดอันนี้ควรได้รับการแก้ไขโดยเร็ว..
ส่วนศีล คือปกติ สมำ่เสมอ หมายถึงควรเป็นสิ่งที่ปฏิบัติจนเป็นปกตินิสัย เนื่องเพราะทั้ง 5 ข้อเป็นทางในการทอนกิเลส ตัณหาลง..เพราะฉะนั้น หรือฉะนี้ก็ตามศีลไม่ได้เก็บสะสมอยู่ในตัวได้เหมือนเงินในธนาคารหรือน้ำในโอ่ง แต่ศีลต้องปฏิบัติจึงจะเกิดศีล และเมื่อปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจึงจะเกิดเป็นนิสัย..ถ้าวันนั้น ขณะนั้นเราปฏิบัติได้เพียง 2 ข้อก็ถือว่าในตอนนั้นขณะนั้นเรามีศีลเพียง 2 ข้อ แต่ไม่ได้หมายความว่าศีล 2 ข้อนั้นจะอยู่กับเราไปจนตาย..และอย่าลืมอีกอย่างหนึ่งว่าศีลจะเกี่ยวข้องกับสิ่งเร้าที่เราพบเจอ เพราะฉะนั้นจะรู้ว่ามีศีลที่แท้จริงหรือไม่ก็ต่อเมื่อเผชิญกับสิ่งเร้าแล้วยังสามารถรักษาไว้ได้ต่างหากจึงจะถือว่าเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์อย่างแท้จริง..
ขออภัยคุณธรรมาวุธด้วยค่ะที่มาช่วยตอบในบล็อก..และขอบคุณคุณเม้งที่ทำให้ได้ออกกำลังสมองอีกครั้งหนึ่ง..
สาธุครับคุณ เบิร์ด
แต่ผมว่าอย่างน้อยเราไม่ใช่สัตว์ เดรัจฉาน (เวลาอื่นๆ) อย่างแน่นอนครับ แต่จะเป็นก็เวลานอน เพราะเดรัจฉาน แปลว่า มีกายทอดขนานไปกับพื้นโลก
สงสัยต่อไปต้องนั่งๆยืนๆหลับ ห้ามนอนราบ
ขอให้ทุกคนรักษาศีล ทำได้มั่งไม่ได้มั่งก็เรื่องธรรมดาครับ ไม่มีอะไรในโลกเที่ยงแท้ แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ยกเว้น ความตาย เป็นของเที่ยงครับ ต้องดำเนินชีวิตไม่ประมาทเป็นดีที่สุดๆๆ
ยินดีต้อนรับครับ คุณนักลงทุนเงินน้อย
สวัสดีค่ะ
แอบเข้ามาดูอีกครั้งเพราะเกรงว่าเจ้าของบล็อกจะติติงอะไรหรือเปล่าโทษฐานที่ถือวิสาสะมาช่วยตอบ..
ขอบคุณมากค่ะที่กรุณาไม่ถือโทษ ^ ^..ส่วนเดรัจฉานนั้นเป็นการแบ่งตามภพภูมิจริงๆค่ะ มิได้หมายแต่เพียงว่ามีกระดูกสันหลังขนานกับพื้นโลกเท่านั้น..เพราะงั้นคนชอบนอน( อย่างเบิร์ด )จึงรอดตัว แต่รู้สึกว่าอาจจะโดนหางเลขจากคำว่า...........ยาว ค่ะ ^ ^
อ้อ ! ยังมีอีกคำถามของคุณเม้งที่ถามว่าสัตว์ที่ไม่ใช่คนมีโอกาสเป็นสัตว์ประเสริฐไหม? เห็นด้วยค่ะที่คุณตอบว่า " มี " เพราะในพระไตรปิฎกหรือนิทานธรรมรวมทั้งประวัติของพระพุทธเจ้าก็มีอ้างอิงไว้ ตั้งแต่ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงเสวยชาติเกิดเป็นกวาง ( ในพรานบุญ ) , พญาช้าง ฯลฯ ภพภูมิที่เป็นสัตว์นั้นด้อยโอกาสกว่ามนุษย์ในด้านการเข้าถึงธรรม การสนทนาธรรม การปฏิบัติธรรม และการเกิดเป็นสัตว์ก็มีเหตุปัจจัยอีกมากมาย..ไว้เบิร์ดจะรออ่านที่คุณธรรมาวุธเขียนตอบคุณเม้งนะคะ ^ ^
หากพระพุทธศาสนาเคยกล่าวไว้ในอดีตว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ เหตุผลตามที่ท่านได้กล่าวไว้เบื้องต้นแล้ว เช่นนั้น ทำไมในอดีตพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านถึงไม่ยอมบวชให้กับพญานาคราชที่ต้องการอุปสมบท โดยให้เหตุผลว่า นาค เป็นสัตว์เดรัจฉาน ทั้งที่ นาคราช เป็นผู้ฝึกฝน บำเพ็ญตน ศึกษาหาความรู้และมีความมุ่งมั่น อุตสาห มากกว่ามนุษย์เสียด้วยซ้ำไป การกระทำเช่นนี้ เป็นการแบ่งแยก กีดกัน หรือเปล่า รับไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นสายพันธุ์เดียวกับตนเอง เป็นอย่างนี้ใช่หรือเปล่าครับ