KRA DAI LING


KRA   DAI    LING    

          จู่ๆรุ่นพี่ก็เอากระดาษลายมืออ่านไม่ค่อยออกแต่มีโมเดลหน้าตาประหลาดๆแผ่นนึงฝากมาให้ลงสารประชาสัมพันธ์   แล้วก็บอกว่านี่คือ  การตกผลึกของมวลประสบการณ์แบบบูรณาการโดยมิติสัมพันธ์บริบทเชิงซ้อน   หรืออะไรสักอย่างที่ฟังดูขรึมขลังแต่คลุมเครือคล้ายๆกันนี้      

          น้องๆทั้งหลายก็บ่นว่าพวกเรานักวิชาการเนี่ย      ยิ่งพูดให้มันดูขึงขังอลังการล้านแปดแบบที่ชาวบ้านส่ายหัวได้มากเท่าไหร่  ยิ่งรู้สึกว่าเจ๋งขึ้นเท่านั้น  บางทีตัวเองฟังก็ยังฮงเลยว่าตูกำลังพูดอะไร  

          ครั้นบอกแกว่าให้พูดให้ฟังง่ายๆหน่อย  แกก็ทำหน้าขรึมขลังแล้วตอบคลุมเครือๆ ต่อไปว่า  คนเราจะรู้และคิดได้เท่ากับภาษาและสัญลักษณ์ที่เรามี ฟังแล้วกึ่งฉุนกึ่งเอะใจ  เกรงว่าแกจะหาว่าเราสติปัญญาไม่พอ เลยถามแกตรงๆว่าไอ้แผ่นๆแลแผนภูมินี่น่ะมันเรื่องอะไร เดี๋ยวเอาลงสารประชาสัมพันธ์  คนอ่านๆไม่รู้เรื่องแล้วเขาจะสวดเอา              

          รุ่นพี่แกเถียงเสียงแข็งว่าภาษาวิชาการมันก็ต้องซับซ้อน เพราะวิชาการนั้นเป็นเรื่องของนักคิดขั้นสูง  คือสูงด้วยศักยภาพในการคิดพลวัตเชิงระบบ   เพราะนักคิดเขาไม่ได้คิดชั้นเดียว  เขาคิดกันสิบชั้นแล้วก็จินตนาการผ่านจินตภาพสอดรับขับเคลื่อนอย่างเป็นเอกภาพ  แลถ่ายทอดด้วยถ้อยคำที่คัดกรองถ่องแท้แล้วว่ามีอำนาจในการอธิบายขยายความตามไท้ได้สะเด็ดยาดนัก การใช้คำดาดๆอันแสดงถึงความคิดพื้นๆออนเดอะฟลอร์นั้นไม่พึงทำ              

รุ่นน้องชักกลุ้มใจเลยพูดตรงๆว่า เอางิที่พูดมาทั้งหมดเมื่อตะกี้พี่ช่วยแปลให้มันเป็นคำที่ฟังง่ายๆตรงไปตรงมาฟังปุ๊บเข้าใจปั๊บหน่อยได้แมะ

                                   

          แกเก๊าะตอบตรงๆว่าไม่ได้.....!   (...ฮา..!..)             

          รุ่นน้องได้ทีเลยแหย่ไปว่าพวกวิทยาศาสตร์น่ะเขาจะพูดกันสั้นๆ ตรงๆ บอกว่าใครต้องทำอะไร หนึ่ง สอง สาม แล้วก็จบ  แต่พวกเราสังคมศาสตร์ต้องวาดลวดลายขายสำนวนสวนโวหารกันเป็นสามารถ ประชุมเรื่องเดียวเถียงกันได้เป็นชั่วโมง  เพราะเถียงกันคนละเรื่อง  เนื่องจากฟังกันเองไม่รู้เรื่องจริงไหม              

          รุ่นพี่ตอบเสียงเขียวแป๊ดว่าก็มันคนละศาสตร์กันนี่.....(เซ็นเซอร์)  พวกวิทย์เขาคิดแบบลิเหนี่ยร์เส้นตรง ทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล  เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ อันเป็นหลักคิดของพวกโพสซิติวิสต์  เป็นเอ็มพิริซิซึ่ม ต้องพิสูจน์ได้ในชาตินี้จึงจะเชื่อ เลยดูเป็นแนวแบบว่าคำตอบที่ถูกในโลกนี้มีเพียงคำตอบเดียว  

          แต่พวกสังคมศาสตร์ต้องมององค์รวม   มองแบบเป็นน็อนลิเหนี่ยร์เหตุปัจจโยโฮลิซึ่ม  เป็นแบบว่าคำตอบที่ถูกในโลกนี้มิได้มีเพียงคำตอบเดียว เพราะความจริงน่ะเป็นสิ่งสัมพัทธ์  มันมีเหตุมีปัจจัย มีตัวแปรแทรก ตัวแปรซ้อน ตัวแปรหลบๆซ่อนๆ  จะเอาโมเดลสำเร็จรูปมาครอบแบบจัดกรอบเข้าทฤษฎีคือความถี่ซ้ำๆเจ็นเนอรั่ลไหลเซชั่นเอาดื้อๆน่ะไม่ได้     เพราะสังคมมันเป็นพลงัดเอ๊ยพลวัต   มันเก๊าะเลยต้องอธิบายยาวด้วยภาษาที่แสดงถึงสภาวธรรมดำดิ่งของสิ่งนั้นอย่างเป็นองค์รวม  เข้าใจไหม!            

           พวกน้องๆจะตอบว่าไม่เข้าใจก็กลัวเสียฟอร์ม  เลยพยักหน้าหงึกหงักกันเป็นแถว              

           พี่แกคงอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยเลยพูดเสียงเขียวอ่อนลงมาว่า  น้องก็เข้าใจอยู่มิใช่หรือว่าภาษา(หรือการสื่อสาร)เป็นเรื่องของการประกาศตัวตนให้ผู้คนยอมรับด้วย  สังคมศาสตร์เองก็มีตั้งหลายสำนัก  เขาก็ต้องใช้ภาษาเฉพาะสำนักสร้างอัตลักษณ์ให้เป็นเอกลักษณ์  ถ้าไม่ถึงกับอัปลักษณ์ก็เป็นอันคบได้ 

           อย่างชื่อเรื่องยาวๆที่ว่ามาข้างต้น    คนอ่านก็ควรปรับระดับสติปัญญาให้เท่าทัน  อย่ามัวติดตันอยู่ที่กำแพงภาษา   ให้ดูที่พาราดิ๋ม เอ๊ยพาราไดม์ของเขาดีกว่า   ส่วนภาษานั่นไซร้ก็สไตล์ใครสไตล์มัน             

          ภาษายากๆน่ะดีออก ทำให้คนต้องคิดตาม ดีซะอีกจะได้มีความหลากหลายทางชีวภาพ เราจะได้รู้ภาษาหลายๆชุด   เห็นทีทรรศน์อัตตโนโหตุหลายๆแบบ   ทำให้ภูมิปัญญาแตกฉาน    ความรู้เบอะบาน      

          ดังนี้แล้วไซร้ ก็จงเอา    โมเดลการตกผลึกของมวลประสบการณ์แบบบูรณาการโดยมิติสัมพันธ์บริบทเชิงซ้อน   ของพี่ลงมหาชัยสารให้เสียแต่โดยดี                  

          รุ่นน้องยิ่งฟังยิ่งฮง  แต่ด้วยความเกรงใจเลยต้องรับไว้  กะว่ารับไว้แต่จะทำลืมๆไปจะได้ไม่ต้องลงให้คนอ่านเกิดภาวะสับสนทางภูมิปัญญาเอาได้ในภายหลัง  เพราะขนาดฟังที่แกพูดยังฮงได้ขนาดนี้ ถ้าต้องอ่านที่แกเขียน  จะงงสนิทจิ๊ดจี๋ขนาดไหน....           

.......แต่พรุ่งนี้ ถ้า ปชส. คนสวยเธอเผลอลงให้  เก๊าะตัวใคตัวเผือกละกัน           ......ฮา!....    

คำสำคัญ (Tags): #บทความ
หมายเลขบันทึก: 80481เขียนเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2007 23:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 17:32 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (17)
สงสารประชาสัมพันธ์จังค่ะ  ปวดเฮด ฮ่าๆๆๆๆๆ

สวัสดีค่ะอาจารย์  Ranee

ขออภัยที่เข้ามาสื่อสารช้านะคะ ช่วงนี้ได้แวะไปท่องเที่ยว(ในบล็อก)  แล้วก็หลงอยู่ในดงบันทึกอันอุดมไปด้วยแง่คิดและมุมมองต่างๆที่น่าสนใจมาก

ดิฉันดีใจจังค่ะ  ที่อาจารย์Raneeแวะมาที่บันทึกอันชวนเวียนเฮดและปวดฮาร์ทนี้   เคยนึกเล่นๆว่าท่านที่แวะเข้ามา น่าจะเป็นผู้สนใจเรื่องสนุกๆทางสังคมศาสตร์  จึงจะทนภาษาอันสับสนและอลหม่านนี้ได้  

เพื่อนเคยถามว่าตกลงเรื่องนี้ชื่อเรื่องอะไร  ดิฉันบอกชื่อเรื่องเป็นภาษาไทยเธอจึงหัวเราะก๊าก...  คือเธอแซวว่า เรื่องมันยุ่งยากจนต้องปีนกระไดอ่านอะค่ะ :)

    มาอ่านไปยิ้มไปไม่พอ ยังไปบอกต่อท่านพี่ August man ให้มาอ่านอีกคน .. ผมแอบนินทาอาจารย์ให้พี่ฟังว่า .. เขียนสะท้อนสภาพจริงด้วยอารมณ์ขัน และ เล่นกับภาษาได้สนุกและยอดเยี่ยมมาก.  อย่าโกรธเลยนะครับที่นินทาแบบนี้.
  • ขอบพระคุณค่ะอาจารย์ Handy
  • นึกถึงที่แม่พูดแล้วขำค่ะ  คือดิฉันมักอภิปรายแสดงความคิดเห็นโต้แย้งกับแม่   เรียกเป็นคำไทยประจำบ้านว่า  "เถียง"
  • แม่คงรำคาญน่าดู  วันหนึ่งขณะที่ดิฉันกำลังอภิปรายฉอดๆๆๆ  แม่ก็บอกว่า  "...จำไว้นะลูก....ทีหลังใครชมอย่าเถียง..!!...."
  • ดิฉันเลยหยุดกึก  เพราะต้องมานึกและแปลก่อน   แล้วก็ขำอะค่ะ  ....แม่ก็ช่างเบรคเชียว......
  • คือสรุปว่าจะเรียนว่าไม่โกรธเลยค่ะ  แบบว่าแม่สอนไว้อะค่ะ      :)        :-)

การตกผลึกของมวลประสบการณ์แบบบูรณาการโดยมิติสัมพันธ์บริบทเชิงซ้อน  

เพิงแก้-เกลา งานตัวเองเสร็จ

เราว่าของเราไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วนา...

The value of any diagnostic method usually lies in its ability to detect the presence of disease when it is present (sensitivity) and verify the absence of disease when it is not present (specificity).

ข้างบนของพี่แอมป์..เจ๋งกว่า
คิดถึง เทพพยากรณ์ใน"Matrix"  หนังดัง พระเอกหล่อ...น่ะค่ะ

อิ อิ..แซวแก้ง่วง  ยังเหลืองานอีกกะบิ !!!

สวัสดีครับ

โอ้โฮ...ยึดมั่นในอุดมการณ์จริงๆครับรุ่นพี่คนนี้ :)

ผมขอเป็นคนพูดง่ายๆฟังเข้าใจ1-2ชั้นดูจะมีความสุนทรีย์กว่าครับ อิอิ

ไม่เป็นไรครับเค้าคงจะมีความสุขที่อยู่สูงขนาดนั้น

แต่ถ้าลงมาจ่ายตลาดข้างล่างวันไหน พูดภาษา Floor Floor บ้างก็ดีนะครับพี่ :)

โมเดลของ"พุทธโมเดิร์นนิซึม"ใช่ป่าวคับ  อ่านเรื่อง "รับประทาน" จบหรือยัง  ใช่ paradigm เดียวกันมั้ย?  ถ้าไม่ว่างค่อยตอบปีหน้าก็ได้นะคับ ;)

อ่าว..  ตกลงว่าของพี่แอมป์อ่านแล้วฮงหนักกว่าของคุณหมอเล็กอีกเหรอคะ   ของพี่ไม่ต้องเปิดดิกนะเนี่ย   

ปล.พี่แอมป์กำลังฝึกตอบสั้นๆอะค่ะ  แบบว่าอึดอัดชะมัด เพราะพอพิมพ์ไปๆก็จะนึกออกว่าอยากพูดอะไรต่อ  อ่า..จบก่อนดีกว่าเดี๋ยวยาวจริงๆอะค่ะ   อิอิ

สวัสดีค่ะน้องเดย์

คือว่าพี่เขาคงงงตัวเองเหมือนกันนะพี่ว่า  : )

สวัสดีค่ะน้องเอก

ขอบคุณมากค่ะสำหรับดอกไม้สวย ผ่านสายตาที่มองโลกอย่างเปี่ยมสุขของตากล้อง  จนอยากตั้งชื่อคอลเล็คชั่นนี้ว่า

                          "..เพราะโลกนี้มีดอกไม้..."

           พี่แอมป์จะตามไปชมเป็นครั้งที่เจ็ด(เพราะชอบมากค่ะ)  : ) 

ปล.ดีใจจังหนนี้ตอบสั้นๆได้ด้วยอะ    : )  : )

ไห..บัดดี้

โห... จีเนียส !!  มีอะไรที่เราเขียนแล้วบัดดี้ไม่เข้าใจมั่งง่ะ          
  ......เราจะได้เขียน  ;-)

"รับประทาน" เหรอ ..  แหม..เข้าใจพูด  พาราดิ๋มเดียวกันแหละ   แต่ตอนนี้เรายังไม่มีเวลา  ไม่ว่าง รอปีหน้าละกัน
 ..เราอาจจะว่าง  : ) 

แล้วไม่ต้องตอบว่า  " ฟาย....น์ " นะ 
.....เพราะเราจะตอบว่า  "..ยูทู่.."  : )

เอางิ  เพื่อเป็นการไถ่โทษ  เราแปะเรื่องนึง (มี exp นา)   อ่านไม่รู้เรื่องเท่าๆข้างบนแหละ    ไม่ต้อง interpret น้าบัดดี้  เราเขียนตรงๆ 
จะได้เข้าใจเวลาเราเจอบางเรื่องแล้วนิ่งๆเฉยๆ  ทั้งที่โจคิดว่าไม่ควรนิ่ง    คือเรารู้สึกนะ  ไม่ใช่ไม่รู้สึก
...แต่เราไม่ชอบกระโดดกัดหูใคร     .. อย่างมากเราก็กระโดดกัดหูตัวเอง..
....เอ่อ..   ให้เราทำให้ดูเอาแมะ   อิๆๆๆๆๆๆ

 

                                                  ..อารมณ์..เก้ๆกังๆ..

การถูกฝึกให้ควบคุมอารมณ์ให้สงบนิ่งอยู่เสมอนั้น เป็นการดีสำหรับบางสถานการณ์ แต่อาจเป็นการแปลกพิลึกได้ในหลายๆครั้ง เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่สามารถแสดงอารมณ์ต่างๆได้โดยเปิดเผย แต่เรากลับนิ่งเฉย ดิฉันไม่เคยรู้ตัวเลย ว่าได้กลายเป็นคนแบบ” ไม่เข้าพวก” หรือ”ไม่สามารถจัดเข้าพวกได้” ในหลายๆหน

เพื่อนคนหนึ่งวิเคราะห์ให้ฟัง(ตอนที่ดิฉันแก่แล้ว)ว่าสมัยเล็กๆ เหตุที่ดิฉันรู้สึกโดดเดี่ยวลึกๆอยู่บ่อยๆทันทีที่ก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียน คงเป็นเพราะดิฉันมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร และพูดกับเพื่อนวัยเดียวกันไม่ใคร่รู้เรื่อง เนื่องจากอยู่กับผู้ใหญ่มากเกินไป จึงกลายเป็นคนช่างคิดเกินวัย เลยต้องพยายามหาทางออกด้วยการใช้จินตนาการแต่งเรื่องเพื่อให้มีโอกาสได้สื่อสารกับคนอื่น

ดิฉันจะนั่งเล่านิทานให้น้องๆ ฟังทุกวัน ระหว่างที่นั่งรถบัสไปโรงเรียน โดยมีเพื่อนผู้ชายรุ่นเดียวกันคนหนึ่งเป็นแฟนคลับเจ้าประจำ มานั่งคอยฟังตาแป๋ว ดิฉันมีความสุขสนุกสนานลั้นลันลามาก เมื่อเพื่อนนั่งฟังอย่างตั้งใจ เพราะเขาเป็นเพื่อนคนเดียว(ในรถ)ที่ดิฉันมี อันที่จริงน้องตัวน้อยๆนั้นน่ารักนัก แต่ที่ไหนจะคุยกันรู้เรื่องเหมือนเพื่อนวัยเดียวกันเล่า

ยิ่งเพื่อนทำท่าตั้งใจฟัง ดิฉันก็จะยิ่งเล่าได้อย่างออกรสออกชาติ จนน้องตัวเล็กๆ นั่งฟังตาโตอ้าปากหวออย่างตื่นเต้นสุดเหวี่ยง ในขณะที่เพื่อนนั่งจุ้มปุ๊กเบิ่งตาฟังอย่างตั้งใจตลอดเวลาสี่สิบห้านาที ดิฉันจึงเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าเขาเห็นเราเป็น"เพื่อนซี้ย่ำปึ้ก"อย่างแน่นอน จึงไม่ทอดทิ้งกันเช่นนี้

วันหนึ่งดิฉันเล่านิทานจบแบบตื่นเต้นเร้าใจตอนรถถึงโรงเรียนพอดี.... หากเพื่อนก็ยังนั่งฟังตาจ้องเป๋ง เหมือนน้องเล็กๆไม่มีผิด ช่างน่ารักจริงๆ .... ดิฉันคิด... ได้เวลาที่เราจะตอบแทนความน่ารักของเขาแล้ว..... ปากก็ไวดังใจนึก... ดิฉันบอกเพื่อนอย่างจริงใจที่สุดว่า....

“….คือเธอน่ารักจังเลย เรารักเธอ.... เราเลย.....”

ดิฉันพูดไม่ทันถึงตอนไคลแม็กซ์ เพื่อนก็ร้องเฮ้ยดังลั่นแล้วคว้ากระเป๋านักเรียนเผ่นแน่บลงจากรถไม่เหลียวหลัง... ปล่อยให้ดิฉันยืนเก้ๆกังๆ ด้วยความงงสุดขั้ว ..!!...

ดูเถิด....เราอุตส่าห์พูดอย่างอ่อนหวาน ดูดีมีชาติตระกูล .....เพื่อนกลับเปิดแน่บไปต่อหน้าต่อตา..... เสียมรรยืดสิ้นดี รู้งี้บอกไปด้วนๆหยั่งเคยดีฝ่า..!..

“ อะ... เราเลยยืมไอ้นี่มาให้ ....’ตูนไอ้มดแดง เอาไปอ่านซะไป๊” …. เฮ้อ....!...

.....พวกผู้ชายนี่ก็แปลกดี ถ้าพวกเขาตกใจ เขาจะหนีไปจากสิ่งนั้นให้เร็วที่สุด.... ในขณะที่เราผู้หญิงจะพูดคุยปรับทุกข์กันจนหาทางออกเจอ โดยไม่เห็นต้องเปิดหนีสี่ประตูต่อศูนย์เลยสักนิด

ประสบการณ์ชุดนี้ทำให้ดิฉันได้ข้อคิด เกิดวิจารณญาณว่าเรื่องบางเรื่องนั้น กุลสตรีสมควรเก็บไว้แต่ในอก ไม่ควรภูมิใจเสนออย่างโล่งโจ้งโอ่โถง เพราะอาจเสียฟอร์มอย่างมหาศาลได้ในที่สุด ......อย่างไรก็ตาม บทจะเก็บอารมณ์ ดิฉันก็เพียรเก็บไว้จนมิดชิด แบบที่ไม่รู้ว่าจะเก็บไว้ทำไม แต่มันก็เป็นนิสัยบ๊องๆ ที่ดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไรกับตัวเองดี

เวลาดูหนังสมัยเล็กๆ ในขณะที่ประชาชนรอบข้างหัวเราะก๊ากๆๆๆสนั่นหวั่นไหวนั้น ดิฉันจะนั่งปิดปากอมยิ้มสุดขีดด้วยอารมณ์ขันถึงขีดสุด และหัวเราะแบบไม่เปิดปากอย่างเงียบๆ ไม่มีเสียง แต่มีลมฟู่ๆออกทางจมูกนิดหน่อย และดิฉันก็ยังคงนั่งอมยิ้มสุดขีด และหัวเราะ(ฟู่ๆ)อย่างนี้ทุกครั้งที่ดูหนัง ไม่ทราบว่าเพราะอะไรเหมือนกัน อยากรู้ต้องลองทำดูนะคะ... แล้วจะได้อารมณ์ “ขำอมๆ” สนุกไปอีกแบบ : )

ครั้งที่เรียนจบมัธยมปลาย ในวันปัจฉิมฯที่ทุกคนร่ำไห้อาลัยกันนั้น ดิฉันรู้สึกใจหายอยู่พอประมาณ แต่ก็ไม่ได้ร้อง เพียงแต่นั่งนิ่งๆ และมองเพื่อนที่กำลังร้องไห้ .....ด้วยความรู้สึกเก้ๆกังๆ ...ดิฉันรู้สึกใจหายอย่างที่ว่า แต่ไม่คิดว่าจะต้องร้องไห้สะอึกสะอื้น....

คือรู้สึกเศร้า แต่ไม่ใช่ความเศร้าที่ถึงกับทำให้เราต้องร้องไห้ ดิฉันอยากอธิบายเพื่อนอย่างนี้ แต่ไม่กล้าพูด กลัวเพื่อว่าขวางโลก...

ดิฉันถามตัวเองว่าถ้าเราไม่ร้องไห้ เพื่อนจะว่าเราไม่เข้าพวกอีกไหม ...แต่ถ้าเราร้องไห้ ก็อาจแปลว่าเรากำลังพยายามทำให้เหมือนเพื่อน ทั้งที่เราไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

"เฮ้อ !…..งั้นไม่ร้องดีกว่า..." ดิฉันบอกตัวเองอย่างนั้น......แล้วก็นั่งมองเพื่อนๆร้องไห้กันต่อไป(อย่างไม่ทราบจะทำอย่างไรกับชีวิตตัวเองดี)

เพื่อนคนหนึ่งมาบอกทีหลังว่าเขารู้สึกว่าดิฉันเป็นคนแปลกพิลึก ....เพราะเดาอารมณ์ไม่ถูกเลย เขาไม่เคยเห็นดิฉันร้องไห้ ไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ ...เหมือนเป็นคนไม่มีอารมณ์.... ประโยคนี้ของเพื่อน เล่นเอาดิฉันเสียความมั่นใจในตัวเองไปพักใหญ่ เพราะดูคล้ายคนหมดสมรรถนะ หย่อนสมรรถภาพยังไงก็ไม่รู้ รู้สึกเป็นห่วงตัวเองชะมัด

อีกตัวอย่างหนึ่งของความไม่เข้าพวกของดิฉัน คือครั้งหนึ่งในงาน"วันแม่" ของคณะ   ดิฉันและแม่ต้องขึ้นเวทีร่วมกับแม่ๆลูกๆอีกหลายคู่ พิธีกรประกาศให้ลูกๆคุกเข่ามอบพวงมาลัยกราบคุณแม่บนเวที คู่แม่ลูกคู่อื่นๆกอดกันแล้วก็น้ำตาไหล บางคู่น้ำตาไหลตั้งแต่ยังไม่ได้กอด บรรยากาศกำลังซาบซึ้งชวนให้ตื้นตันใจ

ดิฉันคุกเข่ากอดและและกราบแม่ที่ตัก  ตอนแม่หอมแก้มซ้าย ดิฉันก็เหลือบตาไปทางด้านขวา ...เห็นคู่แม่ลูกที่อยู่ทางขวามือกำลังสะอึกสะอื้น...

...พอเอียงแก้มขวาให้แม่หอม ทางซ้ายมือดิฉัน คู่แม่ลูกนักศึกษากำลังน้ำตาไหลพรากๆ กันใหญ่ทั้งแม่ทั้งลูก

...แม่หอมเสร็จแล้ว ดิฉันก็กอดแม่เสร็จแล้ว... แล้วก็หันมองหน้ากันแบบงงๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร ระหว่างร้องไห้ให้เหมือนคู่อื่นๆ กับกอดและหอมกันต่ออีกหน่อย

..แล้วดิฉันกับแม่ก็กอดและหอมกันต่ออีกสองที แต่คู่อื่นยังร้องไห้ไม่เสร็จ เราเลยนั่งบนเวทีแบบเก้ๆกังๆ จะยิ้มก็ไม่เข้าท่า จะร้องไห้ก็ไม่เข้าที  จะลุกก็ดูไม่ดีแหงๆ..

"...ตูจะทำยังไงดีหว่า...." ดิฉันถามตัวเองอย่างขันๆในใจ ...แม่ก็คงนึกอย่างนี้เหมือนกัน.....

ดิฉันและแม่ผ่านเหตุการณ์บนเวทีครั้งนั้นมาได้ ด้วยอารมณ์เก้ๆกังๆร่วมกัน สงสัยว่านิสัยบางเรื่องดิฉันก็คงมีส่วนคล้ายแม่ จะเรียกว่าใจแข็งคงไม่ใช่ เรียกว่า "...ไม่รู้จะทำยังไงดี...".ดูจะเหมาะกว่า... แบบว่ามันเก้ๆกังๆดีชะมัด...

และสุดท้าย ครั้งหนึ่งในภาวะวิกฤตเฉียดตาย ดิฉันและเพื่อนร่วมงานอยู่ในรถตู้ที่คนขับโชว์ลีลาท้ามฤตยูเหยียบร้อยสี่สิบ และแซงอย่างระห่ำโดยไม่คิดชีวิต ทันใดนั้น รถคันหนึ่งพุ่งสวนมาใกล้เกินกว่าจะหักหลบ ดิฉันรู้สึกได้เมื่อเห็นเหล็กพุ่งมาเฉียดแทบจะเบียดเหล็ก

...... คนขับของเราบิดพวงมาลัยหนึ่งมิลในชั่วพริบตานั้น...ทั้งรถรอดพ้นมรณะไปหวุดหวิดแบบเส้นยาแดงผ่าสี่....

ในขณะที่ประชาชนกรีดร้องลั่นกันทั้งรถ ....ดิฉันได้แต่นั่งตาปริบๆและความหาลูกอมในกระเป๋า ...คือรู้สึกหิวขึ้นมาเฉยๆ สันนิษฐานว่าเกิดจากการใช้พลังงานลุ้นมากเกินไป          เพื่อนหันมาพูดเสียงสั่นๆว่า "นี่เธอนั่งเฉยอยู่ได้ยังไง เราตกใจกันแทบตาย.. !! "  ดิฉันตอบเพื่อนตรงๆจากใจว่า  "เราก็ตกใจแทบตายเหมือนกัน   แต่พวกเธอช่วยกรี๊ดแทนเราแล้ว......."

ดิฉันตอบดีๆแท้ๆ เพื่อนกลับฟาดเผียะเข้าให้ที่ต้นแขน พร้อมกับค้อนขวับให้อีกหนึ่งที ผู้หญิงนี่ก็แปลกนักละ เอะอะก็หยิก เอะอะก็ตี อยู่ใกล้ๆแล้วเจ็บตัวดีชะมัด

อย่างไรดี ดิฉันขอยืนยันว่าตัวเองเป็นสุภาพสตรีขนานแท้และดั้งเดิม สูตรโบราณ และเจ้าเก่า ดังนั้นจึงมีความกลัวและความตกใจ และอารมณ์สะเทือนใจครบทุกประเภทที่ผู้หญิงเขามีกันครบถ้วน เพียงแต่ดิฉันออกจะแปลกแยกไปนิดหน่อย และความรู้สึกช้า (ไปเล็กน้อย) เท่านั้น

.....ถึงได้มีอารมณ์เก้ๆกังๆอย่างที่เล่าไปทั้งหมดข้างต้นนะคะ.... : )

อ่านเรื่องเก้ ๆ กัง ๆ พี่แอมป์กับแม่
น้องกับลูกก็ครือ ๆ กัน

เวลามีงานวันแม่เราเก้ ๆ กัง ๆ เช่นนี้

จนปัจจุบัน เวลาเราไปส่งเขาที่โรงเรียน (อดีตชื่อว่า โรงเรียนมหาดเล็กหลวง) เราสองคนก็ยังคงเก้ ๆ กัง ๆ

เพื่อน ๆ เขาน้ำตาซึม
คุณแม่เพื่อน ๆ ก็รื้น ๆไม่มากนัก

ดิฉันและลูกมักแก้เขินด้วยการเตะวาน(ตูด)กัน..อ้อ ม่ายฉ่าย ดิฉันเตะเขาฝ่ายเดียว

ไม่ก็ชวนกันไปกดน้ำเย็นดื่ม..จนบางวันป๊วดปวด ปัสสาวะ..ดื่มหลายแก้วแก้เขิน

 

คือเราสามคน..มีคุณพ่อด้วย พูดคุยกันมาก่อนเสมอ ๆ ว่า นี่คือการทำงานของลูก ไม่งั้นก็มาช่วยแม่หรือพ่อทำงาน

ควรมีความสุขเวลาอยู่โรงเรียน

เวลามีมากควรอ่านหนังสือให้หมดโรงเรียนเลย..แกล้งเขาน่ะค่ะ

คุณพ่อและลูกเองมีส่วนอย่างยิ่งที่ทำให้คนเป็นแม่แสนหญิงอย่างดิฉันแปรเปลี่ยน
คิดดูสิคะ ก่อนจากโรงเรียน ลูกมักจะเป็นฝ่ายเตือนแม่ว่า

 
"แม่ แม่ แม่อย่านอนดึกนะ"
"แม่ แม่ แม่ อย่าเบี้ยวอาบน้ำก่อนนอนนะ"

ฮา

 

สวัสดีแบบดีใจมากเลยค่ะคุณหมอเล็ก 

คาดว่าเราจะพบญาติที่หายไปแล้ว  เพราะเป็นเก้ๆกังๆเหมือนกันเลย....  อิอิ

บ้านนี้น่ารักจังค่ะ พ่อแม่ลูกสนิทสนมและใกล้ชิดกันจัง   : )

ว่าแต่สองประโยคล่างสุดที่น้องภูพูดนี่จริงเหรอคะ                          

..ไม่แก้ข่าวหน่อยเหรอคะ...     อิๆๆๆๆ

บอกใหม่อีกทีได้ป่ะคับ ;-)

                                    ..ได้เลยบัดดี้..
      
                         “ อะ..  ...’ตูนไอ้มดแดง เอาไปอ่านซะไป๊” ….       : )     : ) 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท