ลูกอ่านได้หรือลูกจำได้


ลูกอ่านได้หรือลูกจำได้

                วันนี้มีเรื่องขัดเคืองใจเล็กน้อยกับคุณป๊า  ซึ่งปกติแล้วมักไม่มีเหตุให้ขัดใจ  แต่คราวนี้ต้องระงับความรู้สึกไม่ให้ตอบโต้มากที่สุด เพราะหากตอบโต้ไป คงมีอีกหลายคนมารุมสะกำดิฉันเป็นแน่  สาเหตุเพราะดิฉันพูดไม่เข้าหูคนอื่น เอ้า!!!หากคิดเข้าข้างคุณป๊าดิฉันก็สมควรโดนล่ะ  แล้วคนส่วนใหญ่ก็เลือกเข้าข้างซะด้วยซิ มาดูกันค่ะว่าเหตุใด

                หลังเลิกงานตอนเย็นคุณป๊า ไปรับหมวยน้อยและดิฉันกลับบ้าน แล้วคุณป๊าก็พูดขึ้นว่า

                คุณป๊า “ โจ้  เสาร์ อาทิตย์นี้ สอนลูกอ่านหนังสือด้วยนะ หมวดที่ 1-7  วันนี้ครูเขาจะทดสอบ เขาบอกลูกไม่ยมอ่าน ในขณะที่เพื่อนคนอื่นอ่านกันทุกคน”

                ชลัญฯ  อะไรนะป๊า ลูก 5 ขวบ+ นี่นะสอบอ่านหนังสือ  บ้ากันไปใหญ่แล้ว  ไม่เป็นไร อ่านได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้   หันไปหาลูก เนาะลูกเน๊าะ

                หมวยน้อยที่เดิมนั่งก้มหน้าอยู่  เงยหน้ามายิ้ม  แต่ต้องรีบหุบเพราะคุณป๊าหันมาทำตาดุใส่ทั้งแม่และลูก

                ดิฉันกำลังอ้าปากพูดต่อ  คุณป๊าก็หันมาตะวาดเสียงดัง  “โจ้ ครูเขาจะสอบ เขาประเมินลูกเราไม่ได้ เข้าใจมั๊ย”

                ดิฉันก็เลยต้องนั่งนิ่ง มาตลอดทาง  กลับมาถึงบ้านเห็นคู่มือเรียนของลูกเล่มหนึ่ง ครูคงใช้สอนที่ โรงเรียน เพราะไม่เคยเห็นในกระเป๋าหนังสือหมวยน้อย 

 

                เปิดดูแล้วอึ้งอุ๊ย!!! เดี๋ยวนี้เขาสอนกันเร็วมาก  เขาสอนกันยังไง สะกดคำยังไง  แล้ว ?????? สารพัดงง

                คือ ดิฉันเป็นพยาบาลน่ะ  จึงไม่รู้เรื่องการเรียนการสอนหนังสือ  แล้วก็จำไม่ได้แล้วด้วยว่า สมัยเด็กๆดิฉันอ่านหนังสือได้อย่างไร  แต่รู้สึกว่ามันน่าจะสะกดก่อนมั๊ย????

                จึงมาแอบคุยกันประสาแม่ลูก  ถามหมวยน้อยว่า ทำไมถึงไม่อ่าน หมวยน้อยตอบว่าหนูเหนื่อย แม่ถามต่อว่า แล้วหนูอ่านได้มั๊ย  หมวยน้อยพยักหน้า ยิ่งต๊กใจใหญ่  เฮ้ย!!! คิดในใจ อ่านได้ไงว่ะ???

                จึงลองเปิดให้ลูกอ่าน  ทีละคำ  โอวววว์   อ่านได้จริงด้วย  จึงถามลูกว่า เอาไหน ลองสะกดคำให้แม่ฟังซิ  คุณเชื่อ มั๊ยหมวยน้อยสะกด ได้เพียงคำง่ายๆ  เช่น  กา  มา  ขา  หู  ดู  ฯลฯ  เริ่มให้ถึงบางอ้อ รู้ล่ะว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูก

                จึงถามลูกว่าทำไมหนูอ่านคำอื่นได้  หมวยน้อยตอบอย่างหน้าชื่นได้ว่า ก็มันมีรูปข้างๆไงแม่หนูจำได้ 

                บทสรุปคือ ลูกอ่านได้เพราะจำได้  ไม่ใช่อ่านได้เพราะสะกดได้  ดิฉันเริ่มรู้สึกหนาวๆในใจ ระบบการศึกษาสมัยนี้ เขาตั้งใจให้เด็กเป็นอะไร  ให้เด็กเป็นคนเก่งเพราะจำเก่งหรือ ให้เก่งด้วยการเรียนรุ้  เราเร่งกันไปมั๊ย  หรือดิฉันคิดมากไป เพราะหมวยน้อยเป็นเด็กคนเดียวในกลุ่มเพื่อนที่ไม่เรียนพิเศษ  แต่ลูกเพื่อนเรียนครบ 7 วัน  หมวยน้อยเวลาครบเหมือนกัน เวลาเล่นนะ

                แต่ถึงอย่างไรดิฉันก็ยังยืนยันความคิดเดิมว่า เราควรกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กเมื่อเด็กพร้อม  และเชื่อว่า หมวยน้อยลูกตัวเอง ไม่ใช่เด็กที่โง่แน่นอน  และบังเอิญได้ไปอ่านพบบทความนี้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของดิฉัน จึงเอามาให้ผู้ปกครอง และคุณครูทั้งหลายพิจารณา

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=591990427509082&set=a.150028191705310.28934.113666602008136&type=1&theater

                สำหรับหมวยน้อยในตอนนี้ ดิฉันสอนเน้นในเรื่อง ความรักความผูกพันในครอบครัว เครือญาติ ทั้งญาติทางดิฉัน และสามี  ขนบธรรมเนียม การไปลามาไหว้ การเคารพผู้อาวุโส  เรียนรู้การการปรับตัวอยู่ได้เอาตัวรอดได้ในสังคม ฯลฯ ซึ่งตอนนี้ หมวยน้อยเป็นเด็กที่ลั่นล้า สดใส มีความสุขตามประสาของเธอ  มองโลกในแง่ดีมาก

                ซึ่งความคาดหวังของดิฉันในการศึกษาซึ่งหมายถึงอนาคตของลูก นั้นไม่ได้หวังว่าลูกจะต้องเป็นที่ 1 หรือกลุ่มเด็กเก่ง  หรือเรียนต่อในคณะดีๆ ที่จบไปมีหน้าตาในสังคม แต่คุณเป็นอะไรก็ได้ที่คุณมีความสุข ปรับตัวอยู่ได้ในทุกที่ แม้วันนั้นจะไม่มีป๊า หรือแม่อยู่ด้วยก็ตาม  นี่คือความคาดหวังของดิฉันต่ออนาคตลูก

                แต่คนส่วนใหญ่คงไม่คิดเหมือนดิฉัน เพราะเขาคงรับไม่ได้ที่ลูกจะสอบได้ที่สุดท้ายของห้องเรียน  คุณว่ามั๊ย??

                โดยเฉพาะคนที่อยู่ข้างๆดิฉันตอนนี้  .....???

 

 

ชลัญธร

    

    

หมายเลขบันทึก: 548216เขียนเมื่อ 14 กันยายน 2013 04:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 กันยายน 2013 04:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

ไปดูการฝึกวิธีการสอนเด็กไทยในต่างแดน  ลองเอาไปใช้ดูก็ได้ครับ

มาเชียร์แม่ - ลูก สดใส  ลัลล้า  วิชาสังคม - อารมณ์ ดีเลิศค่า  วิชาชีวิต A +++++  แน่นอน

ครอบครัวใดเอาใจใส่เลี้ยงลูก ... ได้ฟันสวย  ยิ้มสวย  อนาคตดีทุกด้านค่ะ .... ฟันธง

       บางสิ่ง...บางอย่าง...หากว่าเราใส่ความรีบเร่งไปจะกลับกลายเป็นว่าสร้างแรงกดดันให้กับเด็กเกินไปไหมในวัยของเขา...อืมน่าคิดนะครับ...

      ผมเชื่อว่าในแต่ละวัยก็จะมีมิติด้านการเรียนรู้ของเขาอยู่...บางครั้งการเรียนรู้โดยก้าวกระโดดข้ามวัยไปกลับกลายเป็นผลเสียมากกว่าผลดี...เป็นมุมมองในมิติที่เอาการดำเนินชีวิตภายใต้กรอบความรัก ความอบอุ่น...เป็นตัวตั้งไม่ใช่ ความเก่ง ความฉลาดเป็นตัววัด...

       เด็กปัจจุบันวิวัฒนาการด้านต่าง ๆ รวดเร็วมาก...โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี...ผมตามไม่ทันเลย...หรือว่า (ผมแอบ) อิจฉาเด็กที่เก่งกว่า...๕๕๕

 

        โลกปัจจุบัน...ความกดดันจากสิ่งรอบข้างสูง...แต่สิ่งที่จะช่วยพยุงให้เด็กก้าวข้ามพ้นผ่านไปได้คือ...สายใยรักจากครอบครัวที่ถักทอลงไปในใจของเด็กเป็นการบ่มเพาะเมล็ดพันธ์ให้เติบใหญ่ได้อย่างงดงามในทุก ๆ ด้าน

ชื่นชมและเป็นกำลังใจให้พี่ชลัญธรนะครับ...การปลูกฝังความคิดที่พี่ถ่ายทอดให้กับลูกเป็นสิ่งที่งดงามมากครับ...:)

เห็นด้วยกับคุณแม่ครับ.......เห็นหลานที่บ้านเหมือนกัน  ให้ใส่วรรณยุกต์  การันต์ ฯลฯ แล้ว   ผมว่ามันเร็วไปสำหรับเด็กขนาดนี้

เข้ามาก่อนเวลา (เพราะเจอรูป)...คิดถึงหลานสาวมากๆ...เห็นด้วยทุกประการครับ...ผมก็ต้องการเพียงให้ลูกผมสามารถมีชีวิตและความคิดของตนเอง...ไม่จำเป็นต้องเก่งหรือรวย....ส่งกำลังใจให้นะครับ

เข้าใจว่า ไจ่ไจ๋ จำได้  แต่ถ้าฝึกบ่อยๆให้สะกดก็จะสะกดได้

หลานผมจำได้ ต่อมาก็สะกดได้ครับ

มาให้กำลังใจ 555

ชอบภาพนี้ครับ

พี่โอ๋มาช่วยน้องโจ้ยืนยันค่ะว่า ไม่ต้องวิ่งตามระบบที่เขามีเลยค่ะ แต่ก็ต้องไม่ให้เป็นปมด้อยกับลูกว่าเขาประหลาดที่ไม่เหมือนเพื่อน แต่เราต้องสร้างแรงจูงใจให้ลูก ถ้าเราพร้อม เขาอยากเรียนค่อยช่วย แต่อย่าไปบังคับในช่วงที่เขาไม่อยากทำ เพราะผลที่ได้จะกลายเป็นตรงข้ามคือ นอกจากไม่ชอบแล้วอาจจะเกลียดไปเลย

เอาเรื่องราวของพี่ๆสามหนุ่มของพี่โอ๋ไปยืนยันกับคุณป๊าได้เลยค่ะว่า ไม่จำเป็นต้องบังคับลูกๆเรื่องเรียน ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะสอบเทียบกับเพื่อนๆไม่ได้ สอนให้ลูกแข่งกับตัวเอง พัฒนาจากสิ่งที่ตัวเองมี ที่สำคัญคือต้องคุยกับลูก ฟังเขาว่าเขาคิดยังไงแล้วใช้ตรงนั้นเป็นตัวปรับค่ะ เด็กๆเขาคิดเป็น และเขามักจะคิดได้จากสิ่งที่เขาเห็นเป็นประจำ ถ้าเราเป็นต้นแบบที่ดีก็เชื่อได้ว่าลูกจะเป็นไปตามนั้น อยากให้ลูกเป็นยังไง ทำตัวยังไง เราทำเป็นต้นแบบ ลูกเขาเลือกเองค่ะว่าเขาจะทำยังไง เราเพียงแต่ต้องเคร่งครัดในวินับพื้นฐานของชีวิตที่มันจะติดตัวเขาไปตลอดมากกว่า อย่างการรู้หน้าที่ มีวินัย ไม่โกหก ช่วยเหลือผู้อื่น รักษาสิ่งแวดล้อม 

พี่โอ๋มีชีวิตแบบนี้ ลูกๆสามหนุ่มก็มาแบบนี้ ไม่เคยบังคับลูกให้เรียน ไม่ต้องวิ่งตามคนอื่นในเรื่องเรียน สนับสนุนให้เขาอ่านสิ่งที่อยากอ่าน ทำกิจกรรมที่อยากทำ ใช้ชีวิตกับครอบครัวกับธรรมชาติกับกิจกรรมที่ชอบ พี่โอ๋เรียนจบเอกได้เมื่อต้องทำ พี่วั้นเรียนจบตรีแล้วแบบยอดเยี่ยมแต่ทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย ช่วยติวให้น้องๆเพื่อนๆเสมอ ไม่เคยแข่งกับใครมีแต่คนรักเพราะช่วยเหลือเพื่อนๆน้องๆเสมอ พี่เหน่นก็เรียนนิติฯปีสาม เป็นคนที่เป็นเพื่อนเป็นพี่ที่ดีของคนรอบข้าง เป็นที่รักของคนอื่นๆ พี่ฟุงเรียนมอ.สี่ เพื่อนๆและพ่อแม่เพื่อนรัก เพราะเขาเป็นคนน่ารัก ทุกคนเรียนดีพอสมควร โดยไม่เคยต้องเรียนพิเศษหรือทำสิ่งที่สังคม"กำหนด"ให้ทำตามๆกันมา ลูกเลือกเองว่าจะทำหรือไม่ทำ เราเพียงแค่"คุย"กับเขาและทำตัวให้เป็นต้นแบบที่เราคิดว่าดี แค่นี้จริงๆค่ะ

รวมบันทึกจากบล็อก อันเนื่องมาจากลูกๆ ของโอ๋-อโณ - GotoKnow

ขอแซว คุณหมออ้อ ไม่ยอมทิ้ง เรื่องของฟัีนเลยนะคะ

มีความแตกต่างกัน ระหว่าง การล้อมกรอบไว้ด้วยความกลัว  การคาดหวัง  และการสร้างแรงจูงใจแบบคิดบวก

เด็กมักตามๆ กัน  และไปตามวัย

 

 

เป็นคนหนึ่งที่มีลูก และไม่เห็นด้วยกับระบบการศึกษาไทยที่เน้นการท่องจำ จนเด็กมาจนถึงระดับอุดมศึกษา ก็ยังยึดติดกับวิธีการท่องจำ และพร้อมจะเชื่อและจำในสิ่งที่ครูสอน แถมยังอ่านหนังสือน้อยมาก จะแก้ไขระบบการศึกษาได้อย่างไร ประกันคุณภาพการศึกษาช่วยได้จริงหรือ เพราะตอนนี้ไทยถูกจัดอันดับให้อยู่อันดับที่แปดแล้ว  เห็นด้วยค่ะว่าพื้นฐานในครอบครัวสำคัญที่สุดที่จะวางรากฐานในลูกๆในทุกๆเรื่องไม่ใช่เฉพาะเรื่องการศึกษา

มาให้กำลังใจค่ะ...รูปแบบการเรียนรู้แบบเอาเร็วเข้าว่า ย่อมมีรากฐานไม่แน่น..เป็นห่วงอีกหลายๆเรื่องค่ะ..

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท