เรื่องเล่า ในฐานะอาจารย์ KM


นักศึกษาส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเข้าใจว่า KM คืออะไร ? ต้องใช้เวลาอธิบายยาวนาน จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ

ผมได้รับการร้องขอจากคุณธวัช  หมัดเต๊ะ เจ้าหน้าที่ สคส.ให้ผมเล่าเรื่องเกี่ยวกับการดูแลนักศึกษา KM ในฐานะที่ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ของนักศึกษามหาชีวาลัย ทั้งระดับปริญญาเอก และปริญญาโท จำนวนไม่น้อยกว่า ๔ ท่าน 

 ผมจึงขอเล่าเรื่องการทำงานเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา นักศึกษา KM ว่ามีความยากง่ายอย่างไร ดังต่อไปนี้

  <ol style="margin-top: 0cm">

  • นักศึกษาส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเข้าใจว่า KM คืออะไร ? ต้องใช้เวลาอธิบายยาวนาน จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ
    1. ยกแม่น้ำทั้ง ๕ ปิง วัง ยม น่าน และเจ้าพระยา ก็ยังยากจะเข้าใจ
    2. ยกประเด็นสูงสุดฟ้าสู่ดินว่า การจัดการ KM ก็คือ การใช้ชีวิตอย่างธรรมดาของคนทั่วไป แต่เพิ่มความรู้เข้าไปอีกนิดหน่อยในทุกขั้นตอนของการดำเนินชีวิต ก็ยิ่งทำให้เขางงมากขึ้นไปอีก  บางคนถึงกับตะบะแตก ลมปราณ ขาดสะบั้น ต้องใช้เวลาเยียวยาหลายขั้นตอน กว่าจะรื้อฟื้นชีวิตเขากลับคืนมาได้ แต่บางทีก็กลับมาอย่างไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไหร่ ทำงานแบบไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ สับสน ผิดธรรมชาติอย่างไม่น่าเชื่อ
    3. ผมคิดว่า ทางแก้ที่สำคัญ ก็คือ อย่าไปบอกเขาว่า ทำวิทยานิพนธ์ KM แต่เป็นการศึกษาการพัฒนาชีวิตโดยการสอดประสานความรู้ต่างๆ เข้าด้วยกัน
    4. อาจจะฟังดูง่ายขึ้นอีกนิดหนึ่ง แต่คนที่ยังสายลมปราณขาดสะบั้น ก็ยังจะฟังไม่ออกอยู่ดี (สายลมปราณ คือ แนวคิดเชิงระบบ)
    5. อันนี้ต้องใช้เวลาครับ และจะต้องมียาหลายขนาน สำหรับแต่ละคนที่มีอาการแตกต่างกัน
  • นักศึกษายังไม่สามารถประสานวิชาการเข้ากับหลัก KM ได้
    1. ทำให้เกิดความรู้ที่ไม่ก้าวหน้า ย่ำอยู่กับที่ วนไปวนมา
    2. แยกส่วนระหว่างความรู้ต่างๆ ที่จะนำมาจัดการ
    3. ไม่สามารถผสมผสานจนเป็นชุดความรู้ที่จะทำให้ตนเองเข้าใจ และอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ด้วย
    4. พอให้เขียนเป็นหัวข้อ ก็จะไปติดกรอบวิชาการ
    5. แต่พอให้เขียนในเชิงการจัดการความรู้ ก็จะมาติดกรอบของ KM
    6. ทำให้เกิดระบบความคิดแยกส่วนขึ้นมาอีกในตัวของตัวเอง
  • อาจารย์ในสถาบันการศึกษา ที่เข้าใจ KM มีน้อย
    1. ทำให้ยากที่จะหาอาจารย์ที่ปรึกษา มาประสานแนวคิดเป็นที่ปรึกษาร่วมในการทำงานได้
    2. ต้องค่อย ๆ พัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
    3. โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราใช้การเขียนบล็อก เป็นกลไกในการทำงาน KM ก็ยิ่งทำให้อาจารย์ในสถาบันการศึกษาที่สนใจทั้ง KM และการเขียนบล็อก มีน้อยมาก ซึ่งเป็นขีดจำกัดของการสร้างทีมงานอาจารย์ที่ปรึกษาด้านนี้
  • อาจารย์มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเข้าใจ KM  มากพอที่จะและชี้นำนักศึกษาในภาพรวม
    1. จึงทำให้การเรียนในวิชาต่างๆ ที่เป็นองค์ประกอบของหลักสูตรมีความแปลกแยกกัน
    2. ทำให้นักศึกษาที่ยังจับหลักไม่ได้ สับสนมากขึ้นไปอีก
  • เมื่อทั้งอาจารย์และนักศึกษาต่างไม่เข้าใจก็เกิดอาการ เตี้ยอุ้มค่อม
    1. งานไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าที่ควร และ
    2. ยิ่งไปกว่านั้นสภาพแวดล้อมของการทำงานก็ยังไม่เอื้ออำนวยให้คนเตี้ยอุ้มค่อมพัฒนาได้อย่างสะดวกอีกต่างหาก
    3. เป็นขีดจำกัดในการทำงานของทั้งอาจารย์และนักศึกษา

    </ol>  <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">จากขีดจำกัดดังกล่าวข้างต้น กระผมได้พยายามปรับเปลี่ยนตัวเองให้</p><ul>

  • เป็นตัวอย่างของอาจารย์และของนักศึกษา
  • ทำตัวให้โปร่งใส เห็นกระบวนการทำงานที่ชัดเจน โดยใช้ระบบการเขียนบล็อก ซึ่งมีตัวชี้วัดต่างๆ มากมาย
    • ตั้งแต่จำนวนงานที่ทำ
    • เวลาที่ทำ
    • ผลของงานที่เกิดขึ้น
    • การเขียนให้เกิดเกลียวความรู้ และคลื่นความรู้
    • นำไปสู่การจัดการความรู้ในกลุ่มคนเล็ก ๆ ของ gotoknow
    • แต่คาดว่า เมื่อเราได้ประเด็นชัดเจนแล้ว เราสามารถจะนำประเด็นในอินเตอร์เน็ตมาปรับใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงได้ดีกว่าเดิม

    </ul>  <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ในการนี้ นักศึกษาและอาจารย์ท่านอื่นๆ ก็น่าจะมีโอกาส</p><ul>

  • ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างไม่มีชนชั้นวรรณะ
  • สามารถทำงาน ประสานแนวคิดได้ดียิ่งขึ้น
  • แต่ก็ยังมีขีดจำกัดที่นักศึกษาหลายคนไม่กล้าแสดงออก หรือไม่พยายามแสดงออก เนื่องด้วย
    • นิสัยส่วนตัวหรือขีดความสามารถไม่เพียงพอ หรือ
    • โลกทัศน์ไม่ตรงกับงานของโครงการ จึงทำให้นักศึกษา
      • บางคนไม่ก้าวหน้าในการทำงาน
      • บางคนก็หายไปเลย
      • บางคนก็ผลุบๆ โผล่
      • บางคนก็อยู่แบบดื้อตาใส เหลือคนทำงานจริงๆ ไม่มากนัก
    • นี่คืออุปสรรคของการทำงานวิจัยแบบ KM

    </ul><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">มีประเด็นรายละเอียดมากมายครับ ไม่อยากลงลึก </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">เดี๋ยวผู้อ่านที่เป็นนักศึกษา จะผิดหวัง ฆ่าตัวตายไปหมดซะก่อน </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ผมก็จะกลายเป็นอาจารย์ไร้นักศึกษาไปโดยทันท่วงที </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">แต่ผมยังไม่คิดจะฆ่าตัวตายหรอกนะครับ </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p>รอให้นักศึกษาจบซะก่อน ซักรุ่น สองรุ่น แล้วค่อยประเมินใหม่ครับ ว่าควรจะฆ่าตัวตายดีหรือเปล่า? </p><p>จึงกราบเรียนมาด้วยความเคารพ แด่ กุนซือ และ ซือแป๋ ทั้งหลาย โปรดรับทราบ  </p><p>แสวง  รวยสูงเนิน  </p><p>๒๕  ธันวาคม ๒๕๔๙  เวลา ๒๑.๐๐ น.</p>



    ความเห็น (18)

     

      อ่านบทนี้ของท่านเล่าฮู แล้วโดนใจจริงๆ

    คนอะไรก็ไม่รู้ เหมือนเอาKM.ไปวางไว้กลางหัวใจ

    ชัดถ้อยชัดคำ ชัดจำนรรจา ชัดในลีลา ชัดในท่วงท่า ชัดในการหาเหตุมาอธิบาย ชัดได้ชัดดี ชัดอย่างนี้ ต้องยกไว้ในตำแหน่ง ไว้ให้คอยชี้ชัด

    เปิดภาควิชานี้ขึ้นในสถาบันKM.ไหมละอาจารย์ 

    ภาควิชาชี้ชัดศาสตร์

    ภาควิชากวนใจศาสตร์

    ภาควิชาหมั่นใส้ศาสตร์

    ภาควิชาตอแยศาสตร์

    ต้องรีบเปิดก่อนนะครับ

    เดี๋ยวภาควิชาอื่นมาทับและแย่เลย

    ภาควิชาหน้าระรื่นศาสตร์ ดื้อตาใสศาสตร์ เจาะแจ๊ะศาสตร์ อีแอบศาสตร์ หนิงหน่องศาสตร์ 

    เขารอคิวอยู่แล้ว ขอให้เล่าฮูตั้งการ์ดให้มั่น ปะทะกันวันไหน ทีมเม็กดำจะไปหิ้วปีกมาเป่าน้ำเอง

    ฮ้อ! ขอคาระ 1 จอก

    เรื่องนักศึกษาผมรู้ปัญหาแล้วละ เราพลาดเองไป 1 ลี้

     

       หัวใจของเรื่องนี้

      ถ้าไม่มีโครงการบูรณาการศาสตร์

      ประเทศนี้จะรู้ตัวแค่ไหนก็ไม่ทราบได้

      ปัญหาของชาวมหาวิทยาลัยไม่ได้อยู่แค่ออก-ไม่ออก นอกระบบ มันอยู่ที่คุณสมบัติและคุณภาพของคน ถ้าคนดีอยู่ตรงไหน ระบบไหนมันก็ดีได้ เพราะมีดีที่จะทำให้มันดี ปรับแก้ให้ดี

      ถ้าตาถั่วมองเฉพาะประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก มันก็งอแงเหมือนเด็กอมมือ เลี้ยงไม่รู้จักโต ผมไม่สนใจเรื่องออก-ไม่ออก นอกระบบ อย่างไรก็ได้ แต่อยากให้มาทำเรื่องที่ อ.แสวงกำลังรำพึงรำพัน..

      สถานภาพการศึกษาไทยเป็นอย่างไร

      อาการหนักแค่ไหน

      จะหามไปห้อง ไอ.ซี.ยู หรือ ไปเชิงตะกอน

      เป็นคุณต่อประเทศไทยมากที่ท่านอาจารย์ใหญ่ให้เราดำเนินการในเรื่องนี้ เสียอย่างเดียวท่านถอดใจไปนิดหนึ่ง ถ้าท่านใจเย็นพอที่เราจะสรุปร่องรอยที่คาดไม่ถึง จะรู้ว่าเราโดนระบบการศึกษาที่ท่าดีทีเหลวอัดเราจนช้ำเลือดช้ำหนองอย่างไรบ้าง (กลืนไว้ลึกๆให้ลึกที่สุด ก่อนตายถึงจะงัดมาพูด) 

      ถ้าทำเต็มตามแผนเดิม เราจะได้บทเรียนที่ครบถ้วนกระบวนความกว่านี้ ผมเชื่อในฝีมือท่านเล่าฮู ที่ตรงไปตรงมา ไม่ยอมแม้แต่กับเรื่องของตนเอง

      มาถึงตรงนี้ ขอคาระวะอีก 1 จอก

    ขอให้เล่าฮูรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี ผมเปิดแผลเล่าฮูไว้แล้ว ไม่นานหรอกจะมีคนเชิญไปเชือดบนเวทีต่างๆ  แต่ก็เชื่อแน่ว่าไม่จิเจ้ยอะไร เพราะท่านสละแล้วซึ่ง..อามิตรพุทธ. 

    อ้อ! อย่าลืมคาดผ้ายันต์กันผีพวกบ้าวิชาไปด้วยละ

     

      ผมยังเชื่อโดยสุจริตใจว่า

    ท่านเล่าฮูจะทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายได้

    แต่ภาพที่ลงเล็กไปหน่อย ไม่ได้สัดส่วนสมดุลกับหัวใจอาจารย์

    แวะมาเก็บเกี่ยวอีกแล้ว ^__*

    ขอบพระคุณค่ะอาจารย์  วันนี้หนิงได้ของขวัญวันคริสต์มาสจากอาจารย์เลยนะคะเนี่ย..

    จากใจของศิษย์

    • ความสับสนในความคิดมันผุดบังเกิดอยู่เรื่อยๆ ครับไม่รู้จะทำอย่างไรดี
    • มันตุ้มๆ ดอนๆ อยู่เป็นระยะๆ ครับ
    • แต่ผมคิดว่าปรากฏการณ์เหล่านี้จะหายไปเมื่อได้รับการเป่าหัว ลงเวทย์มนต์จากอาจารย์ และท่านครูบาสุทธินันท์
    • ดังนั้นศิษย์ จึงได้แต่ภาวนาให้อาจารย์ และครูบาสุทธินันท์ จงมีสุขภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรงครับ

    ด้วยความเคารพ

    อุทัย   อันพิมพ์

      ครูบาครับ

      ข้าน้อยมิบังอาจรับคำชมของท่านซือแป๋ได้ คงต้องอาศัยการชี้แนะจากท่านอีกหลายกระบวนท่า ในเวลาอันสมควร

      ขอคารวะสัก ๑ จอก......เอื้อก

      คุณหนิง คุณอุทัย

      ขอให้เป็นนักเรียนที่ดี คำว่า ปริญญา และบัณฑิต จะปรากฏในตัวท่านเอง.....

      เด็กขอบเรียกว่า อ.บี้

      อย่างที่ อาจารย์ได้กล่าวไปแล้วครับ

      "อาจารย์ในสถาบันการศึกษา ที่เข้าใจ KM มีน้อย"

      ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก แต่ก็คงจะไม่ยากเกินไปสำหรับที่จะทำความเข้าใจ  ยังไงผมก็จะพยามยามทำความเข้าใจกับ KM ให้มาก  เพื่อเป็นประโยชน์ในการทำงานต่อไป สำหรับผมก็พยามยามหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง หรือเข้าไปอ่านบันทึกต่าง ๆ ของท่านอาจารย์หลายคน เพื่อทำความเข้าใจกับ KM ขอบคุณครับ

      • ครูบากับ ดร.แสวง ครับ...หลายจอกเดี๋ยวเมานะครับ อิอิ....(แบบวัยรุ่นบ้าง) 
      • ผมมีประสบการณ์ที่แตกต่างออกไปที่จะนำมาแลกเปลี่ยนครับ    ส่วนมากที่พบเจอก็แบบว่า ไม่รู้แล้วชี้บ้าง   ชอบสรุปว่า KM มันน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ (แต่ยังไม่เคยลงมือทำเลย)  แยกออกจากงานหรือชีวิตแบบแยกส่วนแข็งๆ ไม่ยืดหยุ่น ฯลฯ จิปาถะครับ
      • ผมก็เลยได้เรียนรู้ และฝึกตนเองจากสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากรอบๆ ตัวไปด้วย คือถือโอกาสฝึกกาย  และใจไปพร้อมๆ กัน
      • ขอบพระคุณมากครับ

       

      อาจารย์บี้ และสิงห์ป่าสัก

      เวลาไกด์นักศึกษาจะมีปัญหา ๒-๓ ทางเลย

      คือความรู้ที่จะนำมาจัดการ

      และหลักการจัดการความรู้

      โดยต้องทำงานกับคนที่ต้องจัดการความรู้

      มันเป็นสามเส้า ที่มีสามขา ที่สมบูรณ์

      ทีนี้ นักศึกษาก็ต้องมีครบจึงจะทำงานได้เต็มที่ สามารถสร้างบทเรียนได้

      ถ้าขาดสักอย่างก็เหมือนรถขาดอะไหล่บางตัว

      ถ้าเป็นหลอดไฟขาดก็พอไหว เพียงวิ่งกลางคืนได้ แต่ถ้าท่อน้ำมันขาด หรือ ท่อเบรคแตก ก็อันตราย

      การเรียนกับการทำงานจะต่างกันนิดหน่อยตรงที่

      การทำงานเน้นเนื้องาน

      การเรียนเน้นความรู้และความเข้าใจ

      แล้วถ้ากรอบความคิดไม่พอ จะตีบตันไดง่าย หลบก็ไม่ได้

      เพราะจะกลายเป็คำถามที่ทำให้สอบไม่ผ่าน

      ทั้งๆที่จริงๆแล้วอาจจะไม่ใช่เรื่องที่คอขาดบาดตายก้ได้

       แต่การทำงานหลบเลี่ยงได้ครับ

       

          แหม .. คุณ สิงห์ป่าสัก  แซงคิวมาเสียแล้ว  ผมกำลังจะเตือนทั้ง 2 ท่าน ว่าหลายจอกแล้วนา ... คารวะกันไปมาเดี๋ยวก็กลับบ้านไม่ได้หรอก ..
          อ่านบันทึกนี้แล้วได้ความรู้มาก และเชื่อว่า ถ้าพูดอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง ก็งัดเทคโนโลยีการสอนแบบที่ พ่อ-แม่เรา ใช้ได้ผลมาแล้ว มาใช้สิครับ .. ที่อาจารย์ ดร. แสวง รวยสูงเนิน  ทำๆอยู่นั่นแหละ เทคโนโลยีดังกล่าวมีชื่อว่า "ทำให้ดู-อยู่ให้เห็น" ครับ พ่อของผมใช้มากเหลือเกิน

      คารวะ อาจารย์พินิจ อาจารย์อรรณพ สักคนละจอกครับ

      ที่ใส่ภาพเล็กเพราะมิกล้ารบกวนท่านที่อินเตอรเนตช้า หรือหลังเขา อย่างท่านจตุพร เป็นต้น

      เห็นตอนหลังๆนี่ท่านเงืยบไป กริ่งว่าจะถูกกระแสลมอินเทอรเนตพัดพาไปที่อื่น ครับ

       

      ผมก็บอกให้รู้ ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เย็นให้สัมผัส แล้วก็ยังไม่มีอะไกดขึ้นนะครับ

      อยากทราบว่า ๒ ยอดฝีมือ จะมีอะไรชี้แนะ แด่กระบี่มือใหม่อีกสักหน่อย

      ที่สำคัญผมก็อยากฟังลูกค้านักศึกษาว่าติดอะไร จึงทำตามแผนไม่ได้

      ทำไม KM ก็ไม่ชัด ความรู้ก็ยังไม่ชัด ชุมชนก็ยังมองไม่ออก เหมือนจะเริ่มใหม่ทุกเรื่อง จะไปได้ยากมาก ถ้าเรามีทุนน้อยปานนี้

      และเมื่อไหร่ทุนเราจะพอเริ่มกิจการได้สักที

      เล็กน้อยไปก่อนก็ยังดี เดี๋ยวก็โตเอง

      ยังไงก็ต้องหัดเดินก่อนจะวิ่ง

      แต่ถ้ากลัวล้มแล้วไม่เดิน สงสัยจะเดินไม่เป็นสักทีแน่ๆ

      ถึงแม้จะดวนกันไปคนละหลายจอกแล้วก็มิเห็นอาการเมามายเลยครับ หรือเป็นจริงดังพวกจอมยุทธ์ที่นิยมพูดกันว่า  ....ได้ร่ำสุรากับผู้รู้ใจ แม้จะดื่มสักพันจอกก็มิเมา.....   นับถือจริง ๆ ครับ กลิ่นอายความรู้ฟุ้งกระจายไปทั่วบล็อกเลย  ขอบคุณครับ

      กราบเรียน ท่าน ผอ.ดิศกุล

      ที่บ้านผมนะครับ ใครดวลแล้วเมา ถือว่าไม่ใช่นักดื่มครับ

      อย่ากังวลครับ เราว่ากันหลายจอก ล่ะครับ

      เรื่องนี้ ผมอยากให้ทาง กศน.นำไปใช้ประโยชน์ในระดับชุมชน เดี๋ยววันต่อไปผมจะขึ้นประเด็นเสนอแนะ กศน.ว่า ควรจะปรับตัวไปทางใด แม้จะเหลือเพียงซาก ภายใต้ สพฐ.ก็ตาม

       กราบเรียนด้วยความเคารพครับ

       

        ที่ยกจอกดวลกันนั้น น้ำชาทั้งนั้น เอิ๊อก!!

      อ้าว.....แล้วกัน บังเอิญผมเป็นหวัดอยู่ เลยแยกไม่ออก

      ถึงว่าไม่เมาจริงๆแหละ มีแต่ท้องผูก แล้วก็นอนไม่ค่อยหลับ จิตใจฟุ้งซ่าน

      เลย มานั่งหาเรื่องคนอยู่ในblog นี่แหละครับ

      รองศาสตราจารย์ ดร.อรจรีย์ ณตะกั่วทุ่ง

      เรียน ดร.แสวง

      ดิฉันเป็นอาจารย์สาขาเทคโนโลยีการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเรื่อง KM และ LO มาสอนนิสิตปริญญาเอกของครุศาสตร์ มากว่า 5 ปี แล้ว และเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ทั้งปริญญาโทและเอกมากกว่า 15 คน ดิฉันพบว่านับวันนิสิตก็อยากทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับKM ไม่รู้ว่ามันเป็นกระแสหรืออะไร นิสิตดิฉันทำวิจัยที่มีความลุ่มลึกใน KM แตกต่างกัน เห็นด้วยอย่างยิ่งว่ากว่าจะทำความเข้าใจกันได้ว่ามันคืออะไร ทำแค่ไหนกำลังพอดี ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน แต่ด้วยตัวเองเห็นว่า KM นำไปสู่การพัฒนาคน จึงสนใจเป็นพิเศษ ทุ่มเทกับเรื่องนี้มานานมาก อยากร่วม share กับอาจารย์ผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์เหมือนกันค่ะ

      คงมีโอกาสได้คุยกันอีก

      อรจรีย์

      อาจารย์ อรจรีย์ ครับ

      การทำวิทยานิพนธ์กับ KM นั้นเป็นเรื่องเดียวกันมานานแล้วครับ ตั้งแต่ ยังไม่มีใครพูดถึง KM เพราะ ทั้งสองคำนี้เหลือ่มกัน มากจริงๆ

      วิทยานิพนธ์ต้องใช้ KM อย่างแน่นอน

      แต่ KM อาจไม่เกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ก็ได้ครับ

      เพราะ KM เป็นธรรมชาติกว่า

      แต่ตอนนี้เริ่มสับสนระหว่าง KM กับ IM (Information management)

      ความรู้อยู่ในตัวคนเท่านั้น ที่ออกมาข้างนอกเป็น Information ครับ

      กรุณาแจ้งเตือนนิสิตด้วยครับ

      คำนี้เป็นคำใหม่ เดี๋ยวก็จางหายไปตามธรรมชาติ แต่สาระ ของ "วิทยานิพนธ์" จะอย่ได้นานกว่า เพราะไม่ได้มากับกระแส

      พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
      ClassStart
      ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
      ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
      ClassStart Books
      โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท