ได้กล่าวแล้วตั้งแต่ตอนที่ ๑ ว่าในการเดินทางไปประชุมและดูงานครั้งนี้ ผมตั้งไจไปทำความเข้าใจเรื่องมหาวิทยาลัยหุ้นส่วนสังคมในบริบทของสหราชอาณาจักร และต้องการรู้ว่าเขาก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว
ในเชิงส่วนตัว สิ่งที่ผมได้เรียนรู้มากที่สุดคือเรื่องยุทธศาตร์การจัดการการเปลี่ยนแปลงระบบใหญ่ของประเทศ (คือระบบอุดมศึกษา) ที่แตกต่างจากวิธีของประเทศไทยโดยสิ้นเชิง คือเขาไม่ใช้วิธีบังคับ แต่ใช้วิธีจูงใจ สร้างกลไกต่างๆ รวมทั้งการให้ทุน มาจูงใจ โดยมีการนำเสนออุดมการณ์ใหม่ แล้วเปิดโอกาสให้แต่ละสถาบันตีความและหาวิธีดำเนินการเอง แล้วมีหน่วยประสานงานกลางทำหน้าที่ขับเคลื่อนการเรียนรู้ในเครือข่ายของสถาบันอุดมศึกษาที่เข้าร่วมเป็นแกนนำการเปลี่ยนแปลง (change agent) หมุนวงจรยกระดับการเชื่อมโยงหุ้นส่วนสังคมขึ้นไปเรื่อยๆ ผมได้เรียนรู้วิธีประยุกต์ใช้ KM เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงวัฒนธรรมในระดับประเทศ ดังได้เล่าไว้แล้วที่ https://www.gotoknow.org/posts/643647
ข้อเรียนรู้โดยสรุปมีดังต่อไปนี้
- กระบวนการมหาวิทยาลัยหุ้นส่วนสังคม เป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์แนวราบ ที่มหาวิทยาลัยกับภาคีหุ้นส่วนเสวนารับฟังซึ่งกันและกัน เพื่อรับรู้ความต้องการหรือจุดมุ่งหมายของแต่ละฝ่าย เพื่อบรรลุข้อตกลงความร่วมมือในการบรรลุเป้าหมายที่เป็นผลประโยชน์ร่วม มีการดำเนินการร่วมกัน เรียนรู้ร่วมกันเพื่อการบรรลุผลนั้น หุ้นส่วนทั้งสองฝ่าย (หรือหลายฝ่าย) ต่างก็ได้รับผลประโยชน์ตามความมุ่งหมายของตน ย้ำว่ากระบวนการนี้ใช่การช่วยเหลือกัน แต่เป็นการร่วมกันทำงานที่ยาก ไม่สามารถบรรลุผลได้โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว
- ขบวนการชักจูง หรือผลักดัน ให้วงการอุดมศึกษาเข้าไปเป็นหุ้นส่วนพัฒนาบ้านเมือง/สังคม/พื้นที่/ชุมชน ที่เรียกว่า University Public Engagement หรือ Social Engagement หรือ Community Engagement เกิดขึ้นทั่วโลก อาจกล่าวได้ว่าเป็นขบวนการ transform มหาวิทยาลัย ให้เป็นมหาวิทยาลัยแห่งศตวรรษที่ ๒๑ สำหรับประเทศไทยขบวนการนี้สำคัญยิ่งต่อการใช้อุดมศึกษาเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศไทย ๔.๐ (https://www.gotoknow.org/posts/634621)
- ยุทธวิธีดำเนินการ positive change management ต่อวงการอุดมศึกษาของสหราชอาณาจักร ไปสู่วัฒนธรรมเชื่อมโยงหุ้นส่วน ใช้กระบวนการเรียนรู้จากการปฏิบัติ (KM) เป็นพลังสำคัญ ดังกล่าวแล้วตอนต้นของบันทึกตอนที่ ๑๕ นี้ เขาใช้ในการออกแบบกระบวนการทำงานอย่างแยบยล โดยไม่เคยเอ่ยคำว่า KM เลย เป็น “KM Inside” อย่างแท้จริง
- สหราชอาณาจักร โดย ๓ องค์กรคือ HEFCE, Wellcome Trust, และ RCUK ร่วมกันตั้ง NCCPE เป็นองค์กรขับเคลื่อน PE ของมหาวิทยาลัย เริ่มปี ค.ศ. 2008 และใช้กลไกการให้ทุนริเริ่มสร้างสรรค์แบบที่มหาวิทยาลัยต้องแข่งขันกันเสนอตัวทำหน้าที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงและการเรียนรู้ เอเกิดการเรียนรู้ในระดับหนึ่ง ก็เปลี่ยนกลไกขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเพื่อยกระดับกิจกรรมเชื่อมโยงหุ้นส่วนขึ้นไปอีก
- มีการยกร่าง กรอบการทำงาน (framework) เพื่อทำให้ กิจกรรมเชื่อมโยงหุ้นส่วนสังคม ซึ่งเป็นนามธรรม มีตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมและมองรอบด้าน รวมทั้งพอมองเห็นระดับคุณภาพ หรือระดับของความเข้มข้นของกิจกรรมเชื่อมโยงหุ้นส่วนสังคมแต่ละด้าน แต่ไม่กำหนดเป็นเกณฑ์ตายตัว คือเรียกเป็น กรอบการทำงาน แล้วเปิดช่องและส่งเสริมให้แต่ละมหาวิทยาลัยตีความเพิ่ม เพื่อใช้ความริเริ่มสร้างสรรค์ของตน ในการทำงานหุ้นส่วนสังคม และเมื่อมหาวิทยาลัยใดมีผลการริเริ่มสร้างสรรค์ที่ดีหรือยอดเยี่ยม ก็มีการยกย่องและให้รางวัลในหลากหลายรูปแบบ ผมตีความว่าระบบขับเคลื่อน PE ของสหราชอาณาจักร ได้รับการออกแบบให้เป็น “ระบบที่เรียนรู้และปรับตัว”
- การประชุม Engagement Conference 2017 ใช้หัวข้อ theme ว่า “exploring collaboration” มีเนื้อหาใน ๓ หัวข้อคือ (๑) การปฏิบัติ (practice) (๒) หลักการ (principle) และ (๓) โอกาสในอนาคต (prospect) เป็นวิธีใช้การประชุมเป็นพื้นที่เรียนรู้ (learning & sharing space) ตามหลักการ KM คือนำเอาการปฏิบัติที่ได้ผลดีมาร่วมกันตีความสู่หลักการ และร่วมกันฝันหรือตั้งเป้าสู่อนาคต ที่ขบวนการมหาวิทยาลัยหุ้นส่วนสังคมมีพลังยิ่งขึ้น
- น่าจะเหมือนๆ กันทั่วโลก ที่การเชื่อมโยงหุ้นส่วนภายนอก ง่ายกว่าการเชื่อมโยงหุ้นส่วนภายในมหาวิทยาลัยเดียวกัน เพราะ “ความรู้สึกห่างเหิน” (sense of distance) ทางวิชาการ ระหว่างสาขาวิชาการ รุนแรงมาก เป็นความท้าทายของ “วงการมหาวิทยาลัยหุ้นส่วนสังคม” ที่จะเอาชนะความรู้สึกห่างเหิน ให้กลายเป็น “ความรู้สึกเป็นหุ้นส่วน” (sense of partnership) ให้ได้
- การเชื่อมโยงหุ้นส่วนภายในมหาวิทยาลัย ระหว่างต่างสาขาวิชา เป็นความท้าทาย นี่คือการเปลี่ยนวัฒนธรรมวิชาการแยกส่วน ไปสู่วัฒนธรรมสหสาขา และการเข้าไปร่วมกันทำงานเพื่อเป้าหมายของสังคมหรือพื้นที่ น่าจะเป็นกลไกสร้างความคุ้นเคยกับงานวิชาการประยุกต์ และข้ามศาสตร์ (trans-disciplinary) ผมคิดว่า หลักการ practice -> principle -> prospect ที่ NCCPE ใช้ในการออกแบบการประชุม Engagement Conference 2017 น่าจะเป็นหลักการที่ใช้ได้ผล แต่ต้องทำต่อเนื่องระยะยาว เน้นการเปลี่ยนแปลงจากภายใน ที่หนุนหรือมีเงื่อนไขจากภายนอกให้ต้องเปลี่ยนแปลง
- การประชุม Engagement Conference 2017 ใช้ช่วง plenary เป็นพื้นที่สร้างแรงบันดาลใจ และสร้างเงื่อนไขใหม่ๆ ที่ผลักดันผู้ปฏิบัติเข้าสู่ขบวนการ เชื่อมโยงหุ้นส่วนสังคม โดย plenary แรกของทั้งสองวันเสนอโดยวิทยากรรับเชิญจากต่างประเทศ คือจากอัฟริกาใต้ และจากสหรัฐอเมริกา เป็นการสื่อสารว่าประเทศอื่นๆ ต่างก็ให้คุณค่าและดำเนินการกิจกรรมมหาวิทยาลัยหุ้นส่วนสังคมได้ผลอย่างน่าชื่นชม นอกจากสร้างแรงบันดาลใจแล้ว ผู้เข้าร่วมประชุมยังได้เรียนรู้ยุทธศาสตร์และวิธีดำเนินการของประเทศอื่น
- เวลาส่วนใหญ่ของการประชุม Engagement Conference 2017 จัดเพื่อเอื้อให้ผู้เข้าร่วมประชุมนำประสบการณ์ของตนมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน และตีความยกระดับความเข้าใจคุณค่าของผลที่เกิดขึ้น รวมทั้งเป็น “พื้นที่ท้าทาย” ที่ NCCPE ใช้นำเสนอความท้าทายใหม่ๆ ต่องวงการ PE เพื่อขับเคลื่อน PE ของประเทศอย่างไม่หยุดยั้ง ดังจะเห็นว่า เขาเริ่มชวนคิดชวนคุยเรื่อง quality framework ทักษะการทำงานของนักวิชาชีพเชื่อมโยงหุ้นส่วนสังคม
- มหาวิทยาลัยแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ต้องปรับตัวเพื่อการดำรงอยู่ ประเด็นสำคัญของการปรับตัวเปลี่ยนแปลงคือเปลี่ยนจากวัฒนธรรมวิชาการแยกส่วน แยกสาขา ไปเป็นวิชาการบูรณาการ หรือสหสาขา เครื่องมือในการปรับวัฒนธรรมดังกล่าวคือการทำงานสร้างผลงานร่วมกับหุ้นส่วนในภาคชีวิตจริง หรือภาคทำมาหากิน
- มหาวิทยาลัยในศตวรรษที่ ๒๑ ต้องเก่งทั้งความรู้ทฤษฎีและความรู้ปฏิบัติ การที่จะเก่งความรู้ปฏิบัติได้ ต้องทำงานร่วมกับภาคีในภาคชีวิตจริง
- บัณฑิตในศตวรรษที่ ๒๑ ต้องเรียนรู้ตามแนวทางของ Learning Science คือเรียนทฤษฎีจากการปฏิบัติ ตามด้วย reflection การร่วมมือกับหุ้นส่วนจึงเป็นการสร้างโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง
- Engagement Thailand ใช้คำภาษาไทยของ University – Social Engagement ว่า “พันธกิจมหาวิทยาลัยกับสังคม” และให้ความหมายว่า “ร่วมคิดร่วมทำแบบหุ้นส่วน เกิดประโยชน์ร่วมกันแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย มีการใช้ความรู้และการเรียนรู้ร่วมกัน เกิดผลกระทบต่อสังคมที่ประเมินได้”
ทรัพยากรที่มหาวิทยาลัยในศตวรรษที่ ๒๑ ใช้เพื่อการดำรงอยู่ขององค์กร จะได้รับอุดหนุนแบบให้เปล่าจากรัฐในสัดส่วนที่ลดลงเรื่อยๆ และมหาวิทยาลัยต้องหารายได้จากการทำงานวิชาการร่วมกับหุ้นส่วนมากขึ้น นี่คือประเด็นความเข้มแข็งของมหาวิทยาลัยในศตวรรษที่ ๒๑
วิจารณ์ พานิช
๘ ม.ค. ๖๑