บันทึกที่ลืมบันทึก


วันนี้ดิฉันได้มีโอกาสจัดไฟล์เก่าๆ ค่ะ เลยได้เจอบันทึกนี้ที่ร่างไว้แล้วไม่ได้บันทึก หลายปีแล้วค่ะ เพราะตอนนี้เจ้าต้นไม้อายุหกขวบแล้ว เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ บันทึกที่ร่างไว้เขียนไว้ดังนี้ค่ะ

....................................

แม่และพ่อเฝ้าทะนุถนอมลูกมาได้สามเดือนแล้วนะจ้ะ เสื้อผ้าเดิมๆ ของแม่แม่ก็ใส่ไม่ได้แล้วจ้ะ ลูกโตเร็วดีเหมือนกันนะ

สองเดือนแรกแม่ไม่รู้เลยจ้ะว่ามีลูกอยู่ในท้อง ตอนนั้นแม่ยังออกไปปั่นจักรยานวันละเกือบสิบกิโลอยู่บ่อยๆ แม่เดินจ้ำอ้าวๆ ด้วยรองเท้าส้นสูงขึ้นลงชั้นสามของคณะและแฟลตเป็นประจำ แม่ทำงานหนักนอนดึก แม่มุมานะกับงานถึงกับเครียดก็บ่อยครั้ง เพราะแม่ไม่คิดว่าแม่จะมีลูกในเดือนนี้ได้ แต่แม่กับพ่อก็ตั้งใจไว้แล้วว่าเดือนถัดไป แม่จึงจะเข้าโปรแกรมการมีบุตรสำหรับคนมีบุตรยาก

จนเมื่อแม่มารู้ว่าลูกมาอยู่กับแม่ได้สองเดือนแล้ว แม่กับพ่อมีความสุขมากๆ แม่ดีใจจนร้องไห้ไปหลายตลบ แล้วแม่ก็ตัดสินใจพยายามดำเนินชีวิตให้ช้าลงโดยทันที มีคืนหนึ่งแม่ปวดท้องอย่างมากจนตัวโก่งประมาณ 10 นาที แม่กลัว แม่เครียด แม่ไม่อยากเสียลูกไป หมอบอกแม่ว่า แม่เข้าข่ายมีบุตรยาก ให้นอนพักมากๆ ห้ามออกกำลังกายใดๆ (หมอเขียนไว้ที่หน้าบัตรฝากครรภ์ว่า Elderly)

เมื่อย่างเข้าสัปดาห์ที่แปด แม่แพ้ท้องมากจนปลายเดือนที่สามแม่จึงรู้สึกดีขึ้น ตอนสัปดาห์ที่สิบน้ำหนักแม่ลดลงไปสองกิโล เพราะแม่กินข้าวไม่ได้ กินแล้วอาเจียนตลอด เพลียเหนื่อยหมดสภาพแทบคลาน ท้องอืด ท้องผูก แม่ทำกับข้าวก็ไม่ได้ แม่เหม็นอาหารมาก แม่เหม็นน้ำหอมของแม่และของพ่อ แม่มีไข้สูงหน่อยๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่รู้สึกสบายตัวเลย แม่ต้องยกงานทั้งหมดให้พ่อดูแล ไม่ว่าจะเป็นงานบ้านและงานประจำ แม่เห็นพ่อแล้วก็สงสาร เพราะพ่อเครียดและเหนื่อยมาก บางครั้งแม่พลอยเครียดตามไปด้วยจนอาเจียน แต่แม่ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น แม่ต้องการนอนอย่างเดียวเท่านั้น

ด้วยภูมิต้านทานที่ค่อนข้างต่ำ สารอาหารที่กินเข้าไปได้น้อยมาก ทำให้แม่ไม่สบาย เป็นหวัด มีน้ำมูก เจ็บคออยู่สองอาทิตย์ แม่ไม่กล้าทานยาอะไรนอกจากพาราเซตตามอล แม่ต้องดื่มน้ำขิงเยอะมาก เพื่อมาช่วยอาการเจ็บคอ แม่ได้แต่เช็ดตัวเพราะไข้สูง เมื่อแม่หายไข้หวัดแล้ว แม่ก็มาเจอปัญหาเรื่องฟันกรามอีก แม่ปวดฟันกรามซี่เดิมด้านซ้ายที่เป็นอยู่ประจำ ปวดจนอ้าปากไม่ค่อยได้ ปวดไปจนถึงขากรรไกร แม่คาดว่าคงเป็นเรื่องหินปูน เหงือกบวม และรากฟันทรุด ซึ่งแม่เคยเอ๊กซเรย์ไว้นานแล้ว


สามเดือนกว่าแล้วนะ พ่อพาแม่ไปเลือกซื้อชุมคลุมท้องซึ่งร้านในหาดใหญ่ก็มีอยู่ที่เซ็นทรัลและโรบินสันแต่ปรากฎว่าเป็นยี่ห้อเดียวกันอีก แม่เลือกอยู่นานลองอยู่หลายชุดจนเหนื่อย แต่ละชุดดูแล้วไม่ใช่ตัวแม่เลย ที่เขาขายๆ กันก็เป็นประมาณสีหวานๆ ลูกไม้ๆ ระบายสวยหวานแหว๋ว ถ้าแม่ใส่ชุดพวกนี้ แม่คงต้องเดินสะดุดขาตัวเองล้มเข้าสักวันแน่นอนด้วยความเขินส์

แล้วแม่ก็เลือกเสื้อผ้าที่เป็นสบายๆ และเป็นตัวแม่เองมากที่สุดและใส่ไปทำงานได้ แม่เลือกกางเกงขายาวไปสองตัว ตัวหนึ่งเป็นยีนส์ และอีกตัวสีดำ แล้วก็มีชุดยีนส์อีกชุดหนึ่ง ส่วนเสื้อผ้าก็ออกแนวเรียบๆ สีออกเอริธ์โทน แต่ตัดใจเอาลูกไม้สีขาวไปด้วยอีกตัวหนึ่ง ได้มาทั้งหมด 7 ชิ้น รวมเป็นเงินเกือบ 9,000 บาท แพงจริงๆ เลย แม่กะใส่อีกท้องของน้องลูกด้วยจ้ะ


วันแรกของเดือนที่สี่ แม่ยังอาเจียนอยู่เลยจ้ะ น้ำหนักลดไปหนึ่งกิโลอีกด้วย เรื่องอาหารการกินนี้เป็นเรื่องจุกจิกเหลือเกิน แม่ทำอาหารเองก็ไม่ได้ เหม็นจริงๆ เหม็นน้ำมัน เหม็นกระเทียม เหม็นหัวหอม และแม่กินในร้านอาหารก็ไม่ได้ เหม็นไปหมด

ช่วงสามเดือนแรก แม่กินได้น้อยมากจ้ะ ไข่ต้ม กล้วยน้ำว้า ขนมจีน ปลาเผา เป็นอาหารหลักของแม่ แม่พยายามดื่มนมก็ได้แค่แก้วเดียวต่อวันเท่านั้นจ้ะ แต่แม่ก็กินผักสดและดื่มน้ำเยอะๆ จ้ะ แต่ก็ดูเหมือนว่า อาการท้องผูกเป็นประจำก็ยังไม่หายไปง่ายๆ

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แม่ต้องปรับกลยุทธ์เรื่องการกินใหม่จ้ะ แม่หันไปดื่นนมตราหมีแทนแอนมัม ปรากฎว่าดื่มได้บ่อยกว่า และแม่กินถั่วมากขึ้นโดยวางไว้ใกล้ตัวนึกขึ้นได้เมื่อไรก็หยิบกินทันที และอีกอย่างที่แม่ต้องทำ คือ กินไก่ ซึ่งจริงๆ แล้วแม่งดสัตว์บกมาเกือบปีแล้วจ้ะ แต่เพื่อให้โปรตีนที่พอเพียงแก่ลูก แม่ก็ต้องหันกลับมากินไก่อีกครั้ง แต่หมูกับเนื้อนี่งดเด็ดขาดจ้ะ

ตามที่เขาแนะนำไว้ในหนังสือ แม่ต้องพยายามกินให้ได้โปรตีนเยอะขนาดว่า นม 3 แก้วต่อวัน ไก่ 30 กรัมต่อวัน ปลา 100 กรัมต่อวัน และ เต้าหู้ 150-200 กรัมต่อวัน หรือไม่ก็ ไข่วันละ 2 ฟอง และไข่ขาวอีกวันละ 2 ฟองด้วยนะ

ปลายอาทิตย์แรกของเดือนที่สี่ แม่รู้สึกว่าอาการท้องผูกหายไป และไม่ต้องตื่นมาฉี่ช่วงกลางคืนอีกด้วย ดีจังนี่ทำให้แม่นอนหลับยาวได้ แต่แม่ก็ยังฝันเรื่องโน้นเรื่องนี้มากมายทุกคืน ตอนนี้แม่คิดว่าแม่ต้องพยายามทำสมาธิให้บ่อยกว่าเดิมและเลิกดูทีวีก่อนนอน หันมาอ่านหนังสือแทน แม่สังเกตว่ารายการทีวีที่แม่ดูก่อนนอนมักมาอยู่ในฝันของแม่ในคืนนั้นทันที บางทีการดู VCD ชี่กง อาจจะทำให้แม่จำท่าทางชี่กงได้เก่งขึ้นก็เป็นได้นะ

วันที่ 23 พค. 50 แม่ท้องเสียหนักมาก รวมแล้วแม่ถ่ายถึงสิบครั้ง แม่แทบไม่มีแรงรุกเข้าห้องน้ำ พ่อพยายามให้แม่กินไฟเบอร์เข้าไปเยอะๆ ปกติแล้วเราจะมีข้าวโอ๊ตไว้ติดบ้าน แต่บังเอิญหมด คราวนี้ก็เลยกินลูกเดือยต้มแทน แม่พยายามทานเข้าไปแล้วก็ดื่มน้ำผึ้งผสมเกลือกับน้ำอุ่นที่พ่อทำให้ไปด้วย เพื่อไม่ให้ขาดน้ำและรักษาระดับเกลือแร่ แม่ดื่มไปทั้งหมด 6 แก้วได้ แต่เมื่อมาถึงตอนนี้แม่เริ่มมีไข้เกือบถึง 78 องศาแล้ว พ่อจึงได้พาแม่ไป ER

และด้วยความตกใจไม่รู้ว่าควรจะต้องระวังตัวอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะกลัวว่าหมอที่ ER เขาจะให้ยาที่เป็นอันตรายต่อลูกมาให้แม่กิน แม่ก็เลยต้องโทรบอกพี่จิน พี่จินกับพี่กานต์รีบมาแม่ที่ ER แม่ดีใจมากเลย เพราะรู้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญมาอยู่กับเราแล้ว

แม่เข้าตรวจกับหมอ ER ดีที่เขาไม่ให้ยาอะไรทาน และดีที่หมอที่แม่ฝากครรถ์ไว้เขาอยู่คลีนิคนอกเวลาวันนี้พอดี แม่ต้องนั่งรถเข็นเข้าไปหาหมอเพราะเริ่มเดินไม่ค่อยไหวแล้ว และใจก็เริ่มไม่ค่อยดี กลัวว่าลูกจะเป็นอันตราย

เมื่อหมอมาถึงก็สั่งให้ admit ทันที และโชคดีที่มีห้องว่างที่ตึกสูติพิเศษ พยาบาลรีบมาให้น้ำเกลือ คืนนั้นแม่ไข้สูงถึง 78.2 หมอไม่อยากให้แม่กินยา antibiotics และให้แม่กินยาพาราลดไข้ก่อน แล้วไข้แม่เริ่มลดลง

คนที่น่าสงสารอีกคน ก็คือ พ่อ ที่ต้องมาคอยเฝ้าไข้แม่และต้องหอบ notebook มานั่งทำงานอยู่ทั้งวันทั้งคืน และใช้ GPRS เพื่อ connect เข้าทำงานบน servers

แม่มานึกถึงสาเหตุของการท้องเสียในครั้งนี้ หลักๆ แล้วก็คาดว่า คงเป็นเพราะแม่กินอาหารจานที่เผ็ดมากเข้าไปทำให้ลำไส้ปั่นป่วน คนท้องนี้ sensitive เรื่องอาหารการกินจริงๆ

แม่อยู่โรงพยาบาลสองคืนและโดนให้น้ำเกลือไปเกือบสองขวด และกินเกลือแร่เพิ่มด้วย แม่เพิ่งรู้ว่า เกลือแร่ซองหนึ่งเข้าให้จิบกินทั้งวัน ฮาฮา แม่ไม่รู้หรอกนะ ผสมน้ำแล้วก็ซดกินเหมือนน้ำนั่นแหละ หมอบอกว่า เกลือแร่กินเยอะก็ไม่ได้นะเดี๋ยวท้องเสีย

แม่เข้าโรงพยาบาลครั้งนี้ต้องขอบคุณพี่จินกับพี่กานต์มากๆ เลยจ้ะที่มาคอยเป็นธุระ ให้ความรู้และเป็นกำลังใจให้แม่กับพ่อ ขอบคุณมากค่ะ

28 พค. แม่ไปหาหมอตามนัด ครั้งนี้แม่ได้เข้าตรวจสายหน่อยเพราะแม่ลืมโทรมาย้ำนัดก่อนล่วงหน้า ดีที่พี่โอ๋มานั่งคุยอยู่ด้วยก็เลยไม่ต้องนั่งเบื่อ หมอตรวจท้องแล้วก็บอกว่าปกติดี แล้วก็ให้ไปฉีดวัคซีนบาดทะยักเข็มแรก พร้อมให้ไปจองคิวเจาะน้ำคร่ำ ฉีดวัคซีนเข็มนี้เจ็บแขนมากเลย และวันถัดมาแม่ก็รู้สึกเป็นไข้หน่อยๆ ด้วย เพลียและเอาแต่นอนทั้งวัน

อ๋อตอนกลับจากโรงพยาบาล พี่โอ๋ตามมาที่ที่พักด้วยเพื่อเอาจักรยานที่พ่อไม่ใช้แล้วให้น้องเหน่น พี่โอ๋เห็นบันไดสามชั้นของตึกหรือจะเรียกว่าสี่ก็ได้เพราะมียกใต้ถุนด้วยก็ร้องโอ้โห แล้วเตือนแม่ว่า อย่าพยายามขึ้นบันไดสูงๆ ขนาดนี้บ่อยนัก จริงๆ แล้วหลายคนก็เตือนเรื่องขึ้นบันไดซึ่งทำให้แท้งกันมานักต่อนักแล้ว

แม่ยังนึกต่อไปว่า แล้วทำไงดีนี่เมื่อเปิดเทอมอาทิตย์หน้า แม่ต้องเดินลงจากที่พักสามชั้น แล้วก็ไปสอนที่ตึกชั้นที่สาม แล้วก็ลงบันไดก็ที่ Lab ที่อยู่ชั้นที่สามของอีกตึกหนึ่ง แล้วสุดท้ายก็ต้องกลับที่พักขึ้นบรรทัดสามชั้นที่เทียบเท่าสี่ชั้นปิดท้าย

ปลายสัปดาห์ที่ 15 แล้วนะ หลังจากออกจากโรงพยาบาล แม่ยังต้องพักผ่อนเยอะๆ น้ำหนักแม่จะลดลงจากอาการท้องเสียเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา แม่ก็เริ่มรู้สึกว่าแม่กินข้าวได้เยอะขึ้น ตอนนี้ลูกจะเริ่มดูดและกลืนได้แล้ว แม่และพ่อดูแลเรื่องอาหารการกินดีขึ้นมากจ้ะ และแม่ก็พยายามเลี่ยงของเผ็ด วันนี้แม่กินข้าวเข้าไปทั้งหมดห้ารอบ ตลอดทั้งอาทิตย์แม่กินแต่ข้าวกะแกงจืดและก็ไข่อบไม่ใส่น้ำมัน แม่ยังกินของทอดของมันไม่ได้ กินแล้วจึงผะอืดผะอมต้องอาเจียนตอนเย็นเกือบทุกครั้ง


เรื่องเตียงนอนและเก้าอี้นั่งที่ถูกหลักสรีระสำหรับคนท้องแล้วเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งนะจ้ะ เพราะน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันจะทำให้เจ็บหลังและเจ็บเอวจ้ะ

วันก่อนนี้พ่อพาแม่ไปซื้อเก้าอี้นั่งทำงานที่คนท้องนั่งได้สบายๆ แม่เลือกเก้าอี้ตัวใหม่ที่มีลักษณะดันหลังและรองรับถึงได้ถึงคอและศีรษะและนั่งได้นุ่มสบายมากจ้ะ แต่ยังไม่ได้ของจ้ะทางร้านต้องสั่ง อีกสิบวันคงจะมาถึง

แม่สังเกตมานานว่า แม่นั่งเก้าอี้นานๆ ไม่ได้ แค่ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็จะรู้สึกเจ็บท้องแล้วก็เรอออกมาอยู่เรื่อยๆ ยิ่งเวลามีสมาธิทำงานก็จะมีเรอออกมาตลอด พ่อบอกแม่ว่าอย่าเครียดเพราะจะส่งผลไปยังลูกด้วย แม่บอกว่า ตอนนี้งานเป็นดินพอกหางหมูแล้วก็เลยเครียดจ้ะ เดี๋ยวได้มะปรางมาช่วยคงดีขึ้นจ้ะ

ประมาณเดือนที่สอง หมอให้แม่ทาน folic acid อยู่หนึ่งเดือน แต่ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 11 เป็นต้นมา หมอจะให้แม่ทานวิตามินเสริม คือ แคลเซี่ยมและธาตุเหล็ก คนท้องควรได้รับแคลเซี่ยมควรได้รับ 1,200 มิลลิกรัม/วัน และเหล็ก 30 มิลลิกรัม/วัน

วันนี้แม่อ่านข่าวเกี่ยวกับการที่คนท้องได้รับเหล็กมากเกินไป http://news.bbc.co.uk/2/hi/health/6705209.stm ธาตุเหล็กจำเป็นกับคนท้องจ้ะ เพื่อป้องกันโรคเลือดจาง ซึ่งจะมีผลให้ลูกอาจเกิดมาน้ำหนักน้อย และแม่อาจจะคลอดก่อนกำหนดจ้ะ

งานวิจัยในข่าวล่าสุดนี้พบว่า การให้เหล็กแก่คนท้องที่อยู่ภาวะแข็งแรงอาจจะมีผลให้ความดันโลหิตสูง ในอังกฤษ หมอจะไม่นิยมให้เหล็กแก่คนท้องแล้วจ้ะ แต่ก็จะตรวจเลือดเพื่อตรวจสอบภาวะเลือดจางด้วยจ้ะ อย่างไรก็ตาม ตามข่าวเขาบอกว่า ผู้หญิงแข็งแรงที่ตั้งท้องมักจะทาน multivitamin เม็ดละวันอยู่แล้ว ซึ่งในนั้นจะมีเหล็กอยู่ประมาณ 15 มิลลิกรัม

แต่แม่ว่าในกรณีของแม่หมอคงมีสาเหตุที่ให้วิตามินเสริมจ้ะ อาจจะเป็นเพราะอายุและความดันโลหิตของแม่ก็เป็นไปได้จ้ะ จะกินวิตามินเสริมหรือไม่ก็ตาม แต่ที่แน่นอนคือ ต้องกินอาหารให้ครบหมู่ในแต่ละวันตามปริมาณที่คนท้องต้องการเป็นเรื่องที่ดีที่สุดจ้ะ


เปิดเทอมแล้วพร้อมกับความพร้อมของห้อง lab ของ IKMI แม่มาทำงานที่ lab ทั้งอาทิตย์ แต่การต้องเดินขึ้นตึกสามชั้นวันละ 2-3 รอบ ไม่ใช่เรื่องดีเลยสำหรับคนท้อง ช่วงปลายสัปดาห์แม่รู้สึกปวดท้องถ่วงๆ ตลอดทั้งวัน พยายามนั่งพักยึดขาเหยียดยาวบนเก้าอี้อีกตัวก็ดูจะไม่ค่อยช่วยเท่าไรนัก

แถมมีอยู่หลายครั้งที่มีเวียนหัวหน้ามืดระหว่างเดินไปห้องน้ำที่อยู่อีกฟากของตึก แม้อาการเวียนหัวเป็นเรื่องธรรมดาของช่วงอายุครรภ์ 4 เดือน แต่แม่ก็ไม่เคยเวียนหัวเลย ช่วงนี้ที่เป็นอาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยนั่นเองจ้ะ

เมื่อมาทำงานที่ lab แม่ไม่ได้นอนพักช่วงกลางวันเหมือนที่ผ่านมา หลายครั้งที่แม่ต้องงีบหลับในขณะนั่ง ท่านั่งอย่างนี้คงเป็นการกดท้องจึงเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้แม่ปวดท้องตลอดทั้งวัน แม่ง่วงนอนมากๆ ในช่วงบ่ายของแต่ละวัน แต่ก็ทนเอาไว้เพราะเป็นช่วง start up ของ lab

แล้วแม่บอกพ่อว่า ช่วยหาซื้อเก้าอี้ที่สามารถยืดออกเพื่อนอนพักและยกขาขึ้นวางได้มาให้แม่ไว้ใน office แม่จะได้พักในช่วงกลางวันได้อย่างเต็มที่หน่อย แล้วจะได้มีแรงช่วยพ่อทำงานพร้อมกับจะได้ให้ลูกได้พักผ่อนไปด้วย


แม่เก็บข้อมูลน้ำหนักตัวไว้ทุกสิ้นอาทิตย์ในเวลาตอนเช้า ตอนนี้แม่อุ้มท้องลูกมาครบ 4 เดือนแล้ว น้ำหนักแม่ยังลดอยู่ 1.5 กก. เทียบจากตอนยังไม่ตั้งท้อง แต่แม่ไม่ห่วงเรื่องนี้มากนัก เพราะเป็นธรรมดาของช่วงอายุครรภ์ช่วงนี้ หลังจากนี้น้ำหนักตัวแม่จะเพิ่มขึ้นอาทิตย์ละประมาณครึ่งกิโลกรัม ซึ่งตอนนี้แม่ทานได้เยอะขึ้นมาก วันละประมาณ 4-5 มื้อ แม่ทานข้าวกล้องทุกมื้อ และเน้นโปรตีน ผักสด และผลไม้สด แม่ยังไม่สามารถทานของมันได้เลย ขนาดได้กลิ่นของทอดก็ยังรู้สึกเหม็นเหมือนเดิม และที่สำคัญ แม่ไม่ลืมที่จะกินแคลเซี่ยม และ เหล็ก ที่หมอให้มาด้วยจ้ะ

หมายเลขบันทึก: 564432เขียนเมื่อ 22 มีนาคม 2014 14:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน 2016 14:54 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (14)

เห็นใจคุณแม่-คุณพ่อของน้องต้นไม้มากๆ..กว่าจะคลอดลอดลูกสักคนหนึ่ง..ลำบากกายใจอย่างยิ่ง..พี่ไม่เคยเป็นแม่คน แต่ระลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของแม่ไม่ลืมเลย

น้องต้นไม้ ต้องรักคุณแม่ให้มาก ๆ นะครับ

ประวัติศาสตร์แห่งชีวิต ;)...

รักษาบันทึกนี้ไว้ดีๆนะคะ และนำออกมาใส่แฟ้ม เป็นตัวหนังสือไว้ในกระดาษสวยๆด้วยเลยค่ะ เล่าอย่างละเอียดยิบ เยี่ยมมากค่ะ เป็นคุณแม่ที่ตั้งท้องร่างกายลำบากไม่สบายตลอด ความดันขึ้นจนน่ากลัวนี้ดีนะว่ามีน้องต้นไม้ออกมาแล้วถ้าไม่ทราบก่อน ผู้อ่านคงลุ้นกันน่าดู พี่ดาเคยรู้จักคนคลอดก่อนกำหนดลุ้นว่าจะรอดกันทั้งแม่ทั้งลูกหรือไม่ ดีที่ได้ 7 เดือนแล้วสาเหตุเพราะความดันขึ้นสูงมากต้องผ่าตัดด่วน โชคดีที่ถึงหมอเร็วรอดทั้งแม่และลูก

ตอนพี่ดาท้อง 2 ท้องไม่แพ้ท้องเลยค่ะปกติแข็งแรงดีมากๆ แต่ต้องผ่าท้องคลอดเพราะคุณลูกทั้ง 2 นั่งอย่างสบายไม่กลับหัวอยู่รพ.แค่ 2 วันขอหมอกลับบ้านอยู่รพ.นอนไม่หลับ หมอต้องตามมาเยี่ยมที่บ้านค่ะ

ขอบคุณ บันทึกประทับใจ มากนะคะ

ในฐานะของคนเป็นลูก

ที่ตอนนี้ อยากเป็นแม่คน

อ่านไปน้ำตาไหลไป

ซึ้งยามดึกค่ะอาจารย์

...เป็นบันทึกที่สำคัญนะคะ...อ่านแล้วประทับใจมากค่ะ

เป็นอีกหนึ่งบันทึกประวัติศาสตร์นะคะนี่ ให้บันทึกย้อนหลังก็จะไม่มีทางได้อารมณ์แบบนี้

กลับมาเชียร์และให้กำลังใจอีกครั้งคะ หลังจากพบอาจารย์จันทวรรณเมือ(ตั้ง)2ปีที่แล้ว...ยังไงก็ยังเป็นสมาชิกG2Kคะ

ต้นไม้

ชื่อนี้แข็งแกร่งจริงนะครับ

เป็นบันทึกที่ลืมไม่ได้นะครับ

อ่านแล้ว

รักแม่มากครับ

น้องต้นไม้ต้องชอบแน่ ๆ ค่ะบันทึกนี้

ต่อไปน้องต้นไม้โตขึ้น

มีโอกาสได้อ่านบันทึกนี้

ต้องชอบแน่ๆเลยครับ

เป็นพินัยกรรมชีวิตให้ต้นไม้ได้เลยครับ

หายป่วยหรือยังครับอาจารย์

ดูแลสุขภาพดีๆนะครับ

ส่งการบ้านครับ

อาจารย์หายดีแล้วหรือยังครับ

ปิยวาจา-ปัญญาสร้างสุข

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท