ขอบคุณค่ะอาจารย์ขจิต
ทางเหนือจะมีประเพณีอันหนึ่งคือค้ำยันต้นโพธิ์ด้วยไม้ค้ำในวันสงกรานต์ค่ะ...คงเหมือนคนนะคะ ช่วยๆกันค้ำกันไป พยุงกันไป ได้ผลดีร่วมกันค่ะ
เดือนวันผ่านไปรวดเร็ว ชีวิตของผู้คนที่ผ่านเข้ามา พิจารณาดูแล้วก็มีขึ้นมีลงไปตามสภาพของแต่ละคน
บางคนมีตำแหน่งหมดตำแหน่ง บางคนเพิ่งได้รับตำแหน่ง ...คนที่เคยทำงานและหวังพึ่งผู้อื่นตรงตำแหน่งก็จะเห็นกันชัดเจนเมื่อคราวที่ตำแหน่งต่างๆนั้นเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล
การทำงานร่วมกับคนอื่นจึงพยายามบอกตัวเองให้คิดแยกแยะว่า ทำเพราะตำแหน่งเขาหรือทำเพราะต้องการจะทำงาน
เมื่อถึงคราวที่บางคนก้าวขึ้นตำแหน่งก็ปิติยินดีไปด้วย และกับคนที่ก้าวลงจากตำแหน่งก็ยังเคารพยกย่องในภูมิความดีที่เขามีอยู่
บางคนลงจากตำแหน่งไม่สง่างาม ก็พยายามไม่ไปรวมตีปีกกระพือไปกับคนอื่น ..ถือคติว่า คนล้มอย่าข้าม ..ที่ถือคตินี้ไม่ใช่เพราะกลัวเขายืนขึ้นมาต่อย แต่เพราะเขาทุกข์อยู่แล้วต้องไม่ไปเพิ่มทุกข์ให้เขา
ใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่ผูกพันกับตำแหน่งของใคร ไม่ก้าวข้ามคนล้มตามปรากฎการณ์ของสังคมนั้น เจริญก้าวหน้าแบบกระโดดจะมีน้อย แต่ก็ไม่ตกต่ำเร็ว ความเคารพตัวเองก็จะมีอย่างต่อเนื่อง...และเป็นสุข
ขอบคุณค่ะคุณเมตตา .....ชีวิตจริงของตัวเองเป็นอย่างนี้แหล่ะค่ะ..พอเพียง..พอใจ....
สวัสดีค่ะคุณ Bright Lily
"ที่เราได้เหนื่อย เพราะเรามีโอกาส มีศักยภาพที่จะเหนื่อยอยู่ หากไม่มีอะไรให้เหนื่อยเลย แย่แล้ว ไม่มีงานแน่ๆ ค่ะ"
ขอบคุณที่จุดประกายความคิดค่ะ..ทำให้ย้อนคิดว่าปัจจุบันในวงมหาวิทยาลัยก็ต้องคิดแบบนี้เหมือนกันค่ะ บางภาควิชาในบางคณะต้องเปิดวิชาและ "ขอร้อง" นักศึกษาไปลงทะเบียนมิเช่นนั้นแล้ว ภาระงานอาจารย์ไม่พอค่ะ...
ขอบคุณค่ะอาจารย์ขจิต
ทางเหนือจะมีประเพณีอันหนึ่งคือค้ำยันต้นโพธิ์ด้วยไม้ค้ำในวันสงกรานต์ค่ะ...คงเหมือนคนนะคะ ช่วยๆกันค้ำกันไป พยุงกันไป ได้ผลดีร่วมกันค่ะ
ขอบคุณค่ะ อาจารย์ปภังกร
โลกใบนี้ จะให้ใหญ่จนมองไม่เห็นใครเลยก็ได้ เล็กนิดเดียวจนรับสัมผัสก็ได้...อยู่ที่คลื่นความคิดว่าเส้นความถี่แบบเดียวกันไหมด้วยกระมังคะ
อาจารย์ขจิต เซไปด้านไหนคะ...
จะได้หาไม้ค้ำมารองให้ถูกทางค่ะ
"...เพราะเขาทุกข์อยู่แล้วต้องไม่ไปเพิ่มทุกข์ให้เขา" เคยสะดุดก้อนหินค่ะ หัวขมำล้ำคว่ำไม่เป็นท่า แต่รีบหันซ้ายแลขวาเกรงว่าจะมีคนมาข้าม ภาพที่พบจากผู้คนในสังคม คือ บางคนยิ้ม บางคนหัวเราะเยาะชอบใจ บางคนเฉยเมยไม่สนใจ แต่ก็ยังมีคนบางคนรีบวิ่งมาช่วยผยุงให้ยืนขึ้น
เมื่อได้สติอีกครั้งจึงรีบสำรวจความเสียหายของร่างกาย มือถลอก ข้อศอกมีแผล หัวเข่าเลือดไหลซิบ ๆ แต่ที่สำคัญสภาพจิตใจตอนนี้แย่มากและรู้สึกจะเสียหายมากที่สุด...หน้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ รีบขอบคุณคนที่ช่วยพยุง แล้วก้าวท้าวออกเดินอย่างมั่นใจท่องไว้ทุกย่างก้าวว่าจะระมัดระวังให้มากกว่านี้ และจะไม่เผลอสะดุดก้อนหินอีกแล้ว จึงท่องไว้เสมอว่า "คนล้มอย่าข้าม" เพราะเราก็เคยล้มและรู้ว่าทุกข์นั้นเป็นเช่นไร
ขอบคุณท่าน อ.จันทรรัตน์ และบันทึกนี้ที่ทำให้ย้อนนึกถึงการล้มของคนในสังคม และการยิ่นมือเข้าช่วยผยุงคนล้มให้ลุกขึ้นเดินใหม่อีกครั้ง "หาใช่ล้มแล้วก้าวข้าม หรือเหยียบซ้ำ"
ผมเคยช่วยอาจารย์สาวท่านหนึ่ง...ขณะผมเดินไปสอนใน มอ. ปัตตานี หลายปีมาแล้ว...คือ อ.ท่านนี้ขับขี่มอเตอร์ไซ...มาตรงทางแยกที่เขาทำคันคูไว้... อ. เสียหลักล้มลง...ผมจึงวิ่งไปช่วยพยุง...สอบถาม...ผมช่วยติดเครื่องมอเตอร์ไซว่ายังใช้การได้อยู่มั๊ย...
เมื่อดู อ. คงขับขี่ไปได้แล้วผมจึงลา อ. ไป สอน...
ทราบภายหลังว่า อ.ไม่ผ่าน ป. เอก ทางสายวิทย์
จาก มหาวิทยาลัยทางตะวันตก...พึ่งกลับมา...จิตใจยังอมทุกข์อยู่เลยครับ...
ใช่ครับ...ถ้าไม้ล้มข้ามได้...
ขอบตุณค่ะ อาจารย์ vij
อาจารย์เล่าได้เห็นภาพเลยค่ะ....เห็นตัวอย่างที่ชัดเจน...บางคนยิ้ม บางคนหัวเราะเยาะชอบใจ บางคนเฉยเมยไม่สนใจ แต่ก็ยังมีคนบางคนรีบวิ่งมาช่วยผยุงให้ยืนขึ้น .....ไม่แตกต่างกันเลยไม่ว่าที่ไหนค่ะ...
ขอบคุณค่ะอาจารย์ umi
ความช่วยเหลือที่อาจารย์ให้กับอาจารย์ท่านนั้น..คงช่วยปลอบประโลมใจคลายทุกข์ของอาจารย์สาวท่านนั้นได้บ้างค่ะ..เชื่ออย่างนั้นค่ะ