การปลูกฝังให้ลูกๆ มีจิตสำนึกที่ดีต่อสังคม เป็นกระบวนการบนฐานคิด “หว่านพืชหวังผลในระยะยาว” เพราะคงไม่สามารถเห็นมรรคผลในห้วงระยะเวลาอันสั้นได้ เนื่องเพราะต้องพึ่งพิงกับบริบทหรือปัจจัยนานาประการ ทั้งปัจจัยภายในครอบครัวและปัจจัยภายนอกครอบครัว
ผมเองก็เติบโตมาจากครอบครัวที่ข้นแค้น เคยอดข้าวเป็นวันสองวัน ไปโรงเรียนก็ไม่ค่อยมีเงินค่าอาหารเที่ยง ครั้นพอถึงเวลาของการพักเที่ยง ก็จำต้องพาตัวเองไปหลบเร้นอยู่แต่ในห้องสมุด ขลุกอยู่แต่ในนั้น เรียกได้ว่าเสพหนังสือแทนข้าวก็ว่าได้
แต่ทั้งปวงนั้น ก็มิได้ทำให้ผมหดหู่สิ้นหวัง ตีโพยตีพาย โทษท้อต่อโชคชะตา ตรงกันข้ามกลับพยายามเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างมีสติ โลดแล่นอยู่กับมันอย่างมีพลัง มองไปยังอนาคตที่ต้องดีกว่าวันนี้ โดยไม่ละเลยที่จะเคารพต่อ “อดีต” อันเป็น “รากเหง้า” หรือ “มาตุภูมิ” ที่ประกอบและยึดโยงจากความเป็น “เด็กบ้านนอก”
ครับ, ผมเรียนรู้จากการ “ฝังตัว” กับเรื่องเหล่านั้นอย่างที่สุด เจ็บปวดกับมันให้ถึงแก่น สุขซึ้งกับมันให้ถึงราก ศรัทธาต่อประสบการณ์ของการสัมผัสจริง แต่ก็ไม่หมิ่นแคลนต่อการพร่ำสอนจากผู้คน ทั้งที่ “ยินดี” และ “ยินร้าย” กับตัวเอง-
ด้วยความที่เชื่อว่าประสบการณ์ที่เกิดจากการสัมผัสจริงเป็นหัวใจหลักแห่งการเติบใหญ่
กอปรกับการเชื่อมั่นว่าการปลูกฝังให้ลูกๆ
มีจิตสำนึกที่ดีต่อสังคมนั้นเป็นเรื่องระยะยาวที่ไม่อาจเห็นผลในชั่วพริบตา กระบวนการส่งลูกๆ กลับไปอยู่ที่บ้านเกิดในช่วงปิดเรียน จึงเป็นที่มาที่ไปของวาทกรรม “ส่งลูกไปเรียนพิเศษที่บ้านนอก” (เรียนนอกฤดู)
ผมเชื่อว่าการส่งลูกๆ กลับมาใช้ชีวิตที่บ้านนอกนั้น เป็นกระบวนการอันสำคัญอย่างยิ่งยวดในการปลูกฝังให้พวกเขามีจิตสำนึกที่ดีต่อการเป็นพลเมืองของสังคม หากแต่ในมุมกลับกันคำว่าสังคมอาจดูเป็นนามธรรมสำหรับลูกๆ อยู่มากโข ผมเลยต้องย่นย่อความเป็นสังคมในเล็กลีบลงมาอยู่ในรูปของ “หมู่บ้าน” อันเป็น “บ้านเกิด” ในชนบทของผมเอง
เด็กชายแดนไท ปรีวาสนา ในวัยย่าง 11 ขวบเองก็เช่นกัน เขาเองก็กำลังวิ่งเล่นอยู่ในระบบการเรียนรู้เพื่อการเติบโตเป็นผู้มีจิตสำนึกที่ดีต่อสังคมผ่านมุมคิดและชุดบทเรียนที่ผมออกแบบไว้ให้แนบเนียนและกลมกลืนอยู่ในวิถีประจำวันของเขา –
น้องแดน อาจถูกเรียกขานต่างกันไปทั้งในชื่อเจ้าจุก, หมูอ้วน, นักเลงลูกทุ่ง ฯลฯ แต่ที่แน่ๆ แกเป็นคนอารมณ์ดี กินง่าย อยู่ง่าย เอาการเอางาน (แต่ไม่ยอมให้สั่งการ) ซึ่งตอนนี้แกสูงในราวๆ 1.30 เมตร หนัก 40 กิโลกรัม เกรดเฉลี่ยเทอมล่าสุดคือ 3.40 (เทอมที่แล้ว 4.00)
ในบรรดาข้อมูลข้างต้น เรื่องน้ำหนักและส่วนสูงพอพยากรณ์ล่วงหน้าได้อย่างไม่กังขาว่า มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนผลการเรียนนั้น ผมเองไม่กล้าการันตีใดๆ ...(55)
แน่นอนครับ ถึงแม้น้องแดนจะไม่ใช่คนเก็บรายละเอียดใดๆ ได้ดีเท่าน้องดินผู้พี่ แต่ต้องยอมรับว่า เป็นคนเก็บรายละเอียดต่างๆ ได้ดีในแบบฉบับของเขาเอง เป็นต้นว่าการเก็บรายละเอียดเรื่องการกินได้อย่างไม่บกพร่อง เพราะเมื่อใดก็ตามที่พี่อิ่มแล้ว,พ่ออิ่มแล้ว,แม่อิ่มแล้ว –น้องแดนจะเก็บรายละเอียดเหล่านั้นอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เรียกได้ว่า มีเท่าไหร่รับมาจัดการซะเกลี้ยงชามเลยก็ว่าได้ (เอิ๊กๆ...)
ครับ,ในปีนี้น้องแดนยังคงปักหลักชีวิตช่วงปิดเทอมที่บ้านนอกเหมือนทุกๆ ปี ชีวิตในแต่ละวันโลดแล่นอยู่กับท้องทุ่ง,หมู่บ้าน,วัด...
วันๆ ถ้าไม่มีเพื่อนเล่นก็ถีบจักรยานไปเล่นที่ร้านค้าของญาติๆ ในหมู่บ้าน หรือไม่ก็ถีบจักรยานไปวัดเพื่อเล่นกับ “พี่เณร” ของตนเอง ครั้งพอหิวก็จะถีบจักรยานกลับมาหา “แม่ยา” ที่ทุ่งนา กินเสร็จก็ไปเล่นกับเพื่อนๆ ตกเย็นก็จะกลับมารับผิดชอบการงานของเขาเอง เช่น ให้อาหารไก่ ช่วยปู่ต้อนวัวเข้าคอก หรือแม้แต่ช่วยเรื่องครัวเล็กๆ น้อยๆ ตามกำลังของเขาเอง ยิ่งวันไหน “แม่ย่า” ดูเหนื่อยๆ และมีภารกิจากมาย น้องแดนก็จะทำหน้าที่ในการ “นึ่งข้าว” ซะเอง เพราะแกเชื่อว่า “กองทัพเดินด้วยท้อง”
เฉกเช่นกับเมื่อน้องแดนไปหาพี่เณรนั้น ผมก็มักจะหยิกๆ หยอกๆ น้องแดนเสมอว่าให้ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์แบบนั่นก็คือการเป็น “ผู้ช่วยพี่เณร” –
คำว่าผู้ช่วยพี่เณรในความหมายของผมก็คือ ติดสอยห้อยตามพี่เณร (สามเณรแผ่นดิน) ช่วยสะพายย่าม ประเคนข้าวปลาอาหาร รับบาตร ฯลฯ ซึ่งถึงแม้ตัวจะดูเขินๆ บ้าง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าแกมีความสุขกับภารกิจเหล่านั้นเสมอ ยิ่งวันไหนเห็นพี่เณรได้ขนมเยอะๆ แกยิ่งสนุกและกระตือรือร้นที่จะไปอยู่กับพี่เณร รวมถึงมีการกลับมาเล่าให้ “แม่ย่า” ฟังเสมอว่า “วันนี้พี่เณรได้ตังค์กี่บาทแล้ว” หรือแม้แต่ “พี่เณร บ่ แบ่งเงินให้แดนจั๊กบาทเลยแม่ย่า...”
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าการที่น้องแดนได้สัมผัสกับเรื่องราวในวิถีเช่นนี้คือกระบวนการอันสำคัญของการปลูกฝังให้เขามีจิตสำนึกที่ดีต่อสังคม ผ่านฐานการเรียนรู้ของ “บ้านเกิด” ฐานการเรียนรู้ที่ประกอบด้วยป่าเขาลำเนาไพร พี่ๆ น้องๆ ประเพณีวัฒนธรรม พิธีกรรม การกินการนอน การร้องการเต้น ฯลฯ เพราะสิ่งเหล่านี้คือ “ทุนทางสังคม” ที่จะหนุนเสริมให้เกิดการตกผลึกเป็น “ทุนชีวิต” ที่ดีสำหรับเขา
โดยเฉพาะประเด็นของการเป็น “ผู้ช่วยพี่เณร” นั้น ผมเชื่อว่าน้องแดนจะค่อยๆ ซึมซับถึงเรื่องราวเชิงประเพณีวัฒนธรรม พิธีกรรมที่เกี่ยวกับสังคม ท้องถิ่น ชุมชน หรือแม้แต่กิจแห่งสงฆ์ไปพร้อมๆ กันได้เป็นอย่างดี เพราะผมคงไม่สามารถพร่ำบอกในรายละเอียดเชิงลึกเหล่านั้นได้ หากแต่การได้สัมผัสด้วยการลงมือทำ หรืออยู่ในชะตากรรมและนาฏการณ์นั้นด้วยตนเอง ย่อมทำให้น้องแดนมองเห็นและเข้าใจในคุณค่าและมูลค่าของสิ่งเหล่านั้นไปโดยปริยาย ขึ้นอยู่กับว่าจะช้า หรือเร็วเท่านั้นเอง –
แต่ที่แน่ๆ การเป็นผู้ช่วยพี่เณรเช่นนั้น ย่อมทำให้พี่น้องสองคนรักกันมากขึ้น น้องแดนคงรักและเข้าใจบริบทของบ้านเกิดได้ดีขึ้น กระบวนการเหล่านี้ ผมถือว่าเป็นการเรียนพิเศษในอีกวาระหนึ่งของลูกๆ และเป็นการเรียนพิเศษที่บ้านนอกที่มุ่งสู่การปลูกฝังให้ลูกๆ เกิดความรักและผูกพันต่อสังคมผ่านชุมชนอันเป็นบ้านเกิดของเขาเอง
ครับ,มันคือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ที่จะเติบโตเป็นพลเมืองของสังคม –เรียนรู้การเป็นเยาวชนจิตอาสาในอีกมิติหนึ่งด้วยเช่นกัน (กระมังครับ)
...16 เมษายน 2556
ปตท.โพนทอง (ร้อยเอ็ด)
สวัสดีวันหยุดค่ะอาจารย์
ภาพทุกภาพชัดเจนในความหมายค่ะ น้องชายคนดี
หลานชายโชคดีนะคะ เต็บโตทั้งทางกาย (จ้ำม่ำเชียว) และจิตวิญญาน แถมยังเรียนเก่งด้วยค่ะ
ขอให้มีความสุขกับการเรียนรู้ต่อไปค่ะ
555 จะบอกว่าเจ้าตัวเล็กจ้ำม่ำและภาพก็ได้บรรยากาศมากๆครับ การส่งเด็กกลับไปเรียนรู้วิธีคิดแบบนี้ดีจังเลยครับ เพราะผมเห็นส่วนใหญ่เรียนพิเศษ แล้วก็ไปเที่ยว ดังวิถีเด็ก กทม. บางส่วน...
สวัสดี ช่วงวันหยุด สงกรานต์ ค่ะ
เห็นภาพแล้วมีความสุขครับ
น้องเณรโตไวมากแต่ เจ้าตัวเล็กโตไวกว่า 555
พี่ติดตามเฝ้าชื่นชม หลานชายเจ้าตัวเล็กทั้ง ดิน และแดน ชื่นชมมากๆ คะในการเลี้ยงดู ทั้งจากการบอกเล่า จากการเขียนบันทึก ปีนี้โตขึ้นมาก
ทุกครั้งที่ได้อ่านบันทึกของคุณแผ่นดิน
ตัวผมนั้นเบาขึ้นจริง ๆ เลยนะครับ
..
ขอบคุณมากนะครับ
เห็นด้วยกับความคิดและมุมมองของอาจารย์ทุกประการจ้ะ
ได้รับการปลูกฝังเช่นนี้..เชื่อว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นค่ะ...
เอาภาพก่อเจดีย์ทรายที่วัดสุริยาราม บ้านเชียงพิณ มาฝากค่ะ..
สุขสันต์วันดี ๆ ในทุกวันนะคะ...^_^
ปีหน้าเจ้าจุกบอกกราย ๆ ว่าจะโกนจุกและจะบวชด้วยค่ะ
ครอบครัว "ปรีวาสนา" สบายดีกันนะครับ ;)...
พี่เณรน้อยแผ่นดินดูผอมไปนะคะ น้องแดนน่าจะตัวโตกว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าแน่ๆเลย ดูคนละบุคลิกกันเลยนะคะ สองหนุ่มของคุณพนัสนี่ แต่ที่แน่ๆต้องช่างคิดเหมือนคุณพ่อแน่นอนเลยค่ะ
ภาษาที่งดงามถ่ายทอดประสบการณ์ที่มหัศจรรย์อิ่มเอมใจจริงๆค่ะอาจารย์
มาเห็นเถียงนาน้อย ธรรมชาติสะอาดอารมณ์ดีนะครับ
ลูกศิษย์วัดตัวโตจัง..เณรโตไม่ทันแล้ว
ชื่นชมการเลี้ยงลูกของอาจารย์มากครับ
๕๕๕ เจอแนวร่วมแล้วว :)
วิธีการเก็บรายละเอียด ของน้องแดนนั้น เหมือนป้าเลยย เฮ่อๆ :))
ผู้ช่วยพี่เณร ทางภาคเหนือเรียกว่า ขโยม ค่ะท่านอาจารย์
ชื่นชมมากค่ะ
เป็นแนวคิดที่ดีมากๆ ค่ะอาจารย์
ผู้ช่วยพี่เณร...สำเนาถูกต้องเลยนะคะ
ปีหน้าจะกลายเป็น....น้องเณร แล้วสิคะ
ตามมาเก็บเกี่ยวบันทึกไปถอดบทเรียนค่ะ โปรดอย่าลืมร่วมกิจกรรมสุดท้ายก่อนอำลาถาวรค่ะ
http://www.gotoknow.org/posts/535918 ถอดบทเรียนเขา (ชื่นชม) และถอดบทเรียนเรา เชิงบูรณาการเพื่อการจัดการความสุข Happy Ba ร่วมกันค่ะ หารือกับพี่นุชแล้วว่าเราสองคนร่วมชื่นชมบันทึกกัลยาณมิตรเพียงลำพังไม่ได้ประโยชน์มากเท่ากับให้ผู้อ่านมาร่วมชื่นชมและถอดบทเรียนร่วมกันค่ะ อย่าพลาดนะคะ ชอบอ่านฝีมีอปรมาจารย์ค่ะ