ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ในประเทศอังกฤษมีบริการส่งนมจากฟาร์มโคนมไปตามบ้าน เพราะขวดแก้วที่ใช้ไม่มีฝาปิด นกที่อาศัยในเมืองจึงมักมากินไขนมที่ลอยอยู่ข้างบน
หลังสงครามโลก เริ่มมีการใช้แผ่นอลูมิเนียมฟอยล์มาผนึกปิดปากขวด นกจึงไม่สามารถมากินไขนมได้ แต่ก็มีการสังเกตว่า นกกางเขนบางตัวเรียนรู้ที่จะเจาะแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์และสามารถกินไขนมในขวดได้
(นกกางเขน....อ้างอิงจาก http://www.chiangmaizoo.com/web25/th/encyclopedia/...)
แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ แม้จะมีนกกางเขนบางตัวเจาะแผ่นฟอยล์ได้ แต่สำหรับนกติ๊ดสีน้ำเงินแล้ว มันเจาะแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ได้ทุกตัว
การสังเกตนี้ทำให้เราเห็น “วัฒนธรรมนก” ที่แตกต่างกัน ในขณะที่นกกางเขนมีชีวิตอยู่ลำพัง หรือไม่ก็อยู่กับครอบครัวเดี่ยวของมัน โดยมักหวงอาณาเขตไม่ยอมให้นกตัวอื่นเข้าใกล้ นกติ๊ดสีน้ำเงินอยู่อาศัยกันเป็นกลุ่มใหญ่ อพยพย้ายถิ่นทีละหลายๆ ร้อยตัว มันมีชีวิตแบบรวมหมู่ อยู่ด้วยกัน เรียนรู้ด้วยกัน พอนกตัวหนึ่งทำอะไรได้ นกอีกหลายตัวก็เรียนรู้ที่จะทำตาม
เรียกว่า “วัฒนธรรมการเรียนรู้ในหมู่นก” ทำให้นกแต่ละชนิดมีพฤติกรรมแตกต่างกันก็ได้
(นกติ๊ดสีน้ำเงิน...อ้างอิงจาก http://www.naturephoto-cz.com)
จะเห็นว่า วัฒนธรรมกับพฤติกรรมจึงมีผลต่อกันอย่างยิ่ง แม้กระทั่งในสังคมนก
แผนงานวัฒนธรรมกับความเสี่ยงสุขภาพ (Culture and Health Risks Project) ไม่ได้เป็นแผนงานที่จะศึกษาวัฒนธรรมที่มีผลต่อพฤติกรรมของนก แต่สนใจที่จะศึกษาเพื่อทำความเข้าใจปัจจัยทางสังคมวัฒนธรรมที่มีต่อพฤติกรรมเสี่ยงและความเสี่ยงสุขภาพของมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ
แม้แนวคิดที่ว่า “วัฒนธรรม” มีผลต่อ “พฤติกรรม” จะเป็นความคิดที่เป็นที่ยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ในการทำงานเพื่อ “ควบคุม” ความเสี่ยงหรือพฤติกรรมเสี่ยง คำถามที่จำเป็นต้องหาคำตอบยังมีอยู่มากมาย เช่น
- ถ้ากลุ่มทางสังคมที่มีวัฒนธรรมย่อยแตกต่างกันมักมีความเสี่ยงที่ต่างกัน เราจะแบ่งกลุ่มทางสังคมอย่างไรจึงสามารถเข้าใจกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ กันนั้นได้ดีขึ้น
- พฤติกรรมเสี่ยงถูกกำกับโดยค่านิยม ประเพณี ความหมายหรือความสัมพันธ์อย่างไร
- มุมมองเกี่ยวกับความเสี่ยงที่แตกต่างกันระหว่างนักวิชาการ ผู้กำหนดนโยบาย และมุมมองของชาวบ้านทำให้เกิดช่องว่างอย่างไรหรือไม่ ในการทำงานเพื่อแก้ปัญหาความเสี่ยงสุขภาพ ฯลฯ
..............
ถ้อยคำข้างบนเป็นส่วนหนึ่งของคำนำที่เขียนโดย อาจารย์นายแพทย์โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์
ในงานประชุมเชิงปฏิบัติการทบทวนสถานะองค์ความรู้มิติวัฒนธรรมกับความเสี่ยงสุขภาพ วันที่ 24-26 กุมภาพันธ์ 2559 มีคนทำงาน นักวิชาการ อาจารย์ และนักรณรงค์ ในเรื่อง สุรา บุหรี่ อุบัติเหตุทางถนน และยาเสพติด มาร่วมประชุมมากมาย นับเป็นโอกาสและวาสนาที่ผมได้มาร่วมประชุม ได้รับมุมมองความคิดจากกลุ่มคนหลากหลาย และได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้
เป็นก้าวหนึ่งที่เปิดโลกทัศน์ใหม่ของผมในการเรียนรู้ และขับเคลื่อนงาน และขับเคลื่อนชีวิตต่อไป ขอบพระคุณกับโอกาสที่ได้รับ แม้วันข้างหน้าผมอาจจะไม่ได้เป็นนกติ๊ดสีน้ำเงิน หรือนกกางเขนก็ตาม
แต่สิ่งหนึ่งที่จะเดินทางไปพร้อมกับลมหายใจ คือ การโบยบินในโลกกว้างพร้อมน้อมรับสายลมเบา ๆ หรือพายุที่เกรี้ยวกราด...
มิติทางวัฒนธรรมกับความเสี่ยงด้านสุขภาพ---น่าสนใจมากค่ะ
เมื่อเรียนรู้ที่จะอยู่รอด ต้องอยู่ร่วม...นึกรัก นกติีดสีน้ำเงินแล้ว...สิ
..
ขอบคุณคุณทิบดาบมากนะครับ
นกสามารถเรียนรู้ได้ แต่ความสามารถในการเรียนรู้ก็ยังน้อยกว่ามนุษย์
นกกะติ๊ดขี้หมู (สีสันคล้ายนกกระจอก) ที่เราเห็นถูกจับใส่กรง
เพื่อขายให้คนใจบุญได้ซื้อเพื่อปล่อยเอาบุญ
ก็ยังคงถูกมนุษย์จับใส่กรงกลับมาขายเพื่อปลดปล่อย...ซ้ำแล้วซ้ำอีก
คงต้องแก้ไขและให้การเรียนรู้ใส่ใจของมนุษย์ด้วยกระม้ง...
ใช่ครับ...และเห็นด้วยอย่างยิ่ง
"ศึกษาเพื่อทำความเข้าใจปัจจัยทางสังคมวัฒนธรรมที่มีต่อพฤติกรรมเสี่ยงและความเสี่ยงสุขภาพของมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ....."
เพราะนี่คือปัจจัยและเงื่อนไขที่ส่งผลต่อวิถีของสิ่งนั้นๆ ... สะท้อนถึงความจริง และความเป็นพลวัตทั้งปวงนั่นเอง
วันนี้เห็น..นก..กระจิบ..ตัวเล็ก..เพิ่งมี..แพนหางและเริ่มบิน..ส่งเสียงร้องลั่นอยู่หลังบ้านแลัวบินมาเกาะ..คลุกเคล้าร้องจิ้บๆๆกับ.ต้นไม้ขึ้นเองที่ระเบียงบ้าน.(.ยายธี..อยากจะบอกว่า..นกกับคนคงจะมีการเรียนรู้ที่คล้ายคลึงกัน)ทุกกระถาง..มันคงคิดว่าเป็นป่าใหญ่เพราะตัวมันเล็ก..และเพิ่ง..จะเริ่ม..ต้น..ดูโลก...(ดูแล้ว..สดชื่น..อ่านบันทึกนี้..แล้ว..อดไม่ได้..ที่จะ..แจมมา..เจ้าค่ะ..