สารพันปัญหาเกี่ยวกับการจัดการศึกษาบ้านเราที่หลายคนรู้ ในมุมมองครูผู้สอนคนหนึ่งหนักหนาสาหัสครับ ที่สำคัญเมื่อพิจารณาแนวโน้มหรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อๆไป ก็ยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อยู่ดี วิธีหรือแนวทางการปรับปรุงแก้ไขที่คิดและลงมือกระทำกันนั้น เหมือนไม่กล้าแตะตัวปัญหาอย่างจริงจัง อาจเพราะลูบหน้าแล้วปะจมูก หรือก็เห็นว่ายากเช่นกันที่จะเยียวยาต้นตอให้เห็นผลในเร็ววัน นักการเมืองผู้หวังเพียงคะแนนเสียงอย่างรีบเร่ง และปัญหาคอร์รัปชั่นที่รุนแรงน่าจะเป็นเหตุสำคัญ คงไม่ต้องกล่าวหากันเลยเถิดขนาดว่า “บางกลุ่มบางพวกก็อาศัยความไม่รู้ของคนนั่นเองทำมาหากิน”
อันที่จริงตัดพ้อเรื่องเหล่านี้พร้อมฟ้องสาธารณชนมาหลายวาระแล้ว อาทิ เสียงสะท้อนจากครูกังวล-สับสน ศธ.ดึงเทคนิคกวดวิชามาใช้? , เอกภาพ อำนาจ และนักการเมืองกับการถ่ายโอนโรงเรียน , กวดวิชา"Tutor Channel"ถูกต้องหรือถูกใจ? ฯลฯ ก็ได้บ่นระบายบ้าง หลายคนที่ไม่รู้อีกแง่มุมหนึ่งก็อาจรับรู้ การเปลี่ยนแปลงซึ่งหวังให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ผู้ปฏิบัติรู้อยู่เต็มอก ก็มีที่ถูกทิศถูกทางขึ้น
ล่าสุดสรุปปัญหาการจัดการศึกษาที่เคยวิพากษ์วิจารณ์ให้กับเพื่อนครูรุ่นพี่คนหนึ่ง ซึ่งบอกกล่าวให้เขียนเพื่อนำเสนอระดับบริหารตามที่ท่านกำลังจะมีโอกาสเข้าพบ ตัวเองบันทึกไว้อย่างนี้ครับ
- การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามพ.ร.บ.การศึกษาหรือหลักสูตร ไม่ก้าวหน้าอย่างที่ควร น่าจะมีสาเหตุใหญ่มาจากระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัย และเกณฑ์ประเมินคุณภาพโรงเรียนด้วยผลสอบโอเน็ตโดยสมศ. นอกจากนั้น วัฒนธรรมไทยเองบางอย่าง อาทิ เด็กไม่ควรเถียงผู้ใหญ่ ลูกน้องไม่ควรเถียงเจ้านาย ฯลฯ ก็น่าจะเป็นสาเหตุด้วย ที่สำคัญดูจะแก้หรือเปลี่ยนแปลงยากมาก
- เมื่อการจัดการเรียนการสอนเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามพ.ร.บ.การศึกษาหรือหลักสูตรไม่ก้าวหน้าอย่างที่ควร เสียงบ่นเกี่ยวกับนร.คิดวิเคราะห์-สังเคราะห์ไม่เป็น จึงยังคงก้องกังวานต่อไป ผลการวัดในระดับนานาชาติหรือPISA เราก็คงรั้งท้ายชาติอื่นอีกเรื่อยๆ ซึ่งทำให้การแข่งขันด้านต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของบ้านเราสู้เขาไม่ได้
- การถ่ายโอนโรงเรียนไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หลักการดี แต่การปฏิบัติยังเป็นปัญหาอยู่มาก โรงเรียนไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับก่อนโอน เพราะท้องถิ่นไม่ลึกซึ้งหรือไม่เข้าใจถ่องแท้ เหตุเพราะการศึกษาไม่อาจเห็นผลรวดเร็วอย่างที่นักการเมืองต้องการ
- งานครูที่โรงเรียนมากเกินไป หมายถึง มากกว่าเวลาที่มีในแต่ละวัน จนกระทั่งอาจทำให้ครูหลายคนละเลยการจัดการเรียนการสอน ซึ่งเป็นหัวใจหรือเป็นหน้าที่หลักของตนเอง อันจะส่งผลต่อการจัดการศึกษาของชาติโดยรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- ช่วงเวลานี้ การติว การกวดวิชา หรือการสอนพิเศษ ซึ่งไม่ใช่วิถีตามที่หลักสูตรหรือพ.ร.บ.การศึกษากำหนด กำลังระบาดหนักเข้าไปในโรงเรียน หรือเข้าไปถึงการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนปกติแล้ว สาเหตุหลักน่าจะมาจากการวัดมาตรฐานโรงเรียนด้วยผลสอบโอเน็ต
- การจัดการเรียนรู้ในโรงเรียน ซึ่งจัดตามหลักสูตร เน้นเนื้อหาสาระมากเกินไป จนกระทั่งโรงเรียนไม่สามารถปลูกฝังกระบวนการเรียนรู้ซึ่งเป็นหัวใจให้กับเด็กๆได้ นอกจากนั้นเวลาเรียนอันมากมาย(หรือทั้งวันของเด็กๆ)ทั้งที่โรงเรียนและไม่ใช่ นับเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อกระบวนการพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ พัฒนาจิตใจให้เป็นคนดี อยู่ในศีลธรรมจรรยา รวมถึงสร้างความตระหนักในเรื่องศิลปะ ดนตรี และกีฬา ฯลฯ ซึ่งจะนำไปสู่สุนทรียภาพ และสุขภาพที่แข็งแรง เกิดสังคมที่น่าอยู่อย่างที่ทุกคนปรารถนา
- การประเมินคุณภาพโรงเรียนหรือการประเมินอื่นๆซึ่งเกิดขึ้นที่โรงเรียนในปัจจุบันมีมากมายหลายอย่าง ส่วนใหญ่เน้นประเมินที่เอกสาร ทำให้ครูมีภาระนอกเหนือจากการสอนเพิ่มขึ้น แถมการวัดประเมินมักมีลักษณะเอื้อช่วยหรือเป็นการประเมินไปอย่างนั้นๆ ไม่ได้จริงจังอะไร ขอให้มีหลักฐานเอกสารก็จะถือว่าผ่านเกณฑ์ ทำให้ผลการประเมินต่างๆมักไม่ได้รับความเชื่อถือจากสังคม นำไปใช้หรือนำไปเป็นเกณฑ์พัฒนาอย่างจริงจังไม่ได้
เอาเถอะ! ในที่สุดแล้ว เราซึ่งมีอาชีพครู งานที่มีเกียรติและน่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง แถมเป็นบุญกุศลอย่างแท้จริง ก็คืองานจัดการเรียนรู้ ดังนั้นถ้าจะมองเชิงบวกแบบครู แล้วลองลืมปัญหาทุกเรื่อง แม้กระทั่งความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันและกันของแต่ละปัจจัย รวมถึงผลกระทบต่างๆที่อาจเกิด แนวทางปฏิรูปการศึกษาไม่น่าจะยากอย่างที่หลายคนคิด ไม่ต้องลงทุนงบประมาณมากมายดังที่กระทำอยู่ แถมน่าจะเห็นผลสัมฤทธิ์ชัดเจนกว่าวิธีอื่นๆด้วย “ปฏิรูปการจัดการศึกษาที่โรงเรียนและที่ห้องเรียน”ครับ
ต้องเน้นการเรียนการสอนในห้องเรียนให้เป็นหัวใจอย่างแท้จริง งานอื่นที่อ้อมเกินไป หรือขนาดต้องพยายามอธิบายว่ามันเกี่ยวกับการเรียนการสอนอย่างไรควรละเลิกให้หมด แต่ละวันของการทำงานทั้งผู้บริหารและครูจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับห้องเรียน ห้องไหน เป็นอย่างไรแล้วบ้าง ปัญหาอุปสรรค ความสำเร็จ เมื่อวานเพราะอะไร วันนี้จะใช้วิธีใด จึงจะเหมาะสมกว่าหรือสนองการเรียนรู้ของเหล่าลูกศิษย์ได้ทันท่วงที อาจเป็นสัปดาห์ละครั้งที่ผู้เกี่ยวข้องจะพูดคุยกันถึงเรื่องเหล่านี้ เมื่อได้ทางออกหรือแนวทาง ก็ไปเริ่มไปลองกันใหม่อีกในชั้นเรียน กรณีที่พอมีเวลาหรือเจอะเจอปัญหาซับซ้อนยากจะแก้ไขโดยลำพัง ก็อาจต้องเข้าไปร่วมกันสังเกตเพื่อเก็บข้อมูล ดังหลายตัวอย่างดีๆจากบันทึกของท่านรองผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด หรือท่านรองฯวิชชา ครุปิติ ในgotoknowแห่งนี้
หนึ่งเดือนก็สรุปร่วมกันเป็นคณะใหญ่ครั้งหนึ่ง ประชุมประจำเดือนต้องมีวาระนี้ตลอด และต้องถือเป็นเรื่องหลักหรือสำคัญสุด ที่ทั้งผู้บริหารและครูจะร่วมถกตามแนวคิดแต่ละคน เพื่อให้ได้แนวทางการจัดการเรียนรู้ในบริบทของศิษย์แต่ละคน แต่ละห้องเรียน หรือตามบริบทของโรงเรียนตัวเอง ทำซ้ำๆอย่างนี้ ตราบที่การจัดการเรียนการสอนยังต้องดำเนินไป จนเกิดวัฒนธรรมการทำงานใหม่ของทุกคนในโรงเรียน
แผนจัดการเรียนรู้ที่ใช้สอนจริงของครูต้องมีให้กับคณะผู้นิเทศติดตามที่จะสุ่มตามดูกระบวนจัดการเรียนรู้ของแต่ละคนอย่างสม่ำเสมอจริงจัง ครูที่มีหน้าที่ในคณะนี้น่าจะต้องมีชั่วโมงสอนน้อยกว่าคนอื่นสักครึ่งหนึ่ง สำหรับแผนฯที่ครูต้องแสดงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั้น ไม่ต้องวิลิศมาหรา รวมทั้งไม่ต้องมีรายละเอียดมาก เพียงเขียนให้รู้ว่าวันใด จะสอนเรื่องอะไร เพื่ออะไร ด้วยวิธีไหน ใช้สื่ออะไร ประเมินอย่างไร อย่างละบรรทัดก็พอ หนึ่งแผนครึ่งหน้ากระดาษ หรือมากสุดก็หนึ่งหน้าอะไรทำนองนั้น ที่สำคัญกว่าควรเป็นบันทึกหลังสอนแล้ว ว่านักเรียนตอบรับ พึงพอใจ มีความรู้ ความดี หรือได้เรียนรู้อะไรบ้าง ตลอดจนปัญหาอุปสรรค และความสำเร็จ เช่นกันครูบันทึกสั้นๆก็พอ เพราะวงสนทนาระหว่างเพื่อนครู(PLC)ในทุกๆสัปดาห์ จะต้องอภิปรายกันอย่างละเอียดลอออยู่แล้ว
เชื่อเลยว่าแค่ทำง่ายๆอย่างนี้ให้เป็นวัฒนธรรมใหม่ของโรงเรียน หมายถึง หากผิดเพี้ยนไปโรงเรียนจะถูกตำหนิอย่างรุนแรงจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ชุมชน สังคม หรือจากผู้รับผิดชอบ ถ้าถึงขนาดนั้นได้ จะสามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเลยทีเดียวในเรื่องการศึกษาของบ้านเรา ไม่ต้องห่วงกังวลเรื่องผลสอบโอเน็ต ผลเปรียบเทียบในระดับนานาชาติหรือPISA นักเรียนคิดวิเคราะห์ไม่เป็น หรือคุณธรรมจริยธรรม ฯลฯ เพราะเหล่านี้จะตามมาเองกับวัฒนธรรมใหม่ ด้วยการจัดการศึกษาโดยเน้นห้องเรียนเป็นสำคัญ
ความฝันการศึกษาในปี 2020 ครับ หรือจะกว่านั้นก็ไม่มีใครว่าอะไร
(พิมพ์ในมติชนรายวัน , 23 กันยายน 2555)
อ่านทั้งหมด แล้วมองภาพรวมออกมา จะเห็นความเป็นไทยของเราชัดเจน นะครับ บันทึกนี้ก็คนไทย ผมก็คนไทย หลายอย่างที่เสนอนั้นดีมากครับ แค่คิดก็ต้องชื่นชมแล้ว หากแต่การนำสู่การปฏิบัติ ต้องพึ่งอุดมการณ์มากเหมือนกัน จะมีสักกี่คนที่ปรารถนา ผมแสดงความคิดเห็นแบบนี้ อาจไม่ถูกใจ ก็ตำหนิกันได้นะครับ
ผมเห็นความทุ่มเทของอาจารย์มาตลอดนะครับ บางครั้งผมอ่านบันทึกนี้ไป ใจก็ยังคิดว่า ง่ายๆเลย หากเรามีตังส์ก็ไปเรียนมันเมืองนอกเลย น่าจะง่ายกว่าการค้นหาระบบที่สมบูรณ์ของบ้านเรานะ
จริงๆ ในแง่ของคนที่รับบริการด้านการศึกษา เขาก็พัฒนาไปกันไปเยอะแล้วครับ ระบบจะต้องมอง โลกทั้งใบ หากมองอย่างนี้เราก็จะเห็นภาพชัดขึ้น ขอบคุณบันทึกดีๆ และความทุ่มเทนะครับ :)
ปัญหาการจัดการเรียนการสอน ผู้แก้ปัญหาได้ดีที่สุดคือ ครู ผู้สอน ครับ
ขอเป็นกำลังใจให้ครู ผู้สอนคะ
หากแต่หลักสูตรการเรียนการสอนนั้น
แก้ไขและปรับเปลี่ยนได้ แต่ต้องใช้เวลา
จึงคิดเห็นว่า ครูผู้สอน ถือเป็นจิ๊กซอชิ้นสำคัญ
ในการพัฒนา คิดค้นวิธีการเรียนการสอน โดยใช้เทคโนโลยีที่
มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สอนเพื่อศิษย์คิดต่อยอด
คงแก้ไขปัญหาการเรียนกวดวิชาได้ไม่มากก็น้อยคะครูธนิตย์
เวลาที่มืดที่สุดคือเวลาใกล้สว่างค่ะอาจารย์ หวังว่ารุ่งเช้าที่สว่างไสวกับการศึกษาไทยจะมาถึงเร็วๆ นี้
อย่าเพิ่งท้อนะคะอาจารย์ :)
ขอบคุณที่ช่วยกันคิด..ช่วยกันย้ำทางแก้ไข..และทำให้เห็นเป็นตัวอย่างดีๆค่ะ..
สวัสดีค่ะ
เห็นด้วยค่ะ เน้นห้องเรียนเป็นสำคัญ มีสื่ออุปกรณ์พอเพียงสำหรับนักเรียน
แล้วผลโอเน็ตหรืออะไรต่างๆก็จะตามมาเองค่ะ
ขอบคุณบันทึกดีๆค่ะ
มีอีกอย่างที่อยากทำคือ การเปลี่ยนวัฒนธรรมการสร้างแรงจูงใจของกระทรวงกับผลลัพธ์ที่ครอบคลุมทุกด้าน อ่านบันทึกนี้แล้ว ได้ปัญญามากขึ้นครับ ขอบคุณครับ
สู้ๆนะครับคุณครู เป็นกำลังใจให้ครับ..
ขอบคุณมากสำหรับการเยี่ยมชมเป็นกำลังใจให้กับอาชีพครูที่ต้องไปตามลู่ทางที่หน่วยงานชี้นำ มีแต่การประชุมและประเมินภายใน จึงละทิ้งห้องเรียนโดยปริยายเพราะครูแต่ละท่านก็มีภาระงานเช่นกัน เป็นเช่นกันที่ นักเรียนจะร้อง เฮๆๆ...ครูไม่สอน..อยากสอนแต่เตรียมต้อนรับประเมินภายในสำคัญมากกว่า หุหุ..
ขอบคุณกำลังใจจากคุณราเชนทร์ จำนงการครับ
สวัสดีครับท่านอ.ธนิตย์
วันวานไปกรุงเทพฯ ระหว่างรอ หยิบหนังสือพิมพ์มติชนมาอ่านเจอะบทความ สร้างวัฒนธรรมใหม่“ห้องเรียนเป็นสำคัญ” อ่านดูเห็นชื่อผู้เขียนรู้สึกคุ้น ๆ มาตรวจสอบดู ใช่เลยคนกันเอง เป็นแง่คิดมุมมองที่น่าคิด และไปสู่การปฏิบัติไปจริง เช่น การชวนคุยในวงเล็กๆ ของครู ก่อนการพูดคุยกันในวงใหญ่ในแต่ละเดือน จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กร
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ
เข้ามาสนับสนุนอย่างเต็มที่ครับ ผมชอบแนวคิดของ อ.ธนิตย์ มาตั้งแต่ยังไม่รู้จักกัน จากการอ่านบทความในหนังสือพิทพ์มติชน ชอบใจในแนวคิดครับ และก็ติดตามผลงานการเรียนการสอน ที่เป็นการปฏิรูปการศึกษาอย่างง่ายๆ ไม่หวือหวา แต่พัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนในห้องเรียน
ขอชื่นชมในแนวคิดและความพยายามในการจัดการเรียนการสอนของอาจารย์ครับ