ปลูกไม้ ใกล้บ้าน ... ให้ประโยชน์ หลายสถาน


ผู้เขียนขอเชิญชวนให้กัลยาณมิตรทำกิจกรรมเล็กๆ คือ "การปลูกพรรณไม้ (Plants) ที่บ้านของตน" เป็นการ “ปลูกเพื่อตนเองและเพื่อโลก (Plant for Thyself and for the Planet)” เพราะเมื่อหลายๆ บ้านปลูก ก็จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อโลกได้ ดังคำกล่าวที่ว่า “Small acts, when multiplied by millions of people, can transform the world.”

สามสี่วันที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์ได้พาดหัวข่าว “วิกฤติภัยแล้ง”  ซึ่งเกิดขึ้นในภูมิภาคต่างๆ ของไทยในปี 2557 ดังตัวอย่างวันที่ 18 มีนาคม ความว่า “เชียงใหม่ประกาศพื้นที่ภัยแล้ง 13 อำเภอ” และ “เมืองคอนส่อแล้งหนัก ข้าวหอมนิลกว่า 230 ไร่ ใกล้แห้งตาย” วันที่ 19 มีนาคม “ขอนแก่นแล้งหนัก 19 อำเภอขาดแคลนน้ำ” และวันที่ 20 มีนาคม “ออกข่าวภัยแล้งรายวัน” ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ออนไลน์ ก็ได้เสนอข่าวว่า “สถานการณ์ภัยแล้งในปี 2557 นี้ คาดกันว่าจะรุนแรงที่สุดในรอบ 10-15 ปี หลายจังหวัดเริ่มประสบปัญหา… อาจมีความเป็นไปได้ว่า จะวิกฤติถึงขั้นประชาชนในกรุงเทพฯ ขาดแคลนน้ำดื่ม!...” และ “ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ได้ให้ความรู้ว่า ในปี 2557 นี้ สถานการณ์ภัยแล้งจะรุนแรงและยาวนานกว่าทุกปีที่ผ่านๆ มา สาเหตุหลักๆ คือ ภาวะของโลกร้อนจัดขึ้น…” (http://m.dailynews.co.th/Article.do?contentId=217154) ในต่างประเทศก็ประสบภัยแล้งเช่นกัน ดังตัวอย่างในภาพล่าง (ขอบคุณกัลยาณมิตร GotoKnow คุณ "sr : Mr Sunthorn SR Rathmanus" สำหรับบันทึกเรื่อง "Looking for rainbows" ที่เสนอข้อมูลและภาพความแห้งแล้งในออสเตรเลีย... "After some 10 months in drought conditions, we are looking up the skies and hoping to see dark rain-bearing clouds....We don't have enough grass for Andy (the horse). So he needs some food supplements like this...)

มีการคาดกันว่า “ปรากฏการณ์โลกร้อน (Global Warming)” หรือ การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศใกล้พื้นผิวโลกและน้ำในมหาสมุทร ที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้เกิดภาวะที่รุนแรงขึ้นของ “ลมฟ้าอากาศแบบสุดโต่ง (Extreme Weather)”...ดังตัวอย่างพายุฤดูร้อน  (Thunderstorms)  ที่ทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองและมีลูกเห็บตกมากมายในจังหวัดต่างๆ ของไทยตามที่เป็นข่าว...(ลูกเห็บตกเกิดจากอุณหภูมิบนยอดเมฆต่ำกว่า -60 ถึง -80 องศาเซลเซียส) และการเปลี่ยนแปลงของผลิตผลทางเกษตร การสูญพันธุ์ของพืช-สัตว์ รวมทั้งการกลายพันธุ์และการแพร่ขยายของโรคต่างๆ เพิ่มมากขึ้น จากที่กล่าวมา จะเห็นว่า ภาวะโลกร้อนคุกคามโลกมนุษย์เกินกว่าที่เราแต่ละคนจะนิ่งดูดาย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงาน/องค์กรต่างๆ ในการแก้ปัญหา แต่ทุกคนจะต้องหันมาร่วมมือกันในการปกป้อง “โลก” ซึ่งเป็นบ้านที่เราอยู่อาศัย เพราะแม้แต่เด็กอย่าง “Felix Finkbeiner” นักเรียนชาวเยอรมันที่อายุแค่ 9 ปี ยังลุกขึ้นมารณรงค์เพื่อลดปัญหาโรคร้อน โดยในการรายงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ (Climate Change) ตามที่ครูมอบหมาย เขาได้เสนอแนวคิดให้เด็กๆ ปลูกต้นไม้ในแต่ละประเทศๆ ละ 1 ล้านต้น และต่อมาเขาได้ก่อตั้งมูลนิธิ “Plant for the Planet : PFTP” ขึ้นในวันที่ 1 มกราคม ปี 2007 (พ.ศ. 2550) ในปี 2011 (พ.ศ. 2554) มีเด็กๆ จากกว่า 93 ประเทศเข้าร่วมกิจกรรมของมูลนิธิ และพวกเขาได้บรรลุเป้าหมายในการปลูกต้นไม้ครบ 1 ล้านต้นในประเทศต่างๆ ทั่วโลก (http://en.wikipedia.org/wiki/Plant-for-the-Planet)

อนึ่ง สมัชชาสหประชาชาติ ได้ประกาศให้วันที่ 22 มีนาคม ของทุกปีเป็น “วันน้ำของโลก”  เพื่อระลึกถึงความสำคัญของน้ำ ซึ่งเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลก อีกทั้งกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวในหมู่มวลมนุษยชาติ ในเรื่องการอนุรักษ์น้ำ ช่วยกันดูแลบำรุงรักษาพัฒนาแหล่งน้ำ และจัดการทรัพยากรน้ำจืดอย่างยั่งยืนสำหรับอนาคต "น้ำจืด" ซึ่งจำเป็นต่อการยังชีพของมนุษย์และนำมาใช้ได้จริง มีเพียงร้อยละ 0.25 เท่านั้น แต่ต้องใช้หล่อเลี้ยงชีวิตพลโลกกว่า 6,000 ล้านคน จึงย่อมไม่เพียงพอ แถมมนุษย์ยังใช้น้ำอย่างไม่บันยะบันยังอีก ทำให้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของน้ำจืด จนตกอยู่ในภาวะอันตรายเป็นอย่างยิ่ง เรื่องนี้ คนไทยเราขึ้นป้ายอีกแล้ว เพราะ สหประชาชาติเปิดเผยว่า กรุงเทพมหานครของไทย ได้ชื่อว่า เป็นพื้นที่เมืองที่ผลาญทรัพยากรน้ำมากที่สุดในโลก เฉลี่ยแล้ว ใช้น้ำราว 265 ลิตรต่อคนต่อวัน ขณะที่ชาวฮ่องกงใช้น้ำเปลืองน้อยที่สุดในโลก ผู้เขียนจึงขอร่วมรณรงค์ตามข้อความในภาพล่างซ้าย ให้ทุกคน “ช่วยกันใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า เพื่อเก็บน้ำที่เหลือไว้ใช้ในเวลาที่จำเป็น เพราะน้ำคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับทุกชีวิต”

และวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมาก็เป็น "วันความสุขโลก" (The International Day of Happiness is celebrated throughout the world on the 20th of March. It was established by the United Nations General Assembly on 28 June 2012.) ซึ่งได้มีการเฉลิมฉลองครั้งแรกในปี 2013 ดัง Logo ในภาพบนกลาง ซึ่ง “การปลูกต้นไม้” เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ทำให้โลกมีความสุขมากขึ้น (เพราะช่วยลดโลกร้อน) ผู้เขียนจึงขอเชิญชวนให้กัลยาณมิตรทำกิจกรรมเล็กๆ คือ การปลูกพรรณไม้ (Plants) ที่บ้านของตน  เป็นการ “ปลูกเพื่อตนเองและเพื่อโลก (Plant for Thyself and for the Planet)” เพราะเมื่อหลายๆ บ้านปลูก ก็จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อโลกได้ ดังคำกล่าวที่ว่า “Small acts, when multiplied by millions of people, can transform the world.”  โดยจะขอนำประสบการณ์ในการปลูกพรรณไม้หลากหลาย ที่ “ฟาร์มไอดิน-กลิ่นไม้” จากเดือนมกราคมปี 2548 ถึงปัจจุบันรวมเวลา 10 ปีมาแลกเปลี่ยน (ผู้เขียนเพิ่งจะย้ายตัวเองเข้าไปอยู่ที่บ้านฟาร์ม ในเดือนมกราคม ปี 2556 หลังเกษียณอายุราชการที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ในเดือนกันยายน 2555 ก่อนนั้นจะมีโอกาสไปอยู่และปลูกดูแลพรรณไม้ที่ฟาร์ม เฉพาะในช่วงวันหยุดและปิดภาคเรียนเท่านั้น ในขณะที่บริเวณที่ผู้เขียนรับผิดชอบโดยตรงก็มีมากมาย เริ่มจาก ตามแนวรั้วฟาร์มด้านติดถนน (ความยาว 80 เมตร) บริเวณป้ายฟาร์ม ประตูเข้าฟาร์ม ทางเข้าฟาร์ม รอบสนามเปตอง บริเวณอาคารอเนกประสงค์ ป้ายสวนสมุนไพร ขอบบ่อด้านทิศเหนือ และรอบบ้านทั้ง 4 ด้าน 

ตัวอย่างบางส่วนของพรรณไม้ตามแนวรั้วหน้าฟาร์ม ได้แก่ "เฟื่องฟ้า" ดอกไม้ประจำจังหวัดภูเก็ต "สุพรรณิการ์" ดอกไม้ประจำจังหวัดสุพรรณบุรี นครนายก อุทัยธานี และบุรีรัมย์ "อินทนิลน้ำ" ดอกไม้ (Flower) และ ต้นไม้ (Tree) ประจำจังหวัดสกลนคร และ "ศรีตรัง" ดอกไม้และต้นไม้ประจำจังหวัดตรัง  

 

ก่อนที่จะแลกเปลี่ยนเรื่อง “การปลูกไม้ใกล้บ้าน” ว่า จะให้ประโยชน์หรือมีข้อดีประการใดบ้าง และไม้ชนิดใดควรปลูกและชนิดใดไม่ควรปลูกเพราะเหตุผลใด  จะขอเริ่มจากการเสนอภาพรวมของ “ภูมิทัศน์บ้านไอดิน-กลิ่นไม้”  ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพื่อให้ท่านผู้อ่านจินตนาการออก เวลาพูดถึงการปลูกพรรณไม้ตามจุดต่างๆ

การปลูกดูแลพรรณไม้ ต้องมีวัสดุอุปกรณ์ในการทำงาน แต่รถประจำตำแหน่งของคนสวนที่ไม่มีค่าแรงอย่างผู้เขียน ที่ ผจก.ฟาร์มไอดินฯ (พ่อใหญ่สอ) มอบให้ คือ รถคันเก่าที่ท้องรถผุ แม้จะเคยให้ร้านซ่อมปะผุไปแล้วแต่ก็ยังรั่วอีก ต้องใช้ถุงปุ๋ยรองอย่างในภาพ ส่วนคนสวนกลับได้ใช้รถคันใหม่ …แบบนี้ ผู้เขียนน่าจะร้องเรียนกรมแรงงานดีไหมคะ เพราะค่าแรงก็ไม่ได้รับแล้วสภาพแวดล้อมในการทำงานยังแย่อีก...แต่ยังไงๆ ผู้เขียนก็ยังไม่ย่อท้อ ทำสวนครัวเพิ่มอีกหนึ่งแห่ง ในที่ๆ พ่อใหญ่สอบอกอย่าปลูกเลยไม่ได้ผลหรอกเพราะไม่โดนแดด จริงๆ แล้วโดนแดดมากกว่าพริกที่ปลูกติดกับลานซักล้างเสียอีก ซึ่งแม้จะโดนแดดน้อยยแต่พริกดังกล่าวก็มีลูกดกอย่างที่เห็น ในภาพ แคแดงที่ปลูกอยู่ก่อนก็ออกดอกดกให้ได้เก็บกินทุกวัน เลยจะลองดูว่า พริก มะเขือพวง และมะละกอที่ปลูกในบริเวณต้องห้าม ผลจะเป็นอย่างไร...สำหรับบ้านที่มีบริเวณปลูกไม่มาก ขอแนะนำให้อ่านความคิดสร้างสรรค์ในการปลูกพรรณไม้ของ "ดร.โอ๋-อโณ"  เรื่อง "ที่ปลูกต้นไม้จากของใช้ที่จะทิ้ง" (http://www.gotoknow.org/posts/563452) ซึ่งได้เสนอแนะทั้งเรื่อง "วัสดุปลูกแบบลดขยะ ไม่เป็นภาะระค่าใช้จ่าย แถมยังช่วยให้พรรณไม้ที่ปลูกอยู่ได้นานโดยไม่ต้องรดน้ำ" เธอบอกว่า "...มองเห็นขวดนมที่บ้านเรามีเป็นประจำสัปดาห์ละเป็นสิบ เก็บไปใส่ถังรีไซเคิลจนแทบล้นทุกครั้ง เกิดความคิดว่าน่าจะเอามาใส่ปลูกต้นไม้แบบไม่ต้องรดน้ำบ่อยๆได้ ก็เลยลองทำดู ใช้ได้จริงๆ ค่ะ หน้าร้อนอย่างนี้ วันไหนรดน้ำไม่ถึง ใบเหี่ยวแห้งน่าสงสารมาก จากวิธีนี้พบว่าดินชุ่มชื้นตลอดเวลา เลยเก็บมาฝากกันค่ะ คือ ตัดครึ่งขวดนมขนาดสองลิตร แล้วหงายส่วนบนเป็นที่ใส่ดิน เจาะรููหลายๆ รูรอบพื้นที่ให้สามารถรับน้ำและความชื้นจากด้านล่างได้ แล้วก็เอาส่วนล่างเป็นที่ใส่น้ำ ตัดไว้หลายๆ อัน ก็ใช้วิธียกส่วนบนไปวางที่ฐานอันใหม่ที่ใส่น้ำและปุ๋ยไว้สักครึ่ง พอซ้อนลงไปก็ชุ่มชื้นพออยู่ได้หลายวันเลยทีเดียว พอสามสี่วันที่น้ำด้านล่างแห้งก็ยกย้ายไปอันใหม่" 

ประโยชน์หรือข้อดีของ "การปลูกพรรณไม้ (Plant) ใกล้บ้าน" ประการแรก คือ โอกาสรอดของพรรณไม้ที่ปลูกมีมากกว่า และจะมีการเจริญเติบโตที่ดีกว่า "การปลูกพรรณไม้ไกลบ้าน" เพราะอยู่ใกล้หูใกล้ตาจึงมีโอกาสได้รับการดูแลรดน้ำมากกว่า นอกจากนั้น ยังมีโอกาสสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงถ้าทำท่าไม่ดีก็สามารถแก้ไขได้ทันการณ์...ผู้เขียนกับ ผจก.ฟาร์มไอดินฯ (พ่อใหญ่สอ) มักมีความคิดและทำอะไรแบบสวนทางกัน แนวเดียวกับกลุ่มคนสองฝ่ายที่ขัดแย้งกันอยู่ในบ้านเมืองขณะนี้ กล่าวคือ พ่อใหญ่สอคัดค้านการปลูกต้นไม้ใกล้บ้าน บอกต้องปลูกกลางแแจ้งให้ได้รับแดด 100 % ตลอดวันต้นไม้จึงจะเติบโต แน่นอนว่า ที่กลางแจ้งจะไม่อยู่ใกล้บ้าน แกปลูกเงาะ มังคุดและทุเรียนด้วยหลักการดังกล่าวมา 8 ปี ผลคือ ปลูกได้ไม่นานก็ตายแล้วแกก็ซื้อปลูกใหม่ทุกปี ทุเรียนต้นที่ 8 ต้นล่าสุดที่แกปลูกข้างทางเข้าฟาร์มและบอกต้นนี้รอดแน่ ก็อยู่ได้ไม่ถึงสองเดือน

ผู้เขียนได้ท้าพิสูจน์ให้อดีตอาจารย์วิทยาศาสตร์ดู โดยนำต้นไม้สองต้นที่ซื้อตอนไปอบรมเรื่องการปลูกผักร่วมกับการเลี้ยงปลา ที่ ม.ขอนแก่นในวันที่ 27 มกราคม 2557 มาปลูกเปรียบเทียบกัน (ปลูกมาแล้วประมาณ 5 สัปดาห์) ให้พ่อใหญ่สอปลูก "ต้นสมแขก" ซึ่งอยู่ในสภาพที่ดีกว่า คือมีใบสมบูรณ์ติดมา 5-6 ใบ (ต้นสูงประมาณ 120 ซม. ราคา 250 บาท) ที่ปลูกคือข้างทางเข้าฟาร์มด้านซ้ายห่างจากบ้านประมาณ 80 เมตร แกให้คนสวนขุดหลุมให้ทั้งลึกและกว้าง ดินปลูกก็ใช้ดินใหม่ผสมปุ๋ยอินทรีย์อย่างดี ปลูกเสร็จใช้ใบไม้แห้งคลุมโคน และผูกต้นส้มแขกกับหลักไม้ไผ่เพื่อไม่ให้ต้นโยกคลอน (ปกติจะเห็นเคยใช้ทางมะพร้าวแห้งช่วยบังเแดด แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช้) เห็นแกบอกให้คนสวนรดน้ำมากๆ (สัปดาห์ละครั้ง) ผู้เขียนบอกรดแค่นั้นไม่พอหรอกแกก็บอกว่าจะรดเสริมอีก ส่วนผู้เขียนเองปลูก "จำปีแดง" ที่มีสภาพเหมือนต้นไม้ที่ถูกทิ้งเพราะในถุงปลูกมีแต่ดินแห้งๆ ต้นจำปีแดงในถุงก็ดูแคระแกร็น มีใบแห้งที่มีรอยยับติดมา 2 ใบ ความสูงต้นประมาณ 55 ซม. ราคา 150 บาท (ที่ซื้อเพราะอยากปลูกและไม่มีตัวเลือก เพราะขอซื้ออีกเจ้าหนึ่งซึ่งขายจำปีแดงที่ต้นเล็กกว่าแต่สมบูรณ์กว่า มีแค่ 2 ต้นๆ ละ 300 บาท แต่คนขายบอกมีคนจองไว้แล้ว) จุดปลูกจำปีแดงคือ ที่ๆ เคยปลูกคอร์เดียซึ่งตายไปแล้ว อยู่ติดกับระเบียงบ้านด้านทิศตะวันออก มีโอกาสได้รับแดดทั้งวันประมาณ ึ60-70 % เพราะมีต้นไม้ใกล้เคียงช่วยบังแสง เป็นที่ๆ ต้องเดินผ่านวันละหลายๆ รอบเพราะอยู่ติดกับม้าหินอ่อนที่ใช้นั่งทานมื้อเช้า-กลางวัน ผู้เขียนจัดการทุกอย่างด้วยตนเอง เหมือนพรรณไม้แทบทั้งหมดรอบบ้าน เริ่มจากขุดโคนต้นไม้เก่าที่หมดอายุออก แล้วนำต้นจำปีลงปลูกแทน ใช้ดินเดิมที่มีแต่เพิ่มปุ๋ยโบกาฉิสูตรของพ่อใหญ่สอ ปลูกเสร็จดูแลรดน้ำทุกวันเช้า-เย็น สังเกตการเปลี่ยนแปลงทุกวันเกือบสองสัปดาห์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สัปดาห์ที่สามจึงเริ่มผลิตา...เย้! จำปีแดงรอดแล้ว...

วันที่ 26 มี.ค. ผู้เขียนนึกถึงต้นส้มแขกของพ่อใหญ่สอขึ้นมาได้ จึงออกไปดู พบว่าตายเรียบร้อย จึงถ่ายภาพต้นไม้ทั้งสองต้นมาเปรียบเทียบกันดังภาพล่าง ("ต้นมณฑา" และ"เถาพวงโกเมน" ที่ซื้อมาในโอกาสเดียวกัน และผู้เขียนได้ปลูกไว้ใกล้บ้านก็อยู่รอดปลอดภัยเช่นกัน) วันที่ 27 มี.ค. ผู้เขียนได้ออกไปดูต้นส้มแขกอีกที พบว่า ลำต้นที่ปรากฏในภาพแห้งตายไปจนถึงโคน แต่เมื่อเปิดหญ้าแห้งที่คลุมโคนพบมียอดอ่อนงอกใหม่จากโคนสูงประมาณ 5 ซม. เลยใช้กรรไกรตัดกิ่ง ตัดต้นเก่าทิ้งแล้วใส่ปุ๋ยรดน้ำ เย็นๆ จะไปดูอีกทีเพราะช่วงที่ออกไปดูแดดเปรี้ยงๆ และรู้สึกดีใจที่พบว่า "ต้นพญาเสือโคร่ง" และ "ต้นมโนรมย์" ที่พ่อใหญ่สอปลูกพร้อมๆ กับส้มแขก แต่ได้รับแดดประมาณ 80 % เพราะได้ไม้ใหญ่ คือ "ชมพูพันธ์ทิพย์" ช่วยบดบังความร้อนแรงของแสง ยังอยู่รอดปลอดภัยทั้งคู่ 

นอกจากประเด็นของโอกาสรอดและการเจริญเติบโต แล้ว "การปลูกไม้ไกลบ้าน" ยังมีข้อเสียที่ผู้เขียนเห็นได้ชัดเจนมากในปี 2556 ที่ได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านฟาร์ม กล่าวคือ "พืชเศรษฐกิจ" ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ "ผจก.ฟาร์มไอดินฯ และคนสวน" ในการปลูกและดูแลตลอดจนการเก็บเกี่ยวผลผลิต จะอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า "ปลูกไกลหูไกลตา ทำให้ดูแลไม่ทั่วถึง จึงเสียหาย และไม้ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตในเวลาอันควร" ดังตัวอย่างพืชที่ปลูกถัดจากขอบบ่อด้านทิศใต้ ได้แก่ มะม่วง กล้วย และลิ้นฟ้า มีบ่อยๆ ที่ผู้เขียนไปพบกล้วยน้ำว้าที่สุกงอมลูกร่วงหล่นเสียหาย กล้วยที่เครือใหญ่มากจนต้นหักโค่น ถ้าสุกก็ถูกไก่ชาวบ้านจิกกินเสียหาย มะม่วงโชคอนันต์สุกหล่นเกลื่อนก็เป็นอาหารให้ไก่ชาวบ้านจิกกินเช่นกัน ผู้เขียนรู้สึกเสียดายจึงเก็บไปทำมะม่วงแผ่น (มีส่วนผสมคือมะม่วงและน้ำสะอาดเท่านั้น ทำเป็นครั้งแรกในชีวิต ไม่ได้คิดจะขายทำไว้กินเอง แต่พอนำไปให้แม่ค้าส้มตำที่คุ้นเคยชิม ยายบ้านใกล้กันขอชิมด้วย บอกอร่อยมากและดูรู้ว่าสะอาดจึงสั่งซื้อ ซื้อไปรอบแรกแล้วขอซื้อรอบสอง พอขอซื้อรอบสามเลยบอกให้รอปีใหม่เพราะที่มีเหลืออยู่บ้างจะนำไปฝากลูกที่กทม.) บางครั้งก็มีกิ่งมะม่วงหักโค่นเพราะลูกดกมากรับน้ำหนักไม่ไหว ส่วนลิ้นฟ้า ผจก.ฟาร์มฯ ไม่เคยเก็บเลย บอกไม่รู้ว่าฝักแบบไหนควรเก็บ ให้เป็นหน้าที่ของผู้เขียนซึ่งงานล้นมืออยู่แล้ว ทั้งงานบ้าน (ทำอาหาร 3 มื้อ ล้างถ้วยชาม ซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน จัดบ้าน) และปลูกดูแลพรรณไม้ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว ปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นการเก็บผลผลิตเป็นปีแรกจึงมักเก็บไม่ทัน ทำให้ฝักที่เก็บแก่ไปใช้ไม่ได้ประมาณ 50 % ปี 2557 นี้ ผู้เขียนคงจะต้องปรับกลยุทธ์ จัดสรรเวลาไปช่วยดูแลป้องกันปัญหาต่างๆ ดังที่กล่าวมามากขึ้น 

สำหรับพืชผักสมุนไพรที่ปลูกไว้ใกล้บ้าน ทั้งที่หลังบ้าน ระเบียงหน้าบ้าน ระเบียงข้างบ้าน บริเวณหน้าบ้าน และขอบสระใกล้บ้าน ด้วยความที่อยู่ใกล้มือสะดวกในการเก็บ ผู้เขียนจึงได้เก็บไปใช้ประโยชน์ทุกวัน นับเป็นข้อดีประการที่ 2 ของการปลูกพรรณไม้ใกล้บ้าน

อยากเชิญชวนให้กัลยาณมิตรปลูกพืชผักสมุนไพรทุกชนิด ที่เราต้องใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เพื่อจะได้มั่นใจว่าไม่มีสารพิษเจือปน เพราะผักที่ซื้อจากตลาด ก็มีข่าวการตรวจพบว่ามีการใช้ฟอร์มาลีนสำหรับดองศพแช่่ผักเพื่อให้สดและอยู่ได้นาน สมุนไพรที่อยากให้ปลูกมากเป็นพิเศษ คือ "เตยหอมและว่านรางจืด" เพราะจากที่ศึกษามา "น้ำต้มใบรางจืดผสมใบเตย (ใช้อย่างละ 7 ใบ)" ใช้ดื่มเพื่อสลายหินปูนได้ หินปูนหรือกรดยูริกเมื่อไปเกาะตามกระดูกจะทำให้ปวดเมื่อย เกาะที่กระดูกสันหลังจะเป็นกระดูกงอกทับเส้นประสาท อยู่ในลำใส้ทำให้การขับถ่ายไม่ดี อยู่ที่สมองทำให้สมองเสื่อม อยู่ที่จอประสาทตาทำให้ตาเป็นต้อ และอยู่ที่ขั้วปอดทำให้เป็นหอบหืด ผู้เขียนได้ต้มให้พ่อใหญ่สอดื่มอยู่พักหนึ่ง เพราะอาการเกือบทั้งหมดที่กล่าวมา แสดงออกในพ่อใหญ่สอ ซึ่งไม่เคยใช้ประโยชน์จากสมุนไพรเลย ใช้แต่ยาจากโรงพยาบาล เสียดายว่า ว่านรางจืดอยู่ไกลเลยไม่สะดวกในการนำไปใช้ ส่วนใบเตยติดหลังบ้าน ใช้ต้มน้ำชงกาแฟทุกเช้า

สมุนไพรสารพัดประโชน์อีก 2 ชนิดที่ขอแนะนำให้ปลูกไว้ใกล้บ้านเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ คือ "ว่านหางจระเข้ (Aloe Vera)"  และ "อัญชัน (Pigeonwings)" ผู้เขียนได้นำดอกอัญชันไปทำชาอัญชันตามคำแนะนำของ "คุณกานดา น้ำมันมะพร้าว" ส่วนว่านหางจระเข้ก็ได้นำไปใช้ประโยชน์หลายอย่าง แต่ที่อยากเล่า คือ เช้าวันหนึ่งขณะผู้เขียนไปส่งลูกเอ๋ (ขณะเรียน ป.5) ที่โรงเรียน ก่อนจะเดินทางต่อเพื่อไปเป็นวิทยากรที่อำเภอใกล้เคียง สังเกตเห็นลูกเอ๋ใช้แตงกวาถูใบหน้าตลอดและหน้าเธอก็แดงมาก ถามก็ไม่ได้ความ ตอนไปรับลูกช่วงเย็น ขณะครูกำลังเลิกจากการติวให้ลูกเอ๋และเด็กผู้ชายอีก 2 คน เพื่อเป็นตัวแทนโรงเรียนอนุบาลอุบลฯ ไปแข่งขันตอบปัญหาวิทยาศาสตร์วิชาการ เห็นลูกนั่งก้มหน้าตลอด พอจับให้เงยหน้าขึ้นมาตกใจมากที่ผิวหน้าลูกไหม้เกรียมดำไปหมด คุณครูก็ช่างกระไร ไม่ได้ดูแลแก้ไขปัญหาให้เด็กเลย แถมยังหัวเราะและบอกว่า หน้าเสียไม่เป็นไรเพราะสมองไม่ได้เสื่อม จึงรีบพาลูกไปหาหมอที่คลินิก  (ลูกเอ๋สารภาพว่า นำครีมอะไรจำไม่ได้ ไปทาหน้า) หมอทำท่าตกใจถามไปทำอะไรมา แผลลึกนะนี่ (ลูกเอ๋บ่นทีหลังว่า พูดอย่างนี้ ถึงแทบไม่มีคนไข้ไปใช้บริการ) หมอให้ยาน้ำไปทาแผลและให้ไปพบหมอทุกวัน หลายวันเข้าก็ใจไม่ดีเพราะเห็นหน้าลูกก็แฉะๆ อย่างเดิม ไม่มีทีท่าว่าผิวที่ไหม้ดำจะหลุดลอกออก เลยโทรฯ ปรึกษาหลานสาวที่ทำงานด้านสาธารณสุขที่ยโสธร เธอบอกให้เลิกไปพบหมอแล้วใช้วุ้นหางจระเข้วางให้ทั่วใบหน้าตอนนอน เลยทำตาม ปรากฏว่า แค่ 2 วันผิวที่ไหม้ดำก็แห้งและหลุดลอกและลอกออกหมดในวันที่ 3 แถมไม่มีรอยแผลเป็น สีผิวต่างไปจากเดิมหน่อยๆ แต่ตอนหลังก็กลับเป็นปกติ...ขอบคุณหลานสาวและว่านหางจระเข้จริงๆ...ไม่เช่นนั้นลูกเอ๋ (ดังภาพล่าสุดที่ได้ไปเที่ยวกระบี่ด้วยกัน) คงเสียใจแย่...  

พืชที่น่าปลูกเพื่ออนุรักษ์พันธุ์ คือ "อ้ม” ซึ่งเป็นพรรณไม้ที่ผู้เขียนเคยซื้อจากงานเกษตรที่ จ.ศรีสะเกษไปปลูกบริเวณศาลาไทยบ้านไอดินฯ หลายปีก่อน แต่ไม่ได้ดูแลเองเลยตายไป ต้นที่เห็นในภาพเพิ่งจะปลูกเมื่อเดือนที่ผ่านมา ที่ซื้อไปปลูกเพราะตอนเด็กๆ เคยได้ยินแม่พูดว่า “หอมเหมือนอ้ม” แต่ไม่เคยรู้จักอ้มเลยต้องการปลูกเพื่อเรียนรู้ เพิ่งจะได้อ่านเรื่อง “อ้ม” จาก Blog ของครูที่ยโสธร ได้ข้อมูลว่า “อ้ม” เป็นพรรณไม้ที่พบในประเทศไทยเท่านั้น และกำลังจะสูญพันธุ์ เป็นไม้ที่ชอบน้ำ ไม่ชอบแดด ใช้แดด 20% (ต้นที่ปลูกก็ได้รับแดดประมาณนั้น) เจ้าของ Blog เล่าว่า สนใจ “อ้ม” เพราะชอบใจกลิ่นที่ได้จากน้องครูที่เดินผ่าน และทราบว่าเป็นกลิ่นจากใบอ้มลนไฟที่พกติดกระเป๋าเสื้อ เธอเลยต้องการซื้อ “อ้ม” ไปปลูก เธอเล่าว่า “…หาซื้อตามร้านขายต้นไม้ที่ยโสธรไม่มีสักร้านเดียว  ครั้นจะขอน้องเขาก็เกรงใจ  เลยถ่อสังขารไปซื้อแถวอุบลฯ ก็ไม่มีขาย  (ไปไม่ถูกร้าน) ในที่สุดก็เสาะแสวงหาจนได้…” (http://www.kroobannok.com/blog/27102) และกัลยาณมิตร GotoKnow “คุณอุ้มบุญ” พยาบาลที่ อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ก็เล่าว่า เธอตามหาอ้มเป็นเวลา 30 ปีกว่าจะได้ไปปลูก (http://www.gotoknow.org/posts/402972)

นอกจากพืชผักสมุนไพรแล้ว บ้านไอดินฯ ยังปลูกไม้ดอกไม้ประดับ (Flowering Plants) รายรอบบ้าน 3 ด้าน รวมทั้งระเบียงหน้าบ้าน-ข้างบ้าน โดยปลูกทั้งไม้ต้นประดับดอก (Flowering Trees) ไม้พุ่ม (Flowering Shrub) ไม้เลื้อย (Flowering Climbers) ไม้ล้มลุก (Flowering Herb) และไม้กระถาง (Flowering Pot Plants) การมีไม้งาม และไม้หอมที่ปลูกไว้รายรอบบ้าน ทำให้แต่ละวันได้อยู่ท่ามกลางความงามของดอกไม้หลากสี-รูปทรง และ/หรือส่งกลิ่นหอมกล่อมนาสิกประสาท ก่อให้เกิดความสุขความเบิกบานใจ จนไม่อยากเดินทางเข้าไปพบกับความวุ่นวายในเมือง...นับเป็นประโยชน์ประการที่ 3 ของการปลูกพรรณไม้ไว้ใกล้บ้าน

เมื่ออากาศในแต่ละวันมีอุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้แต่ละบ้านใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อคลายความร้อนมากขึ้น กอปรกับราคาพลังงานมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ส่งผลให้แต่ละบ้านต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จึงควรหาทางลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ด้วยการปลูกต้นไม้ในบริเวณบ้าน เพื่อให้แดดส่องตัวบ้านน้อยลง และลดการสะท้อนความร้อนของพื้นปูน-กระเบื้อง จะได้ไม่ต้องเปิดแอร์เปิดพัดลม แถมยังจะได้สัมผัสกับธรรมชาติอีกด้วย การปลูกต้นไม้เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว ควรปลูกต้นไม้สูงเพื่อบังแดด ปลูกไม้พุ่มเพื่อลดลมร้อนพัดผ่านเข้าตัวบ้าน และลดความแรงของแสงที่ส่องเข้าสู่ตัวบ้าน และปลูกไม้คลุมดิน เพื่อให้ความเย็นแก่พื้นดินบริเวณบ้าน ได้มีการศึกษาพบว่า การปลูกต้นไม้ใหญ่ 1 ต้น จะช่วยให้อุณหภูมิลดลงประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส และในที่ๆ มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมครึ้ม อุณหภูมิจะต่ำกว่าบริเวณใกล้เคียงประมาณ 2-4 องศาเซลเซียส  บ้านที่ถูกแสงแดดโดยตรงจะมีอุณหภูมิถึง  40 องศาเซลเซียส  ในขณะที่บ้านที่มีร่มเงากำบังจะมีอุณหภูมิเพียง 28  องศาเซลเซียส  ลดลงถึง  11  องศาเซลเซียส ทิศใต้เป็นทิศที่แดดเข้าตลอดวันและเกือบตลอดปี ควรใช้ต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา โดยปลูกไม้ที่มีใบทึบข้างบนและโปร่งด้านล่าง เพื่อให้ลมพัดผ่านเข้าบ้านได้ และควรปลูกไม้ดอกหอม เพราะมีกลิ่นหอมเมื่อยามลมพัด ขณะที่ทิศตะวันตกได้รับแดดจัดตลอดบ่ายควรปลูกไม้ที่ให้ร่มเงา ที่บ้านไอดินฯ ก็ปลูกพรรณไม้ตามหลักการดังกล่าว (ดังตัวอย่างในภาพล่าง) และรอบบ้านก็จะมีสายลมพัดผ่านให้ความเย็น จึงไม่ได้ติดแอร์ ใช้เฉพาะพัดลมในช่วงที่อากาศทั่วไปร้อนมากเท่านั้น การช่วยลดอุณหภูมิและลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน จึงเป็นประโยชน์ประการที่ 4 ของการปลูกพรรณไม้ใกล้บ้าน

"ไม้พุ่ม" ที่พ่อใหญ่สอซื้อไปปลูกตั้งแต่ก่อนสร้างบ้าน เพื่อให้ทำหน้าที่ (Function) ของต้นไม้ด้านการให้ร่มเงา (Shelter) และโชว์ความงามของรูปทรง (Sculpture) คือ "ไผ่ข้อสั้น (ตามที่พ่อใหญ่สอเรียก) หรือไผ่น้ำเต้า (Buddha's Belly Bamboo) ตามข้อมูลที่ได้จากการสืบค้น" และ "ไผ่สีทอง (Golden Running Bamboo)" ซึ่งไผ่ทั้งสองชนิดมีหน่อที่นำไปทำอาหารได้ ไผ่ข้อสั้นต้นที่ปลูกติดขอบบ่อปลา จะให้ร่มเงาบริเวณซักล้างในช่วงเช้า ส่วนช่วงบ่ายจะได้ร่มเงาจากไผ่สีทอง และไผ่ข้อสั้นด้านติดถนนจะให้ร่มเงาแก่ไม้อื่นๆ ที่ปลูกในบริเวณใกล้เคียงแถวข้างบ้านด้านตะวันตก แต่ปัญหาที่พบคือ ไผ่ข้อสั้นจะขยายกอโดยการแตกหน่อใหม่เร็วมาก ถ้าไม่นำหน่ออ่อนไปทำอาหารก็ต้องคอยตัดหน่อแก่ทิ้งเพื่อไม่ให้กอโตเกินไป และเมื่ออายุมากขึ้น ไผ่ข้อสั้นจะมีทรงพุ่มโตมากและเสียรูปทรงเป็นภาระต้องคอยตัดแต่ง อีกอย่างคือ ใบจะร่วงทุกวันต้องคอยกวาด ดีหน่อยที่นำไปทำปุ๋ยหมักได้ ไผ่เป็นต้นไม้ที่ คนไทย คนจีน และคนญี่ปุ่น มีความเชื่อคล้ายกันว่า เป็นสัญลักษณ์ของความสง่าเหนือธรรมชาติ และการปลูกไผ่จะช่วยเสริมมงคลให้กับผู้อยู่อาศัย คนจึงนิยมปลูกไผ่ในบริเวณบ้าน ถ้ากัลยาณมิตรจะปลูกไผ่ ขอเสนอแนะว่า เลือกปลูกไผ่สีทองจะเหมาะกว่า เพราะพุ่มไม่โตมาก อีกทั้งลำก็เกลี้ยงนวลและมีสีเลืองทองสวยงาม ประโยชน์ด้านการให้ร่มเงาและการโชว์ความสวยงามของรูปทรง จึงเป็นประโยชน์ประการที่ 5 ของการปลูกต้นไม้ใกล้บ้าน

บ้านไอดินฯ ได้ปลูก "ไม้คลุมดิน (Groundcovering Plants)" หลายชนิดดังภาพข้างล่าง เพื่อช่วยให้ดินเย็น  ช่วยพิทักษ์หน้าดินจากความแห้งแล้ง และใช้ในการตกแต่งสวน การช่วยให้ดินรอบบ้านเย็น และช่วยพิทักษ์หน้าดินไม่ให้แห้งแล้งจึงเป็นประโยชน์ประการที่ 6 ของการปลูกพรรณไม้ใกล้บ้าน

ไม้คลุมดินคุณสมบัติดี ที่ผู้เขียนปลูกมานับ 20 ปี และขอแนะนำให้กัลยาณมิตรปลูกเพื่อช่วยให้ดินรอบบ้านเย็น ช่วยพิทักษ์หน้าดิน และปลูกคลุมโคนให้ความชุ่มชื้นแก่ไม้อื่น อีกทั้งยังใช้เป็นส่วนหนึ่งในการจัดสวนได้ดี คือ “หัวใจสีม่วง” ซึ่งมีคุณสมบัติดีหลายประการ ได้แก่ 1) มีสีสวย 2) เจริญเติบโตแผ่ขยายดีมาก  3มีความอดทนต่อความแห้งแล้ง (ผู้เขียนปลูกไว้ที่สวนป่าท้ายฟาร์มช่วงก่อนสร้างบ้าน ไม่ได้รดน้ำหลายปีแล้ว อาศัยแต่น้ำฝน ก็ยังรอดอยู่ได้ 4ขยายพันธุ์ง่ายแค่ตัดกิ่งไปปักชำหรือแยกหน่อ ทั้งหมดที่เห็นในภาพ ผู้เขียนไม่ได้ซื้อใหม่ แต่แยกหน่อและตัดกิ่งจากที่ปลูกไว้ที่ “บ้านเรือนขวัญ” ในเมืองมาปลูก 5) นอกจากให้ประโยชน์ตามที่กล่าวไปแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยา คือ ทั้งต้นรวมราก นำไปต้มดื่มจะช่วยแก้อาการร้อนใน  กระหายน้ำ ส่วนใบก็นำไปตำแล้วพอกบรรเทาอาการฟกช้ำหรือบวมได้  

ได้มีการศึกษาวิจัยทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทย สรุปสาระสำคัญได้ว่า สารพิษที่ปะปนอยู่ในอากาศที่พบบ่อยที่สุดและมีอันตรายมากที่สุดมี 3 ตัว คือ 1) ฟอร์มัลดีไฮด์ พบใน โฟม พลาสติกชนิดยูเรีย เชื้อเพลิงหุงต้ม กระดาษต่างๆ เช่น กระดาษทิชชู กระดาษปิดผนัง เฟอร์นิเจอร์ Knock Down เกือบทุกชนิด และควันบุหรี่ มีผลก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนังและตา ปวดศีรษะ และโรคหอบหืด 2) ไตรคลอโรเอทธีลีน   พบในตัวทำละลาย เช่น การซักแห้ง หมึกพิมพ์ สีทา แลคเกอร์ และกาวสังเคราะห์ต่างๆ ก่อให้เกิดการระคายเคือง และมะเร็งตับ 3) เบนซีน พบในน้ำมันรถยนต์ หมึก สีทาพลาสติก และยาง ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง และดวงตา ถ้าสูดดมในปริมาณมากในทันทีจะมีอาการ คลื่นไส้ ปวดศีรษะ อาเจียน ตัวสั่น และเกิดโรคทางเดินหายใจ

ผู้เขียนมักจะมีความบังเอิญดีๆ ในเรื่องต่างๆ อย่างเช่น พรรณไม้ที่มีผลการศึกษาพบว่า มีอัตราการคายความชื้นและดูดสารพิษสูง 4 ชนิด ล้วนเป็นพรรณไม้ที่ผู้เขียนปลูกไว้ที่ระเบียงบ้าน บริเวณบ้าน และบริเวณใกล้เคียง โดยที่ไม่ล่วงรู้มาก่อนถึงคุณสมบัติดังกล่าว และขอเสนอแนะให้กัลยาณมิตรปลูกพรรณไม้ 4 ชนิด ที่ระเบียงหรือในอาคารบ้านเรือนด้วย ได้แก่ 1) “เดหลี (Peace Lily)”  เป็นไม้ที่สามารถปรับตัวได้ดี แม้จะอยู่ในสภาพความชื้นต่ำและได้รับแสงจากหลอดไฟฟ้า เป็นหนึ่งในไม้ไม่กี่ชนิดที่ออกดอกได้ภายในอาคาร นอกจากนั้นยังมีคะแนนสูงสุด คือ มีอัตราการคายความชื้นระดับ 5 ดาว และการดูดสารพิษ 5 ดาว เดหลีต้นในภาพซื้อมานานมากแล้วแต่ก็อยู่ทนนานและออกดอกให้ได้ชมตลอด 2) สโนว์ดร็อป (Snowdrop) เป็นพรรณไม้ที่มีใบสวยงาม มีอัตราการคายความชื้นระดับ 5 ดาวและการดูดสารพิษ 4 ดาว ที่บ้านไอดินมีหลายกระถาง ซื้อครั้งเดียวกระถางเล็กๆ แต่เป็นไม้ที่แตกหน่อใหม่เรื่อยๆ เมื่อต้นเก่ายาวขึ้นมากทำให้กอไม่สวยดูเก้งก้างก็ตัดไปแช่น้ำไม่นานก็มีรากงอกออกมา นำไปปลูกได้เรื่อยๆ 3) วาสนาราชินีหรือวาสนาอธิษฐาน (Cornstalk Plant) เป็นไม้ประดับที่นิยมนําไปปลูกภายในอาคาร เพราะรูปทรงต้นที่ตัดแต่งได้ง่ายและใบใหญ่ มีอัตราการคายความชื้นระดับ 4 ดาว และดูดสารพิษ 5 เป็นไม้ที่ขยายพันธุ์ง่ายเพราะเพียงตัดหรือเลื่อยให้ยาวตามต้องการแล้วนำไปแช่น้ำ แต่ละข้อก็จะแตกใบใหม่และมีรากงอกออกมา นำไปปลูกลงดินหรือนำใส่ภาชนะตั้งวางในอาคารได้ วาสนาทุกกอที่บ้านไอดินฯ ขยายพันธุ์มาจากบ้านเรือนขวัญในเมือง ดังภาพล่างซึ่งเป็นต้นเดียวแต่แตกเป็นหลายกอ ปลูกไว้หน้าประตูรั้วบ้านเรือนขวัญ พอมีการขยายถนนในซอยต้องขุดออกจึงตัดใบออกหมดแลนำไปปลูกที่ฟาร์ม และ 5) ลิ้นมังกร (Mother - in - law's Tongue)” หรือที่รู้จักกันในนาม หอกพระอินทร์ คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นลิ้นมังกรไว้ประจำบ้าน จะช่วยป้องกันอันตรายจากภายนอกได้ (นี่ก็บังเอิญที่ผู้เขียนปลูกลิ้นมังกรไว้ที่สวนหย่อมประตูเข้าฟาร์มทั้งสองข้าง และกอในภาพบนก็ปลูกข้างบันไดจากทางเข้าฟาร์มขึ้นไปยังตัวบ้าน นอกจากนั้นยังปลูกอีก ุ6 จุดใกล้บ้าน  และปลูกที่สวนหย่อมอีกหลายแห่งในฟาร์มเพราะแตกหน่อดีจึงขยายพันธุ์ง่าย ลิ้นมังกรมีอัตราการคายความชื้นระดับ 3 ดาว และดูดสารพิษ 3 ดาว แต่คายออกซิเจน 5 ดาว เวลากลางคืนจะคายก๊าซออกซิเจนและดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จึงเหมาะที่จะนำไปตั้งตั้งไว้ในห้องนอนหรือห้องนั่งเล่น การเพิ่มความชื้นให้กับอากาศและการช่วยดูดสารพิษในอากาศรอบตัวเรา จึงเป็นประโยชน์ประการที่ 7 ของการปลูกพรรณไม้ใกล้บ้าน 

การที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายพาบุตรหลานปลูกพรรณไม้ไว้ใกล้บ้าน แล้วฝึกให้สังเกตธรรมชาติของพรรณไม้แต่ละชนิด ตลอดจนเรียนรู้ชีวิตของสัตว์ เช่น นก  ตั๊กแตน ตั๊กแตนตำข้าว กิ้งก่า ผีเสื้อ ฯลฯ ที่อยู่อาศัยและหาอาหารจากพรรณไม้ที่ปลูกไว้ จะเป็นการปลูกฝังค่านิยมในความรักที่จะพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการเสริมสร้าง "จิตวิทยาศาสตร์ (Scientific Mind)" ด้าน "ความช่างสงสัยใฝ่รู้ (Curiosity)" ซึ่งเป็นจุดอ่อนของเด็กและเยาวชนไทย ได้เป็นอย่างดี แถมยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีของคนในครอบครัวอีกด้วย...นี่คือประโยชน์ประการที่ 8 ประการสุดท้ายของ "การปลูกพรรณไม้ใกล้บ้าน" ที่ขอกล่าวถึง...ด้วยประโยชน์มากมายตามที่กล่าวมา คงพอจะกระตุ้นให้บ้านที่ยังไม่เคยปลูกพรรณไม้ใกล้บ้าน ตัดสินใจลงมือปลูก และบ้านที่ปลูกอยู่แล้ว เพิ่มการปลูกให้หลากหลายและเลือกชนิดที่จะนำไปปลูกให้เหมาะสมกับจุดประสงค์ มากขึ้น...นะคะ 

คำเฉลยไม้ปริศนา "ปอทะเล" ไม้พุ่มที่มีใบรูปหัวใจ ใต้ใบมีขนอ่อนปกคลุม ดอกสีเหลือง บานตอนสาย พอเริ่มบ่ายจะกลายสีแล้วร่วงจากต้น พบปอทะเลในบริเวณรอยต่อระหว่างน้ำจืดกับน้ำเค็ม เปลือกปอทะเลใช้ทำเชือก ขณะนี้กำลังมีการวิจัยเพื่อนำเปลือกปอทะเลไปทำอุตสาหกรรมสิ่งทอ เนื้อไม้ของปอทะเลชนพื้นเมืองฮาวายนำไปสร้างเรือแคนู เปลือกไม้และรากใช้ต้มทำยาแก้ไข้ ใบอ่อนกินเป็นผักมีสารต้านอนุมูลอิสระ ประเทศในแถบเอเชียนิยมนำปอทะเลไปทำบอนไซ ชนพื้นเมืองในมาเลเซียนำเปลือกทำเป็นผงแห้งใช้รักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผู้เขียนปลูกไม้นี้ที่ข้างบ้านด้านทิศตะวันตกมาไม่ต่ำกว่า 9 ปี และเข้าใจผิดมาตลอดว่า ชื่อ "พุดตานฮาวาย" ตามที่คนขายบอก พอเขียนบันทึกเรื่องนี้ สืบค้นดูพบว่า เป็นคนละชนิดกัน ลองผิดลองถูกใส่คำค้นมากมายเพื่อค้นหาว่า จริงๆ แล้วชื่ออะไรแน่ แต่ก็ไม่เจอ ค้นรูปโดยใส่คำค้นว่า "ดอกไม้สีเหลือง" พบiรูปดอกไม้นับร้อยชนิดแต่ก็ไม่มีชนิดนี้ นึกขึ้นได้ว่าประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา ไปเจอไม้หน้าตาแบบเดียวกันวางขายอยู่ 1 ต้นแต่คนขายบอกชื่อต่างออกไป จึงตามไปถามเธอๆ ก็บอกจำไม่ได้ แต่แปลกมากที่จู่ๆ วันหนึ่งชื่อก็ "แว้บ" ขึ้นมาว่า เธอบอกว่าชื่อ "โพทะเล" พอสืบค้นจากชื่อดังกล่าวดูก็พบว่า "โพทะเล" เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสมุทรปราการแต่ดูรูปแล้วก็ยังไม่ใช่อีก ค้นไปค้นมาในที่สุดก็ได้คำตอบ "ปอทะเล" เป็นไม้ชายเลน แล้วมาเติบโตอยู่ที่หมู่บ้านแห้งแล้งในอีสานที่มีสภาพดินเป็นดินทรายเจ้าของที่ดินเดิมทำการเกษตรไม่ได้ผล ได้อย่างไรหนอ...เมื่อได้ข้อมูลแล้วทำให้รัก "ปอทะเล" ขึ้นมามากมาย...แล้วท่านล่ะสนใจปลูกปอทะเลไหมคะ...ไม้ที่มีใบรูปหัวใจ กินได้ให้ประโยชน์ แล้วยังมีดอกดกสีสวยให้ชมตลอดปี แถมยังมีความแปลกที่สีเปลี่ยนไปได้ ในแต่ละช่วงเวลาของวัน

 

ขอขอบคุณทุกท่านที่กรุณาเข้ามาอ่าน มอบดอกไม้เป็นกำลังใจและทักทายพูดคุุยกับผู้เขียน และหวังว่าจะได้รับการอภัยนะคะ ที่ตอบกัลยาณมิตรเป็นรายบุคคล ล่าช้า

 



ความเห็น (32)

อจ.แม่ไอดิน ปลูกต้นไม้มากมายเลยนะคะ ปลูกต้นไม้วันนี้ อีก 3 ปีอีก 5 ปี เขาก็โต มห้ความร่มรื่น ร่มเย็น สดชื่นดีนะคะ ท่านมีวิสัยทัศน์ ยาวไกลดีค่ะ ขอบคุณค่ะ

อาจารย์แม่ครับ

การปลูกต้นไม้สำคัญมาก

แต่ทึ่งสวนอาจารย์แม่มีต้นไม้หลายชนิดมาก

นึกไม่ออกครับว่าต้นไม้ต้นสุดท้ายคือต้นอะไร

ต้นตะคึกที่โรงเรียนมีหลายต้นมากเลยครับ

สุดยอดจริงๆค่ะ ดูแล้วชื่นใจ ขอบคุณมากค่ะ

หม่อน ออกลูกแล้วที่ซอยข้างบ้าน

รอให้สุกจะลองชิมดู(กัลยาณมิตรหลายท่านบอกให้ลอง อิอิ)

หม่อนออกลูกแล้ว

ที่บ้านผมต้นหม่อนก็กำลังผลแก่เหมือนในภาพ แฟนผมเก็บไปทำน้ำหมักสูตรป้าเช็ง เผื่อจะมีประโยชน์ย้าง

ภาพสุดท้ายดออกอะไรไม่เคยเห็นมาก่อนเลยค่ะอาจารย์

สุดยอด .... สวนในฝันเลยค่ะ

เป็นสวนสวยแห่งใจรักธรรมชาติ ด้วยวิชาการและความใส่ใจดูแล...สุดยอดจริงๆ....อย่างนี้เก็บไว้ดูคนเดียวไม่ได้แล้ว...จัดเป็นศูนย์เรียนรู้เพื่อชุมชนนะคะ

ความสุขมากมายกับการปลูกต้นไม้ เมื่อออกดอก ออกผลได้มาทำอาหาร ได้กลิ่นหอม สีสวยงาม ยิ่งเพิ่มความสุขอีกนะคะ ชมภาพอ่านเพลินมีความสุขไปด้วย ดอกไม้อะไรสวยดี ภาพสุดท้ายดายังไม่เคยเห็นค่ะ ขอบคุณมากนะคะ

ขอมอบดอกไม้ปริศนา...เป็นการขอบคุณกัลยาณมิตรทั้ง 14 ท่าน ที่กรุณาเข้ามาเยี่ยมพร้อมมอบดอกไม้เป็นกำลังใจให้กับ "ไอดิน-กลิ่นไม้" ดีใจมากนะคะที่ได้พบ "น้องหยั่งราก ฝากใบ" และ "คุณแว้บ : ดร.วสะ" อีก หลังจากห่างหายกันไปนาน...

-สวัสดีครับอาจารย์แม่ไอดิน

-ตามมาชมสวน..ดูเย็นสบายนะครับ

-กำลังวางแผนว่าจะทำไร่นาสวนผสม...อยากจะปลูกทุกอย่าง..ฮ่าๆ

-ได้ที่ดินมาแปลงหนึ่ง...ไม่มากนัก..ที่อำเภอพรานกระต่าย...

-กำลังจะช่วยกันสานฝันกับคนข้างกาย ฮ่า ๆ

-ตอนนี้ฝันๆ ๆ ๆ ไว้หลายอย่างมาก ๆ ครับ

-เช้านี้ไปเก็บเห็ดฟางที่บ้านกำนันไพฑูรย์มา...หลังจากที่ชวนท่านไปดูการเพาะเห็ด..แล้วกลับมาเพาะที่บ้าน..

-ตื่นเต้นกันใหญ่..ที่เห็ดขึ้นมาให้เชยชม

-ไม่เสียชื่อและเสียเที่ยวในการพาไปศึกษากรเพาะเห็ด..

-คงต้องปรึกษาอาจารย์แม่ไอดิน..เกี่ยวกับเรื่องต้นไม้อีกเป็นระยะ ๆ ฮ่า -

-อาจารย์แม่ไอดินสบายดีนะครับ?

ถึงแม่ไอดิน

เข้ามาเยี่ยมชมทุกครั้งเตฺ็มไปด้วยคุณค่า หลากหลายรสชาติ และมากด้วยความสามารถจนน่าทึ่ง ทำเอาครูหยินอายมากที่ไม่มีความรู้มากมายแบบนี้

คุณแม่เก่ง ..ทั้งเรื่องของเทคโนโลยี เนื้อหาสาระ ความคิดที่สร้างสรรค์..คุณธรรมพร้อมเสร็จสรรพ

ทำให้พวกเราทุกคนประทับใจ อยู่ในความทรงจำที่ดี เสมอ..คุยกันว่าสักวันถ้ามีโอกาส ให้พวกได้ไปคาระวะสักครั้งหนึ่งเพื่อชื่นชม ความดีงาม ชมธรรมชาติ...ซึมซับไออุ่นของความดีงาม และจะนำมาปฏิบัติตาม แบบอย่างที่ดี

ในโอกาสนี้จึงกราบเรียนคุณแม่ไอดินว่าขออนุญาต นำรูปที่ได้รับมาจากแม่ไอดินขึ้นเป็นหน้าปกของบล๊อกครุหยิน

เพราะครุหยินทำเองไม่เป็น ..ขอขอบพระคุณมากค่ะ

จากลุกไอดิน 26 มี.ค.57

สวัสดีค่ะ อาจารย์

ศิษย์ต้องกราบขออภัยที่ห่างหายไม่ได้เข้ามาอ่านบันทึกของอาจารย์ ศิษย์ยังเคารพรักและคิดถึงอาจารย์ทั้งสองท่านค่ะ อาจารย์ไอดิน-กลิ่นไม้ ผู้ให้ประสิทธิประสาทวิชาด้านจิตวิทยาการศึกษา ช่วงเรียน ป.โท และ อาจารย์ ผศ.สรศักดิ์ ซึ่งเป็นอาจารย์ทางด้านวิทยาศาสตร์ สมัยที่ศิษย์เรียน ค.บ.(เคมี) ปีกศ. 2524-2527 ที่ วค.อุบลราชธานีค่ะ ต้องกราบขออภัยอีกครั้งที่ไม่ได้แนะนำตัวว่าเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของอาจารย์ ผศ.สรศักดิ์ ตั้งแต่แรกค่ะ

ศิษย์ชอบมากค่ะ "ปลูกไม้ใกล้บ้าน..ให้ประโยชน์หลายสถาน " เข้ามาอ่านแล้วให้ความสุข และความรู้เกี่ยวกับพันธุ์ไม้ โดยส่วนตัวแล้วศิษย์เป็นคนชอบต้นไม้ รักต้นไม้ ต้นไม้ให้ความสุข สดชื่น แต่ไม่มีโอกาสได้ปลูกเหมือนอาจารย์ เนื่องจากหลายปัจจัยค่ะ ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเกษียณจะทำตามอาจารย์ค่ะ

ในช่วงนี้ ยามว่างก็จะดูแลต้นไม้จำพวกไม้กระถาง ไปพลางๆก่อนค่ะ

ขอบคุณ "Dr.Ple" มากนะคะ ที่กรุณามาเยี่ยมเยียนพร้อมมอบปิยวาจา "อจ.แม่ไอดิน ปลูกต้นไม้มากมายเลยนะคะ ปลูกต้นไม้วันนี้ อีก 3 ปีอีก 5 ปี เขาก็โต ให้ความร่มรื่น ร่มเย็น สดชื่นดีนะคะ ท่านมีวิสัยทัศน์ ยาวไกลดีค่ะ ขอบคุณค่ะ"

ไอดินฯ ก็ขอบคุณ "Dr"Ple" เช่นกันนะคะ ที่เขียนเรื่องเล่าพร้อมภาพเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของเด็กเมืองเพชรฯ ตามความเชื่อเกี่ยวกับสุขภาพและประเพณี เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากค่ะ



เพิ่งคุยกับน้องเอ๋ว่า

อาจารย์แม่เตรียมต้นไม้ให้ไปถวายพระใช่ไหมครับ

ได้ข่าวว่า ต้นที่ถวายไว้ออกดอกแล้ว

ดีใจได้ถวายต้นไม้ สาธุๆๆๆ

อาจารย์แม่ที่นครปฐม ร้อนมาก ที่เลาขวัญ กาญจนบุรี ร้อนมากถึงมากที่สุด

ที่อุบลฯบ้านอาจารย์แม่อากาศเป็นอย่างไรบ้างครับ

เมื่อค่ำวานนี้ ตอบไปแล้วแต่พิมพ์ผิดมาก วันนี้เลยพิพ์ใหม่ค่ะ...

ขอบคุณ "ลูกขจิต" มากนะคะ ที่เข้ามาเยี่ยมอาจารย์แม่สองรอบ...

รอบแรก ลูกขจิตบอกว่า "อาจารย์แม่ครับ การปลูกต้นไม้สำคัญมาก แต่ทึ่งสวนอาจารย์แม่มีต้นไม้หลายชนิดมาก นึกไม่ออกครับว่าต้นไม้ต้นสุดท้ายคือต้นอะไร ต้นตะคึกที่โรงเรียนมีหลายต้นมากเลยครับ" พ่อใหญ่สอบ่นอาจารย์แม่ตลอดว่า ปลูกมากมายราวกับเป็นสวนสาธารณะ แล้วแกก็ไม่ยอมรดน้ำให้ ในช่วงที่อาจารย์แม่ยังไม่ย้ายเข้าไปอยู่บ้านฟาร์ม ...ชนิดไหนไม่อึดก็ตายไปป...ต้นไม้ปริศนาอาจารย์แม่เฉลยแล้วนะคะ สำหรับตะคึก ช่วงหน้าฝนอาจารย์แม่จะไปดูอีกทีว่าต้นที่พบในทุ่งนามีต้นอ่อนงอกขึ้นมาไหม ถ้าเจอก็จะขุดไปปลูกเพื่ออนุรักษ์พันธุ์ที่ฟาร์มค่ะ

อาจารย์แม่ขอบคุณลูกขจิตมากนะคะ สำหรับบันทึกหลายเรื่อง ที่เล่ากิจกรรมที่ล้วนมีคูณค่าให้ได้รับรู้ ดีใจที่ได้เห็นหน้าคุณแม่ตัวจริงของลูกขจิตอีกครั้ง และทราบว่าท่านมีกระดูกแข็งแรงดี...อาจารย์แม่ฝากภาพการปรลูกมันเทศแบบดาวล้อมเดือน มาให้ดูด้วยนะคะ ส่วนการปลูกผักแบบดาวล้อมเดือนนำลงในบันทึกค่ะ

เข้ามาเยี่ยมรอบสอง ลูกขจิตบอกว่า "เพิ่งคุยกับน้องเอ๋ว่า อาจารย์แม่เตรียมต้นไม้ให้ไปถวายพระใช่ไหมครับ ได้ข่าวว่า ต้นที่ถวายไว้ออกดอกแล้ว ดีใจได้ถวายต้นไม้ สาธุๆๆๆ อาจารย์แม่ ที่นครปฐม ร้อนมาก ที่เลาขวัญ กาญจนบุรี ร้อนมากถึงมากที่สุด ที่อุบลฯบ้านอาจารย์แม่อากาศเป็นอย่างไรบ้างครับ" ...คงคุยกับน้องเอ๋ใน FB ใช่ไหมคะ อาจารย์แม่ไม่ได้เข้าไปดูนานแล้วค่ะ ต้นไม้ที่ลูกเอ๋และลูกตั้มนำไปถวายพระ ตั้งแต่สร้างวัดได้ไม่นานนั้น ของเอ๋เป็นโมกพวง 2 กระถาง วันก่อนอาจารย์แม่ไปที่วัดพบว่ากำลังออกดอกทั้งสองกระถาง ส่วนต้นพุทธชาติของลูกตั้ม ตายไปหลายปีแล้วค่ะ ส่วนไม้ที่อาจารย์แม่เตรียมไว้ (ดังสองภาพล่างขวา) ตั้งใจจะนำไปให้ลูกๆ ตั้งวางที่ห้องพัก เพื่อให้ช่วยดูดสารพิษและเพิ่มความชื้นค่ะ

ที่อุบลฯ วันไหนที่มีลมพัดอากาศรอบบ้านจะเย็นสบายมากค่ะ เช้าๆ จะได้กลิ่น "ดอกบุหงาแต่งงาน" โชยมาจากหน้าบ้านหอมจรุงใจมากค่ะ พอตกเย็น จะได้กลิ่นการเวกติดทางเข้าโรงรถหอมอบอวล แต่วันไหนที่ไม่มีลมก็จะร้อนอบอ้าวค่ะ ขนาดมีต้นไม้รอบบ้านนะคะ (บ้านที่ต้นไม้น้อยหรือไม่มีคงจะร้อนกว่ามาก) ...เจ้า "ข้าวเปลือก" ที่เพิ่งอายุ 2 เดือนต้องมุดเข้าไปอาศัยความเย็นจากกอลิ้นมังกรและไผ่ร้อยกอ...ช่างฉลาดดีแท้...

ขอบคุณ "น้อง ดร.โอ๋-อโณ" มากนะคะ ที่ให้กำลังใจพี่ด้วยปิยวาจา "สุดยอดจริงๆค่ะ ดูแล้วชื่นใจ ขอบคุณมากค่ะ" พี่เองก็ชื่นชอบความคิดสร้างสรรค์ของน้องมากค่ะ ในบันทึกเรื่อง "ที่ปลูกต้นไม้จากของใช้ที่จะทิ้ง" (http://www.gotoknow.org/posts/563452) ซึ่งได้เสนอแนะทั้งเรื่อง "วัสดุปลูกแบบลดขยะ ไม่เป็นภาระค่าใช้จ่าย แถมยังช่วยให้พรรณไม้ที่ปลูกอยู่ได้นานโดยไม่ต้องรดน้ำ" ซึ่งพี่ได้ขอนำมาบอกต่อในบันทึกนี้ด้วยนะคะ

สวัสดียายไอดิน

ยังไม่ได้อ่านรายละเอียดแต่พอใจในหัวเรื่องจริงๆ "ปลูกไม้ใกล้บ้าน ได้ประโยชน์ หลายสถาน"

เข้ามาอีกครั้ง

อ่านไปนึกมโนภาพไปด้วย ป๋าเดไปเห็นมากับตาแล้ว ฟาร์มไอดินกลิ่นไม้สุดยอดจริงๆ มีที่ไหนในประเทศไทยจะเหมือนที่นี่ไหมหนอ ปีนี้น้ำในสระคงพอเพียงนะ มีโอกาสจะไปเยี่ยมอาจารย์แม่และพ่อใหญ่สออีกครั้ง ว่าแต่ไม้ประจำจังหวัดยโสธรคือไม้อะไรครับอาจารย์แม่......

ขอบคุณ "คุณ พ. : คุณพ่อของน้องปอ" มากนะคะ ที่เข้ามาให้กำลังใจยายไอดินฯ พร้อมคุยเรื่อง "หม่อนที่ได้รับแจกในวันปฐมนิเทศน้องปอ" ให้ฟังพร้อมภาพ ยายไอดินฯ ก็ได้รับแจกเหมือนกันค่ะ ในงานเกษตรอีสานใต้ ม.อุบลฯ เมื่อปี 2556 และได้นำไปปลูกได้กินลูกมาแล้ว 2 รอบค่ะ

ชื่นชม มก.วิทยาเขตกำแพงแสนมากค่ะ ที่ปลูกไม้งามไว้มากมาย สร้างบรรยากาศให้น่าอยู่น่าเรียนริงๆ ถนนสายชมพูพันธุ์ทิพย์ที่ คุณ พ. นำลงให้ชมสวยไม่แพ้ซากุระในญี่ปุ่นเลยนะคะ คงจะหาโอกาสไปชมให้ได้สักครั้ง ที่ฟาร์มไอดินฯ ก็ปลูกชมพูพันธุ์ทิพย์ไว้ 1 ต้นค่ะ มีคนบอกว่า ที่อุบลฯ ปลูกไม้ชนิดนี้ไม่ติดหรอก เพราะเป็นดินทราย ไม่อุ้มน้ำ พวกเราลองปลูกที่หน้าฟาร์มต้นแรกตายค่ะ ซื้อต้นที่สองไปปลูกข้างทางเข้าฟาร์ม ครั้งนี้สำเร็จ เป็นไม้ต้นประดับดอกที่ต้นใหญ่และสูงที่สุดในฟาร์มไอดินฯ ในภาพเป็นภาพเก่า ขณะนี้ก็กำลังออกดอก แต่อยู่สูงมาก หลายเดือนมานี้ไม่มีกล้องใช้เพราะทิ้งไว้ให้ลูกชายนำไปซ่อมที่ กทม. (อยู่ในช่วงประกัน) ต้องใช้มือถือของพ่อใหญ่สอถ่ายรูป แต่หาวิธีถ่ายแบบ Close Up ไม่พบเลยไม่ได้ถ่ายภาพชมพูพันธุ์ทิพย์ค่ะ

ที่เคยเล่าให้คุณ พ. ฟังว่า สุนัขที่บ้านออกลูกมา 6 ตัว กะจะเลี้ยงเจ้าข้าวเปลือกกับเจ้าข้าวสาร แต่พ่อใหญ่สอให้เลี้ยงตัวเดียว คุณยายในหมู่บ้านชอบใจเจ้าข้าวสาร เลยให้ไปเลี้ยงค่ะ อีกสี่ตัวก็มีคนขอไปหมด เลยได้เลี้ยงเจ้าข้าวเปลือก ช่วงนี้ป่วนมากค่ะ ไม่ยอมอยู่กับแม่ เวลายายไอดินฯ ทำสวนก็คอยวิ่งเกะกะ เวลาพ่อใหญ่สอเอนกายพักผ่อนยามบ่ายก็ไปนอนด้วยใต้ Summer Dream ค่ะ

ขอบคุณ "ครูณัฏฐ์ ปกป้อง" มากนะคะ ที่แวะมาบอกเรื่องภรรยานำผลหม่อนไปใช้ประโยชน์ ไม่แน่ใจเลยว่าท่านจะเข้าไปรับคำขอบคุณ เพราะท่านเป็นสมาชิก GotoKnow 3 ปี แต่ไม่ได้มีงานเขียนใดๆ มีเพียงแสดงความเห็นนับรวมกับที่แสดงในบันทึกนี้แค่ 2 ครั้งเท่านั้น และหลังจากนั้น 11 วันผ่านไป ท่านก็ไม่ได้เข้า GTK อีก

ขอบคุณ คุณหมอ "ทพญ.ธิรัมภา" มากนะคะ ที่เข้ามาให้กำลังใจยายไอดินฯ อย่างสม่ำเสมอ คุณหมอบอกว่า "ภาพสุดท้ายดออกอะไรไม่เคยเห็นมาก่อนเลยค่ะอาจารย์ สุดยอด .... สวนในฝันเลยค่ะ" ตอนนี้คงทราบคำตอบจากเฉลยแล้วนะคะ

แปลกจังเลยค่ะ ที่เราปลูกไม้ดอกและพืชผักสมุนไพรคล้ายกันมาก

เสียดายที่สุดเลยค่ะ ที่คนสวนตัดต้นไม้ที่ยายไอดินฯ อุตส่าห์อนุรักษ์เอาไว้เพราะเป็นไม้ที่คุ้นเคยในวัยเด็ก จำได้ว่า ออกลูกเล็กๆ เป็นพวง รสเปรี้ยว สมัยเรียน ป.1-3 เคยเล่นตามเด็กผู้ชายโดยนำไปเป็นลูกกระสุนยิงของบั้งโผที่ทำด้วยไม้ไผ่ ต้นที่ฟาร์มสูงท่วมหลังคาเรือนเพาะชำ มีเถาไหมทองห้อยระโยงระยาง (เพิ่งรู้จากคุณหมอว่าทานได้)...เสียใจมากที่วันหนึ่งเข้าฟาร์มแล้วพบว่าถูกตัดแทบไม่เหลือแม้แต่ตอ พ่อใหญ่สอบอกว่าสั่งให้คนสวนตัดต้นตะขบที่ตาย แต่คนสวนกลับตัดต้นนี้ด้วย ถ้าไม่ถูกตัดปีนี้น่าจะออกลูกเพราะโตมากแล้ว ดูแลรดน้ำตอเป็นปีแล้วก็แตกใบมาแค่ที่เห็นค่ะ ยังดีที่ไม่ตาย

ขอบพระคุณ "พี่ใหญ่" มากนะคะ สำหรับ "ปิยวาจา พาสร้างสุข" และข้อเสนอแนะดีๆ ที่พี่ใหญ่มอบให้ "เป็นสวนสวยแห่งใจรักธรรมชาติ ด้วยวิชาการและความใส่ใจดูแล...สุดยอดจริงๆ....อย่างนี้เก็บไว้ดูคนเดียวไม่ได้แล้ว...จัดเป็นศูนย์เรียนรู้เพื่อชุมชนนะคะ" น้องจะน้อมนำไปปฏิบัตินะคะ

ขอบคุณ "น้องดา" มากมายกับการมาเยี่ยมเยียนเป็นกำลังใจ พร้อมถ้อยปราศรัย "ความสุขมากมายกับการปลูกต้นไม้ เมื่อออกดอก ออกผลได้มาทำอาหาร ได้กลิ่นหอม สีสวยงาม ยิ่งเพิ่มความสุขอีกนะคะ ชมภาพอ่านเพลินมีความสุขไปด้วย ดอกไม้อะไรสวยดี ภาพสุดท้ายดายังไม่เคยเห็นค่ะ ขอบคุณมากนะคะ" ดอกปริศนานั้น พี่เฉลยไปแล้วนะคะ ตอนนี้คงทราบแล้ว

ขอบคุณ "คุณครูกาญจนา" มากนะคะ ที่แวะมาทักทายให้กำลังใจไอดินฯ บอก "มีความสุขกับการปลูกต้นไม้นะคะ" ค่ะ นอกจากจะมีความสุขกับพรรณไม้ที่ตนเองปลูกแล้ว ยังมีความสุขเมื่อได้ชมพรรณไม้งามที่คุณครูปลูกด้วยนะคะ ขอบคุณความสุขที่นำมาแบ่งปันกันค่ะ

ขอบคุณ "คุณเพชรน้ำหนึ่ง" มากนะคะ ที่มาให้กำลังใจอาจารย์แม่ไอดินฯ และคุยสารทุกข์สุขดิบให้ฟังว่า "กำลังวางแผนว่าจะทำไร่นาสวนผสม...อยากจะปลูกทุกอย่าง..ฮ่าๆ ได้ที่ดินมาแปลงหนึ่งไม่มากนักที่อำเภอพรานกระต่าย... กำลังจะช่วยกันสานฝันกับคนข้างกาย ฮ่า ๆ ตอนนี้ฝันๆ ๆ ๆ ไว้หลายอย่างมาก ๆ ครับ เช้านี้ไปเก็บเห็ดฟางที่บ้านกำนันไพฑูรย์มา...หลังจากที่ชวนท่านไปดูการเพาะเห็ด..แล้วกลับมาเพาะที่บ้าน..-ตื่นเต้นกันใหญ่..ที่เห็ดขึ้นมาให้เชยชม ไม่เสียชื่อและเสียเที่ยวในการพาไปศึกษาการเพาะเห็ด..-คงต้องปรึกษาอาจารย์แม่ไอดิน..เกี่ยวกับเรื่องต้นไม้อีกเป็นระยะ ๆ ฮ่า"

ถ้าจำไม่ผิด คงเป็นไอน์สไตน์ที่กล่าวประมาณว่า "สิ่งใดที่มนุษย์คิดฝันขึ้นมาได้ สิ่งนั้นก็จะเป็นจริงได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง" ตอนเด็กๆ เขาฝันบ่อยๆ ว่า ตนเองนั่งอยู่ปลายลำแสงแล้วท่องไปในอวกาศ...และต่อมาก็มีการสร้างยานอวกาศไปสำรวจนอกโลก...เชื่อมั่นว่า สิ่งที่คุณเพชรน้ำหนึ่งและหนูมดตะนอยฝันไว้ต้องเป็นจริงแน่นอน อาจารย์แม่ขอเป็นกำลังใจให้ครอบครัวเล็กๆ ที่อบอวลไปด้วยความรักและกำลังใจที่มีให้กันนี้ ถึงฝั่งฝันในทุกประการนะคะ เรื่องต้นไม้อาจารย์แม่ไอดินฯ ก็ใช่จะรู้อะไรมากมาย เป็นแค่ประสบการณ์และความสนใจใฝ่รู้เท่านั้นที่ทำให้มีข้อมูลมาแลกเปลี่ยน แต่ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยเท่าที่จะช่วยได้ค่ะ

อาจารย์แม่ตามรอยกิจกรรมของคุณเพชรน้ำหนึ่ง จากบันทึก 3 เรื่องและขอนำไปอ้างอิงในบันทึกหน้า ดังภาพล่างนะคะ ขอบคุณมากค่ะ (การเพาะเห็ดฟาง และตลาดปลอดภัยน่าสนใจมากค่ะ)

ขอบคุณ "ครูหยิน" มากมาย ที่มาเยี่ยมเยียน พร้อมแสดงความรู้สึกดีๆ ต่อกัน "ถึงแม่ไอดิน เข้ามาเยี่ยมชมทุกครั้งเตฺ็มไปด้วยคุณค่าหลากหลายรสชาติ และมากด้วยความสามารถจนน่าทึ่ง ทำเอาครูหยินอายมากที่ไม่มีความรู้มากมายแบบนี้ คุณแม่เก่ง ..ทั้งเรื่องของเทคโนโลยี เนื้อหาสาระ ความคิดที่สร้างสรรค์..คุณธรรมพร้อมเสร็จสรรพ ทำให้พวกเราทุกคนประทับใจ อยู่ในความทรงจำที่ดีเสมอ...คุยกันว่าสักวันถ้ามีโอกาส ให้พวกเราได้ไปคาระวะสักครั้งหนึ่งเพื่อชื่นชม ความดีงาม ชมธรรมชาติ...ซึมซับไออุ่นของความดีงาม และจะนำมาปฏิบัติตามแบบอย่างที่ดี ในโอกาสนี้จึงกราบเรียนคุณแม่ไอดินว่าขออนุญาต นำรูปที่ได้รับมาจากแม่ไอดินขึ้นเป็นหน้าปกของบล็อกครูหยิน เพราะครูหยินทำเองไม่เป็น..."

ก็ขอเรียน " ครูหยิน : ลูกไอดินฯ" ว่า "แม่ไอดินฯ ไม่ได้มีความสามารถมากมายอะไร แค่พอรู้พอทำได้ อันเป็นผลพวงจากนิสัยที่เป็นคนกระหายใฝ่รู้ใฝ่เรียนในทุกเรื่องทั้งตามความสนใจ และที่เห็นว่าน่าจะเป็นประโยน์ต่อสังคม ครูหยินเองก็มีความสามารถมากมายในสิ่งที่แม่ไอดินฯ ทำไม่ได้ สำหรับการเยี่ยมเยียนนั้น แม่ไอดินฯ อยากจะขอมาศึกษากิจกรรมค่ายเรียนรู้อยู่แบบพอเพียง ที่บ้านสวนไอดินกลิ่นป่า มากกว่า นะคะ เผื่อจะนำไปประยุกต์ใช้ในการให้บริการสังคม สำหรับภาพหัว Blog แม่ไอดินทำให้ใหม่ ให้ลูกไอดินนำไปเลี่ยนภาพเก่า เพื่อให้มีข้อมูลสมบูรณ์มากขึ้น นะคะ"

  • เหมาะสมกับชื่อ สวนรุกชาติไอดินกลิ่นไม้จริงๆ ครับอาจารย์

ขอบคุณ "หนูอร วรรณดา" มากนะคะ ที่เข้ามาเยี่ยมอาจารย์ พร้อมเล่าความสัมพันธ์แต่หนหลัง ครั้งเป็นลูกศิษย์พ่อใหญ่สอ ตอนเรียนปริญญาตรี (ก่อนอาจารย์ย้ายจากสุรินทร์อีก) เปิดให้แกดูและเล่าให้ฟังแล้ว ขานั้นไม่เอา IT เลย ทั้งที่เคยเป็นอาจารย์สอนวิชาคอมพิวเตอร์เบื้องต้นมาก่อน

ดูพรรณไม้ที่หนูปลูกที่บ้านแล้วยอมรับจริงๆ ว่าเป็นคนรักต้นไม้ เพราะมีมากมายและยังหลากหลายชนิดมาก หนูรวบรวมชวนชมได้เยอะจังนะคะ มีทั้งชนิดดอกสวย ชนิดโคนงาม และชนิดสวยทั้งทรงต้นโคนและดอก เป็นไม้ที่น่ารวบรวมจริงๆ เห็นแล้วก็อดซื้อไม่ได้ หนูบอกว่าชอบและปลูกกล้วยไม้มาก่อน แต่ไม่ได้ผล อาจารย์ก็รวบรวมกล้วยไม้ไว้มาก ปลูกไว้ทั้งที่สวนป่า อาคารอเนกประสงค์ สนามเปตอง เรือนเพาะชำ ศาลาไทย และแขวนตามต้นไม้รอบบ้าน อาจารย์ชอบกล้วยไม้ป่า เพราะดูแปลกตาและออกต่างเวลากันให้ได้คอยติดตามว่า ช่วงไหนชนิดใดจะออกดอก เห็นหนูปลูก "กะเรกะร่อนดง" ด้วย เลยนำต้นที่บ้านมาให้ดู (ต้นที่ปลูกในกระถางแขวนยังไม่เห็นออกดอก) ต้นที่ปลูกที่คาคบชงโคบานเข้าเดือนที่สองแล้ว ยังไม่โรยราเลย ดูท่าว่าจะอยู่ให้ดูไปอีกนาน ต่างจากเอื้องผึ้งที่สวยให้ชมแค่อาทิตย์เดียวค่ะ

"ป๋าเด" บอก "อ่านไปนึกมโนภาพไปด้วย ป๋าเดไปเห็นมากับตาแล้ว ฟาร์มไอดินกลิ่นไม้สุดยอดจริงๆ มีที่ไหนในประเทศไทยจะเหมือนที่นี่ไหมหนอ ปีนี้น้ำในสระคงพอเพียงนะ มีโอกาสจะไปเยี่ยมอาจารย์แม่และพ่อใหญ่สออีกครั้ง ว่าแต่ไม้ประจำจังหวัดยโสธรคือไม้อะไรครับอาจารย์แม่..."

"ยายไอดินฯ" นะคะ ไม่ใช่อาจารย์แม่...ถ้าป๋าเดจะไปเยี่ยมรอบหลังแล้วไปแบบไม่บอกล่วงหน้าอย่างคราวก่อน ไม่อนุญาตนะคะ มีที่ไหน ป๋าโผล่ไปถึงบ้านขณะที่ยายไอดินฯ กำลังรื้อสวนรอบบ้าน ต้นไม้กระจายเต็มไปหมด ทั้งไม้เก่าและไม้ใหม่ที่จะปลูก ชุดก็ยังเป็นชุดนอนอยู่เลย (แบบชุดนอนชุดทำสวนชุดเดียวกันน่ะค่ะ เพราะปกติจะไม่มีแขก) เหงื่อไหลไคลย้อยทั้งตัว แล้วป๋าเดก็ไม่ได้ออกไปเดินดูต้นไม้สักหน่อย อยู่แค่ที่ระเบียงหน้าบ้าน แล้วจะไปเห็นความงามของพรรณไม้ได้อย่างไรคะ ถ้าไปรอบหลังฟาร์มจะเปลี่ยไปมากเลยนะคะ เพราะยายไอดินต่อเติมระเบียงด้านตะวันออกไปจนจดขอบบ่อ สร้างโรงเก็บของ ห้องน้ำนอกบ้าน และโรงยิมเล็ก ระหว่างสนามเปตอง กับอาคารอเนกประสงค์

ตอบคำถามเรื่อง "ไม้ประจำจังหวัดยโสธร" ของป๋าเด ขอนำภาพเก่ามาปัดฝุ่น เพื่อใช้ประกอบบันทึกเรื่อง "คน ต้นไม้ และดอกไม้ ประจำจังหวัด" ด้วยนะคะ ...ไม้ประจำจังหวัดยโสธร แต่กลับไปได้ภาพจากจังหวัดตาก และจังหวัด อุดรมาประกอบ แปลกดีเนาะ...

สวัสดียายไอดิน

ขอโทษที่เรียกอาจารย์แม่ตาม ดร.ขจิต ไปคราวหน้าจะบอกล่วงหน้าและจะพาสหายที่อุบลฯไปเป็นเพื่อนด้วย สหายรู้จักกันตอนป๋าเดไปเรียนหนังสือที่อุบล บ้านอยู่วารินชำราบ ได้เมียยโสธรบ้านเรา....ยอมรับว่ายายไอดินเอาภาพใส่ในบล๊อกได้เก่งมาก ป่าเดทำภาพย้อยหลังแบบยายไอดินไม่เป็นดอก.....ไม้ประจำจังหวัดยโสธรคือต้นกระบาก และดอกไม้คือบัวแดง ขอบคุณครับ........เมื่อวันที่ ๒๗ มี.ค.๕๗ไปแต่งน้องชายที่บ้านบาก ต.เดิด จ.ยโสธร มาครับ.......

ขอบคุณ "คุณสามสัก" มากนะคะ ที่มาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง หลังจากห่างหายกันไปนาน ชอบชื่อที่คุณสามสักตั้งให้จังเลยค่ะ...ที่บอกว่า "เหมาะสมกับชื่อ สวนรุกขชาติไอดินกลิ่นไม้จริงๆ ครับอาจารย์" (เมื่อดูจากคำอธิบายในคลังความรู้ของราชบัณฑิตยสถานแล้ว พบว่า สวนไอดินฯ มีส่วนผสมของสวนรุกขชาติกับสวนพฤกษศาสตร์ค่ะ แต่ทำได้เพียงสัก 30 % ของที่ควรจะเป็นนะคะ อยากให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้วย แต่บางทีเด็กเขาก็ไม่เข้าใจ เกษตรตำบลเคยนำยุวเกษตรกรทั้งจังหวัดไปทัศนศึกษา เมื่อตั้งฟาร์มได้ไม่กี่ปี มีเด็กที่หยิบหนังสือพืชผักสมุนไพรอีสานไปดู และนำติดมือกลับไปด้วยค่ะ)

นานๆ คุณสามสักถึงจะเขียนบันทึกให้อ่าน แต่ทุกเรื่องเป็นความรู้ข้อคิดที่ไอดินฯ ชอบใจมาก เรื่องล่าสุดเป็นความรู้ใหม่จริงๆ เพราะเพิ่งทราบว่า อ.พรานกระต่ายมีภูเขาหินอ่อน ถ้าไอดินฯ อยู่ที่พรานกระต่าย จะต้องร่วมผลักดันให้สิ่งที่คุณสามสักฝัน เป็นจริงขึ้นมาให้ได้แน่ๆ ค่ะ เพราะเป็นแนวคิดที่มีคุณค่าต่อชาวพรานกระต่าย ชาวกำแพงเพชร และชาติไทยจริงๆ ค่ะ

<p></p><p>ห้องแอร์ห้องใหญ่ เย็นชื่นใจ อากาศแจ่มใส ไม่ต้องเสียค่าไฟ </p>

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท