เรื่องราวของ..พี่ติ๊ก..บ้านเราอยู่คนละซอย ของรีสอร์ท..ผมอยู่ในเฟสเก่าแก่ต้นไม้โตแล้ว ของพี่ติ๊ก เป็นเฟสใหม่..ที่แต่เดิมรกร้างว่างเปล่า ไม่มีไม้ยืนต้น แม้แต่ต้นเดียว ผมไม่รู้ว่าพี่ติ๊ก มาซื้อตั้งแต่เมื่อไหร่ มาทราบอีกที เมื่อผมไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ที่สำนักงานของรีสอร์ท..เจ้าของรีสอร์ทชื่นชม..พี่ติ๊ก..ว่าเป็นผู้หญิงเก่ง สู้ชีวิต..เนรมิต ที่ดินด้วยสมองและสองมือ ที่ผู้ชายอกสามศอกก็ยังทำไม่ได้..ผมฟังแล้ว..ก็ยิ้มๆ..แต่..นึกภาพไม่ออก ว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน..อย่างไร
เรื่องพี่ติ๊ก..เริ่มน่าสนใจ เมื่อทางรีสอร์ทบอกว่า พี่ติ๊ก..จะนำหลานชายมาอยู่ด้วย ย้ายมาเรียน ป.๔ ที่เลาขวัญ และทางรีสอร์ทก็แนะนำให้ไปปรึกษา..ครูชยันต์..
วันต่อมา..พี่ติ๊ก..พาหลานชาย..นั่งมอร์เตอร์ไซค์พ่วงข้าง มาที่บ้านผม เพื่อหารือเรื่องย้ายหลานมาเข้าเรียน..จึงเป็นวันแรกที่ผมเห็นหน้าพี่ติ๊ก..ทั้งๆที่พี่ติ๊ก..มาอยู่ในรีสอร์ทนี้เกือบปีแล้ว...
ก่อนที่ผมจะสัมภาษณ์พี่ติ๊ก ถึงชีวิต..ความเป็นมา..ว่าทำไม..ถึงตัดสินใจในบั้นปลาย..ทิ้งกรุงเทพฯเมืองฟ้าอมร..มาอยู่ในป่า ที่แสนจะสงบเงียบ ผมบอกว่า..ก่อนเข้าเรียนที่โรงเรียนบ้านหนองผือ ก็ควรจะได้ไปดูโรงเรียนเสียก่อน..เพื่อเป็นข้อมูลก่อนตัดสินใจ..นะครับ
พี่ติ๊ก..อายุ ๖๐ ปี มีลูกสาวลูกชาย ทำงานที่กรุงเทพฯ ลูกสาว มีครอบครัวและทำธุรกิจ จึงขอฝากลูกชายมาให้พี่ติ๊กเลี้ยงดู..พี่ติ๊ก..เล่าให้ฟังว่า..เคยอยู่บ้านจัดสรรหลายหลังแล้ว ที่กรุงเทพฯ ซื้อแล้วตกแต่งอย่างงดงาม แล้วก็ขายได้ราคา ไปซื้อที่อยู่ใหม่ ทำแบบนี้หลายครั้ง จนรู้สึกเบื่อหน่าย แต่ก็ทำให้มีเงินเก็บ...พี่ติ๊ก..บอกอยู่คนเดียว มานานกว่า ๑๐ ปี ชีวิตคู่ไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง ต่างคนต่างแยกทางเดิน โดยที่ไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งกัน ตั้งแต่นั้นมาชีวิตก็เริ่มแสวงหาความสุขสงบ..
ผมมองหน้าพี่ติ๊ก..ที่ดูเหมือนคนทำงานบนออฟฟิศ..แต่ทำไมจึงชอบงานเกษตรพอเพียงแบบนี้ ที่ใช้ชีวิตประจำวันอยู่กับดินและต้นไม้..พี่ติ๊ก..ยิ้ม และบอกว่า..พี่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจนเรียนจบแค่ ป.๔ อยู่กับลุง อยากเรียนแต่เขาไม่ให้เรียน ต้องไปเป็นลูกจ้างร้านขายของชำ ต่อมาได้ทำงานในห้างสรรพสินค้า แล้วได้พบกับ..คุณสมชาย นิลวรรณ ชวนให้เดินแบบเสื้อผ้า ทำอยู่พักหนึ่ง รายได้ดีพอสมควร เคยเดินแบบกับ คุณลินดา ค้าธัญเจริญ และคุณดวงตา ตุงคมณี...ครับ..ก็นับว่าชีวิต..พี่ติ๊ก..มีประสบการณ์ไม่ธรรมดาเลย...แล้วไปไงมาไงถึงมาอยู่ในรีสอร์ทนี้ได้ ผมถาม
พี่ติ๊กบอกว่า..จริงๆแล้ว เป็นคนรักธรรมชาติ และความสงบ ตัดสินใจไม่อยู่แล้วกรุงเทพ เสาะหาที่ดินสักแปลงเพื่อปลูกบ้านและทำสวนเกษตร ใช้เวลาเป็นปี กว่าจะพบทุ่งดินดำรีสอร์ท และมั่นใจว่าที่นี่ใช่เลยกับสิ่งที่แสวงหา ถึงเหนื่อยก็ยอม เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมให้ชีวิตมีความสุข ตามที่ได้ใฝ่ฝัน...มานาน
ครับ..บ้านพี่ติ๊ก..ในเนื้อที่ ๑ ไร่ มีบ้านสำเร็จรูป ๓ หลัง หลังแรกเป็นเรือนไม้ทรงไทยประยุกต์ หลังที่สองทรงทันสมัย ติดแอร์ สำหรับรับรองลูกหลานที่จะมาเยี่ยมเยือน หลังที่สาม เป็นกระท่อมเล็กๆ สำหรับเก็บเครื่องมือเกษตร เมล็ดพันธุ์และปุ๋ยคอก
หน้าบ้านปลูกไม้ดอกไม้ประดับ สวนหย่อม และ มะละกอ ฟักทอง และผักสวนครัวที่หลากหลาย ทุกอย่างงอกงาม เนื่องจากบริเวณนี้ดินดีและพี่ติ๊กก็เสริมด้วยปุ๋ยชีวภาพที่ทำขึ้นมาเอง
บริเวณหลังบ้านเริ่มปลูกมะพร้าว และไม้ยืนต้น พื้นดินโล่งเตียน มีฟางคลุมไว้ให้ความชุ่มชื้น พี่ติ๊กบอกทำคนเดียวมาตลอด..มีความสุขมาก..เหนื่อยก็พัก..ชีวิตไม่ต้องวุ่นวายอะไร
พี่ติ๊กพูดทิ้งท้ายไว้อย่างน่าฟัง ว่า..เพิ่งรู้ว่า..ความสุขสงบมันดีอย่างนี้นี่เอง ทุกอย่างมันสำคัญที่ใจนะ..ถ้าใจเป็นสุข..ชีวิต..ก็ดำเนินไปได้..อย่างไม่ต้องทุกข์ ทุกวันนี้ พี่ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ดูทีวี ไม่เอาขยะเข้าบ้าน ไม่ต้องคิดตาม ไม่ต้องเอาความทุกข์เข้ามาใส่ใจ ในบ้านมีวิทยุเครื่องเดียว ฟังพระเทศน์สอนธรรม ฟังเพลงธรรม จากวัดสังฆทาน..ทั้งวัน..ก็เพลินดี...”
ผมมองไปรอบๆบ้าน..กับสิ่งที่พี่ติ๊กพูด...ก็ดูจะสอดคล้องต้องกัน..อย่างลงตัวและพอเพียงเหลือเกิน
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๒๐ เมษายน ๒๕๕๙
อ่านแล้วทำให้ได้เรียนรู้ ใยเรื่องของ แนวคิด รูปแบบของชีวิต ในแบบที่พอใจ พอเพียง ของพี่เขา อย่างมากๆ เลยค่ะ .... สุดท้ายความสุขจริงๆ อยู่ที่ใจจริงๆ ค่ะ