เพิ่งจะผ่านไปไม่นานกับ HA Forum 7th เมื่อมีนาคม 2549 ผ่านมาประมาณ 6 -7 เดือนแล้ว ทางสถาบันฯ ได้เตรียม theme สำหรับการประชุม HA Forum 8th ในปีหน้า ซึ่งได้วาง theme ไว้คือ “Quality and Humanized Healthcare” หรือ “จากคุณภาพ...สู่การดูแลที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์” จึงอยากฟังข้อเสนอแนะ/ความคิดเห็นจากผู้รักการพัฒนาคุณภาพทุกท่านค่ะ พอลล่าได้ตัดข้อความบางส่วนมาจากท่านผู้อำนวยการ
** พูดถึง "การดูแลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์" ที่จริงบุคลากรในวงการ
สาธารณสุข "ถูกฝังหัว" มานานแล้ว ที่จะให้ถือปฏิบัติเช่นนั้น จนหลาย
คนก็กลายเป็น "คนของประชาชน" โดยอัตโนมัติ...(ไม่ได้หยิบยืม
ศัพท์ของนักการเมืองมาใช้หรอกนะ)
** ถามว่า ณ ปัจจุบันทำไมต้องนำมาพูดกันแล้วพูดกันอีก เป็นไปได้ใหมว่า
เป็นเพราะผลพวงจากนโยบาย "การลดคน"ในระบบราชการ ถ้าหากว่า
คุณ Paula wara เป็นพยาบาลหรือแพทย์หรือเภสัชกร คงพอจะเห็น
สายตาของผู้ใช้บริการที่จับจ้องผู้ให้บริการพร้อมกับการรอคอย......
ที่จะได้รับในสิ่งที่แต่ละเจ้าของความคิด แต่ละเจ้าของความคาดหวังต้อง
การ ซึ่งบางครั้งเขาเหล่านั้นลืมไปว่า ผู้ให้บริการเองก็มีหัวใจความเป็น
มนุษย์ที่พร้อมจะแสดงออกมาเป็น "พฤติกรรมบริการ" ตลอดเวลา..แต่
เพียงเพราะความเร่งรีบทำงานแข่งกับเวลา ผนวกกับความไม่ช่างเจรจา
คิดว่าทำงานตลอดเวลาเขาก็เห็นอยู่คงเข้าใจ...ก่อเกิด "ปมมฤตยู"จาก
เล็กๆจนได้ที่...สุดท้ายเมื่อเกิดการร้องเรียน...ยากนักที่จะคลายปม
ทั้งจากใจผู้ให้และผู้รับบริการ แถมยังก่อเกิด "ปมด่างและปมด้อย" ฝัง
ลึกยากจะถ่ายถอน
** สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นในสถานบริการสาธารณสุขภาครัฐหลายแห่งทั่วประเทศ
แม้จะไม่มีการวิเคราะห์สังเคราะห์กันอย่างแพร่หลาย เราก็คงปฏิเสธไม่ได้
ว่านี่คือหนึ่งตัวแปร ที่ก่อให้เกิดปัญหาในระบบบริการ จนนักวิชาการต้อง
คิดค้นวืธีแก้ไขโดยเน้นการบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ ซึ่งจะได้ผล
ในระยะยาวแค่ไหนก็ไม่รู้นะ....เพราะที่แน่ๆ.."คนน้อย..งานมาก..
คุณภาพดี(เยี่ยม)..เปี่ยมด้วยคุณธรรม"..แต่ค่าตอบแทนและสวัสดิการ
คงที่(เอ๊ะ..หรือกำลังจะลดลงนะ) แล้วเป็นไง...บุคลากรเดินออกไป
ถ่ายเทหัวใจความเป็นมนุษย์ แถวๆสถานบริการเอกชนมากขึ้นทุกที บาง
คนต้องเกษียณตัวเองก่อนวาระอันควร...ช่วยวิเคราะห์หน่อยว่าเป็นการ
แก้ที่ตรงประเด็นหรือยัง
มาทักทาย เจอความคิดเห็นข้างบน อึ้งๆๆๆ ขอไปคิดก่อนนะ
สวัสดีครับ
สพฺพปาปสฺส อกรณํ
กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ
เอตํ พุทฺธาน สาสนํ . . . ฯ ๑๘๓ ฯ
ไม่ทำความชั่วทุกชนิด
ทำแต่ความดี
ทำใจให้ผ่องใส
นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
Abstention from all evil,
Cultivation of the wholesome,
Purification of the heart;
This is the Message of the Buddhas.
เป็นงานที่ต้องเสียสละมาก ถ้าไม่ใช่เพราะใจ คงมาทำไม่ได้นานหรอกค่ะ เพราะงานที่ทำได้รับแรงกดดันรอบด้าน คนมารับบริการก็น่าเห็นใจ โดยเฉพาะภาครัฐ demand>supply
ขอชื่นชมและเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านค่ะ
สวัสดีครับ รู้สึกรูปแสงจะเยอะไปนิดส์ เลยจำไม่ค่อยได้ (ซวย เอ๊ย สวยขึ้นครับ)
ความเมตตาคือหัวใจบริการ
มีดวงมาลย์สูงค่ากว่าสิ่งไหน
คนเจ็บปวดต้องการกำลังใจ
เพียงยิ้มให้พูดด้วยโปรดช่วยกัน
ดีครับผมเป็นสมาชิกใหม่ Maxi~Natadeeมารายงานตัวครับ
สวัสดีค่ะคุณpaula ที่ปรึกษา~natadee
วันนี้เด็ก ๆ ของพี่คิมรออ่านบันทึกของน้องพอลล่าค่ะ
และขอให้พี่คิมนำบันทึกนี้มาส่งข่าวให้ค่ะ
ขอบคุณนะคะ ..คุณ paula
ที่เข้าไปอ่านบันทึก..และคอมเม้นท์ให้ด้วย!
มีกำลังใจขึ้นเยอะเลยล่ะค่ะ
ความเมตตาคือหัวใจบริการ
มีดวงมาลย์สูงค่ากว่าสิ่งไหน
คนเจ็บปวดต้องการกำลังใจ
เพียงยิ้มให้พูดด้วยโปรดช่วยกัน
..ใช่ค่ะ..เห็นด้วย..กับคุณเก็จถะหวา
เพียงแค่ ขอมือเธอหน่อย กับรอยยิ้มน้อยๆ แค่นี้ก็พอใจ
จับมือผู้ป่วยซักนิด ยิ้ม(ฝืนยิ้มก็ได้)ให้สักหน่อย
เชื่อว่าผู้ป่วยก็ยิ้มให้คุณเช่นกัน
อยู่จังหวัดพิษณุโลกค่ะ ขอบคุณนะค่ะที่ไปเยี่ยมบ้านเรา ชื่อตุ๊กค่ะ น่ารักจังเลยนะ อย่าทำงานหนักนะค่ะ
สวัสดีค่ะ ... sunlady_niec
พอลล่าจะแวะไปอีกนะคะ ... อยู่นนทบุรีค่ะ กระทรวงสาธารณสุขค่ะ ลองเข้าไปที่บล็อกเรื่องเล่าของพอลล่านะคะ .... ขอบคุณค่ะ
สวัสดีตอนเช้าเจ้าค่ะ พี่พอลล่า(สุดสวย)
กว่าจะหาบล็อกพี่พอลล่าเจอ
ชอบเนื้อหามากๆเลยค่ะ
สวัสดีค่ะ น้องพอลล่า
ขอบคุณนะที่แวะมาให้กำลังใจ สำหรับผู้ที่แอบอ่านเรื่องเล่าของน้อง เหมือนได้รู้จักเลยนะเนียะ ขอบคุณนะ
สวัสดีครับ แค่ชื่อก็กินขาดแล้วครับ รู้สึกซาบซึ้งมาก ...ผมมีเหตุการณ์ที่ประทับใจการดูแล ช่วยของพยาบาล และอยู่ในความทรงจำตลอดมา ... ตอนนั้นประมาณปี พศ. 2536 ตอนนั้นผมเรียนอยู่ปี 2 กำลังจะขึ้นปี 3 ที่ มอ.ปัตตานี ช่วงปิดภาคฤดูร้อน ประมาณ มีนาคม - เมษายน ผมไปออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท ที่อำเภอสุคีริน จังหวัดนราธิวาส เพื่อสร้างอาคารเรียนชั่วคราวที่ โรงเรียนตำรวจตะเวนชายแดนสุคีริน ซึ่งเป็นกิจกรรมหลักส่วนตัวผม ทุกปี ต้องไปค่ายอาสา ไม่รู้ทำไม ต้องไป แต่ก็ไปทุกครั้งไป เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นประมาณ วันศุกร์ ช่วงสาย ๆ ขณะที่ชาวค่ายฯ ได้ดำเนินการวางผังพื้นที่เรียบร้อยเพื่อเตรียมการก่อสร้าง ก็มีสาวน้อยบอบบางคนหนึ่ง เธอเป็นเลขานุการค่ายอาสาฯ เกิดปวดท้องขึ้นมาอย่างรุนแรง ผมอยู่แถว ๆ นั้นพอดี จึงได้รับมอบหมายให้อุ้มเธอไปนอนพัก ในห้องเรียนซึ่งอยู่บนเนินสูงขึ้นไป ประมาณ 50 เมตร เราสร้างโรงเรียนบริเวณชั้นล่าง เธอนอนปวดท้องอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งวัน เธอบอกว่า อาจจะเป็นช่วงเวลาของผู้หญิงประจำเดือน ...เพราะหากเป็นช่วงนั้น เธอมักจะปวดท้องมาก เป็นปกติ จึงไม่มีใครสนใจมากนัก ยกเว้นเพื่อนสนิท ชาวค่ายด้วยกัน ที่ผลัดกันมาดูเธอเป็นระยะ ๆ จึงถึงประมาณ ช่วงบ่าย มีคณะตำรวจ จากในเมือง มาเยี่ยมค่าย หัวหน้าชุดก็เดินเยี่ยม น้อง ๆ นักศึกษา ตามจุดต่าง ๆ และเมื่อท่านทราบว่ามีนักศึกษาคนหนึ่ง นอนปวดท้องอยู่ ก็เมตตา ให้รถกระบะของตำรวจ ไปส่งที่โรงพยาบาลสุคีริน ผมก็ไปกับ เธอด้วยเพราะ เราเป็นเพื่อน เรียนวิชาเอกเดียวกัน ... ระหว่างการเดินทาง เนื่องจากรถตำรวจเป็นรถกระบะตอนเดียว เธอก็นั่วไปข้างหน้าพร้อมกับเพื่อนผู้หญิงอีกหนึ่งคน ผมและเพื่อนผู้ชายอีกคนก็นั่วไปข้างหลัง และเมื่อรถเลี้ยงผ่านชายเขา แห่งหนึ่งตำรวจที่นั่งอยู่เป็นเพื่อนข้างหลังสองคน ก็ยกปืนขึ้นทำท่าเตรียมพร้อม และบอกพวกเราเบา ๆ ว่า หมอบ ๆ หน่อย เพราะแถวนี้ตำรวจมักจะโดนซุ่มโจมตีเป็นประจำ ผมนี้เราก็ใจหายแว๊บเลย ...เลย พอผ่านจุดนั้นไปได้ ก็โล่งอกไปทั้งคัน เราไปถึงโรงพยาบาลสุคิริน ประมาณ 3 โมงเย็นได้ พยาบาลบอกว่า คุณหมอไปงานแต่งงานที่ จังหวัดปัตตานี แล้วเราจะทำอย่างไรได้ ก็ต้องนอนรอคุณหมอ อีกหนึ่งคืน ที่ รพ.สุคีริน คนป่วยจึงต้องนอนร้องให้ ปวดท้องทั้งคืน รอหมอ ... พยาบาลก็จัดให้เพีบงยาพาราเซตตามอล เท่านั้น เวลาล่วงไปช่วงบ่ายของวันเสาร์ หมอก็ยังไม่มา .... คนป่วยก็นอนร้องให้ บอกว่า ปวดท้อง ๆ อยู่ตลอดเวลา พยาบาลก็เดินมาปรึกษาว่า จะให้พี่ทำเรื่องส่งตัวไปโรงพยาบาลสุไหงโกลกไหม เพราะไม่แน่ใจว่าหมอจะมาตอนไหน พวกเรา...ที่เฝ้าเธออยู่จึงตัดสินใจของให้พยาบาลส่งตัวเธอไป ที่รพ.สุไหงโกลก.. เราไปถึงที่รพ.ประมาณ เกือบหกโมงเย็น...หมอเฉพาะทางกลับหมดแล้ว มีแต่หมอเวรตรวจอาการขั้นต้น และให้นอนฟัง 1 คืน เพื่อดูอาการ แต่พอตอนดึกมีหมอศัลย์เข้ามาดู และใหพยาบาลฉีดยาเพื่อสีบางอย่างเพื่อตรวจดูภายในช่องท้อง และเอ็กซเรย์บอกว่าอาจจะเป็นไส้ติ่ง...แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เราก็เดินตามไปดูที่บอร์ดพยาบาลเห็นพยาบาลกำลังบันทึกหมอสั่งผ่าตัดตอนเช้า 10โมง... บ่าย 2 โมง เธอออกจากห้องผ่าตัด คุณหมอพูดว่า ...เธอเข้มแข็งมาก... ไส้ติ่งแตกประมาณ 3 วัน แล้ว...
ผมเข้าใจเอาเองว่า ปาฎิหารย์ที่ช่วยให้เธอรอดปลอดภัย คือ การที่เธอเป็นคนที่จิตใจดี อ่อนโยน ชอบช่วยเหลือคนอื่น ทำให้เธอเป็นที่รักของเพื่อน ๆ และคนที่รู้จัก หลังผ่าตัดเธอต้องอยู่พักฟื้นที่โรงพยาบาลเกือบ 2 อาทิตย์ เพราะต้องหมอต้องดูดหนองออกจากช่องท้องทุกวัน และต้องฉีดยาประมาณ 120 เข็ม เรียกว่า เจอเข็มเมื่อไร เธอเป็นจะร้องให้ออกมาทุกที เพราะนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ผมขอขอบคุณพยาบาลที่โรงพยาบาลสุคีรินอีกครั้ง ที่การตัดสินใจถูกต้อง และทันเวลา สามารถ ช่วยเหลือชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ....และเธอคนนั้นคือ ภรรยาที่รักของผมในปัจจุบัน....