ระยะหลัง ผมมี “งานเข้า” บ่อยเหลือเกิน
งานเข้าที่ว่านี้ หมายถึง การต้องทำหน้าที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ปั้นแต่งหน้าตาร่วมงานโน้นงานนี้แทนผู้บริหาร ทั้งงานที่ว่าด้วยงานบุญงานทาน งานสุข งานโศก
โดยปกติ ผมไม่ค่อยชอบทำตัวเป็นผู้หลักผู้ใหญ่นั่งหัวโต๊ะ หรือชุดรับแขกในเวทีต่างๆ
นั่นไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าตัวเองยัง “เด็ก” แต่เพราะรู้สึกเสมอว่าตัวเองเป็นคนไม่ชอบพิธีการอะไรมาก ไม่ชอบแต่งตัวให้ดูเป็นการทาง ไม่ชอบนั่งสำรวมๆ วางมาดสงบงาม
ครับ, ผมเป็นคนประเภท “คนเบื้องหลัง”
ผมเป็นคนประเภทไม่ชอบอ่านคำกล่าวรายงานต่อท่านประธาน แต่จะให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเป็นผู้ดำเนินการเอง ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ท่านนั้น จะเป็นลูกจ้าง หรือข้าราชการก็เถอะ ขอให้เป็นผู้รับผิดชอบหลักในงานนั้นๆ ผมก็มักให้เกียรติและให้โอกาสกับเจ้าหน้าที่ท่านนั้นเป็นผู้กล่าวรายงานด้วยตัวเองเสมอ
เช่นเดียวกัน, ผมก็ไม่ค่อยหลงใหลการเป็นประธานเปิดงานต่างๆ สักเท่าไหร่ เพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่ถูกโฉลกกับงานพรรค์นี้
ตรงกันข้าม ผมชอบมีอิสระกับการลุกนั่ง เดินเหินไปยังที่ต่างๆ เพื่อทำหน้าที่สังเกตการณ์และบันทึกภาพต่างๆ ด้วยตัวเอง
สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นบุคลิกของผมโดยแท้ และเป็นสิ่งที่ใครต่อใครก็เริ่มที่จะคุ้นชินกับสไตล์ของผมกันมากขึ้น
แต่ก็ต้องยอมรับว่า ในโลกแห่งชีวิตและการงานนั้น สิ่งเหล่านี้ มันมักผูกโยงกับสถานะของเราเสมอ... ไม่มีใครปราศจากหน้าที่ เราต่างมีบทบาท หรือหัวโขนที่จะต้องสวม เราล้วนมีท่วงทำนองที่ต้องโลดเต้น เพราะนั่นคือกาละ, นั่นคือ พันธะ, นั่นคือการให้ความเคารพต่อการงาน หรือสังคมของเรื่องนั้นๆ
ด้วยเหตุเช่นนี้ ระยะหลังผมถึงเริ่มเจอภาวะ "งานเข้า" อย่างเลี่ยงไม่ได้
ผมเริ่มต้องขบคิดและทำการบ้านในเรื่องเหล่านี้มากขึ้น จะไปงานในแต่ละที่ เริ่มต้องคิดเผื่อไว้ล่วงหน้าว่าอาจต้องเจออะไรบ้าง
และที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ การเรียนรู้ที่จะร้องเพลงให้เป็น เรียนรู้ที่จะฟ้อนรำให้เป็น เพราะสองอย่างนี้ บรรดาลูกน้องมักร้องขอ หรือแกมบังคับให้แสดงออกอยู่เนืองๆ...
ระยะแรก ผมถึงขั้นลงทุนควักเงินเป็นหลักพันเพื่อแลกกับการไม่ต้องร้องเพลงในเวทีต่างๆ...
แน่นอนครับ ผมเป็นคนขี้อาย ร้องเพลงไม่เป็น, อายและเขินอายเป็นที่สุดหากต้องจับไมค์ร้องเพลง
เรียกได้ว่า ให้กระโดดตึกตายยังง่ายกว่าเป็นไหนๆ
แต่เจอเข้าบ่อยๆ ชักไม่ไหว -
ไม่ไหวในที่นี้ ไม่ใช่ว่าจ่ายเงินไม่ไหวหรอกนะครับ แต่เริ่มรู้สึกว่า เราทำตัวชายขอบมากขึ้นทุกที เราไม่ปรับตัว และเราไม่ให้เกียรติกับงานและผู้คนในบริบทนั้นๆ ด้วยเหมือนกัน
ในเรื่องทำนองเดียวกันนั้น การต้องออกไปฟ้อนรำในเวทีต่างๆ ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมหนักอกหนักใจเป็นที่สุด ผมมักหลบมุมในห้วงเวลานี้เสมอ...พอบรรยากาศผ่านพ้นไป ผมค่อยพาตัวเองเข้ามาในบรรยากาศของงาน หรือไม่ก็แกล้งลุกไปทำหน้าที่บันทึกภาพแทนอยู่เนืองๆ...
ทั้งสองอย่าง ซึ่งหมายถึงการร้องเพลง และการฟ้อนรำในเวทีต่างๆ จึงกลายเป็นเรื่องที่ใครๆ มักสนใจ หรือใครรู้ ใคร่เห็นจากตัวผมเสมอมา
ผมคิดเองว่า พวกเขามีทั้งที่อยากเห็นผมในอารมณ์นั้น หลังจากคุ้นชินกับภาพเคร่งขรึม เข้มงวด..และบางขณะ พวกเขาก็ใคร่ที่จะเห็นผมในมุมเด๋อๆ เปิ่นๆ ด้วยเหมือนกัน
สิ่งเหล่านี้ยอมรับว่า สำหรับผมแล้ว มันยากยิ่งพอสมควร เพราะผมค่อนข้างอ่อนด้อยต่อเรื่องพรรค์นี้มาตั้งแต่เด็ก...
ล่าสุด คืนที่ผ่านมา (๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓)
ผมจำต้องรับบทประธานเปิดกิจกรรมรอบกองไฟในการปฐมนิเทศนิสิตโควตานักกีฬาและศิลปวัฒนธรรมที่จัดขึ้น ณ อุทยานแห่งชาติภูพาน จังหวัดสกลนคร
ผมมองทะลุเลยว่า ยังไงเสียค่ำคืนนี้ ผมก็คงหลีกไม่พ้นภาระหน้าที่นี้อย่างแน่นอน
ก่อนงานจะเริ่มเพียงเล็กน้อย ผมพยายามเว้าวอนให้คนอื่นๆ ได้รับหน้าที่นั้นแทน แต่จนแล้วจนรอด ลูกทีมทั้งหลายก็ปลงใจเป็นหนึ่งเดียวว่า งานนี้ผมไม่มีสิทธิ “ปฏิเสธ”
ผมเริ่มวิเคราะห์เลยว่า ภายหลังการกล่าวเปิดงาน ผมจำต้องรำวงเปิดกิจกรรมรอบกองไฟอย่างแน่แท้ ซึ่งนั่นแหละที่ผมเรียกว่า “งานเข้า” ...
ผมได้รับพวงมาลัยสไตล์บ้านป่ามาหนึ่งพวง พร้อมกับมีนิสิตสาวสวยที่สวมบทบาทสาวรำวงบ้านป่ามาโค้งให้ผมออกไปฟ้อนรำรอบกองไฟ ซึ่งผมปฏิเสธไม่ได้จริงๆ...
นั่นคือครั้งแรกที่ผมต้องฟ้อนรำในเวทีเช่นนั้น มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้ทำในสิ่งที่ผมไม่คุ้นชิน (เขินอาย) หรือหลีกหลบมาตลอดชีวิต...
ผมรู้ดีว่าทุกอย่างต้องมีการเริ่มต้น และผมก็รู้ดีว่า ผมเหมาะที่จะแสดงออกอย่างไร ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่า ผมรู้ตัวดีว่า ผมไม่มีความสามารถในเรื่องของการร้องเพลงและฟ้อนรำเลยสักนิด แต่ทุกอย่างมันเป็นไปตามบทบาท หน้าที่...ทุกอย่างมีห้วงทำนองของมันเอง...
ครับ ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม มันยากก็ตรงการเริ่มต้นนี่แหละ-
ทันทีที่ผมเริ่มฟ้อนรำ กรีดกรายไปตามบทบาทและหน้าที่ นิสิตและลูกทีมก็ออกอาการ ฮือฮา...มีการลั่นชัตเตอร์ถี่ยิบ พร้อมกับยิ้ม หรือแม้แต่อมยิ้มเป็นระยะๆ จนผมร้องแซวว่า ภาพทุกภาพต้องเสนอให้ผมพิจารณาก่อน จึงจะสามารถเผยแพร่ได้...
สำหรับครั้งนี้ ผมก็ยังยืนยันว่า ทุกอย่างต้องมีการเริ่มต้น (ซึ่งมันยากก็ตรงเริ่มต้นนี่แหละ) แต่ผมก็รู้ตัวดีว่า ถ้าเป็นไปได้ ผมก็ยังอยากที่จะหลีกเลี่ยงภาวะเช่นนี้อยู่วันยังค่ำ...เพราะผมไม่เหมาะ และไม่สันทัดเอาซะเลย
.................................................................................
ปล..
พอผมรำเปิดวงเสร็จ ฝนห่าใหญ่ก็โปรยเม็ดสาดซัดลงไม่หยุด ทำเอากิจกรรมรอบกองไฟต้องยุติลงอย่างกะทันหัน
จนน้องๆ ในทีมงานร้องทักแซวมาว่า “เป็นเพราะผมแท้ๆ...”
ทุกสิ่งจะไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าไม่มีการเริ่มต้น
สงสัยฝนฟ้าจะตกใจ อิอิ
ยินดีกับการฟ้อนรำครั้งแรกนะคะ แม้ยังไม่เห็นภาพ พอจินตนาการออก
ไปบอกไผใครเค้าสิเชื่อคะหนุ่มโรมันกะติก ไว้จะมาชมอีกรอบ สุขสันต์นะคะ
ท่านคงทำได้ดีเพราะเป็นนักกิจกรรม ผมแรกๆ สมัยเป็นผู้สอนถ้าเขาให้ร้องเพลงซื้อเหล้าไว้จ้างคนร้องเพลงเก่งๆร้องแทน
ทุกวันนี้ต้องปรับตัว ต้องมีเพลงหากิน เหมือนเขาว่านักร้องงานเลี้ยงยังไงยังงั้นแหละ
ถ้าเราไม่ตอบสนองคนเชิญ เขาเสียหน้า เสียความรู้สึก เพราะเขาให้เกียรติเราครับ
สวัสดีค่ะ
ปรบมือให้ค่ะ อ่านไปลุ้นไป ก็ไม่ต้องแห่นางแมวใช่ไหมคะ รำวงแล้วฝนตก ต่อไปต้องเชิญไปรำที่พิษโลกบ้างฝนแล้งจัง
จึงเป็นที่ชอบใจของคณะนี้ใช่ไหมคะ
รู้สึกผมจะเจอคนคนคอเดียวกันแล้วครับ ฮิฮิ แต่ดูแล้วกองเชียร์จะมีความสุขมากนะครับ
สวัสดีครับ..พี่ครูอรวรรณ
ผมไม่ได้เขียนบันทึกนานมาก เพราะมีภารกิจการเดินทางอย่างต่อเนื่องและยาวนาน เพียงไม่ถึงเดือนผมไปมาหลายจังหวัดมากครับ ไม่ว่าจะเป็นสกลนคร-ชลบุรี-อุตรดิตถ์-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่ และวกกลับมาที่สกลนคร อีกรอบ...
สำหรับบันทึกนี้ ผมมีแรงคิดมาจากการไปร่วมงานต่างๆ ซึ่งในระยะหลัง ต้องเป็นมวยแทนอย่างไม่รู้ตัวมาก่อน...
จนที่สุดแล้ว ก็ปลงคิดได้ว่า เราต้องเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ ถ้าเปลี่ยนได้โดยไม่ทำให้ตัวเองเสียหาย ก็ลองน่าจะต้องทำๆ ดูบ้าง...แต่ก็ยอมรับครับว่า ด้วยความไม่คุ้นเคยมาก่อน พลอยให้เราเคอะเขินเอามากๆ...มันก็ยากด้วยการเริ่มต้นนี่แหละครับ...
แต่ที่แน่ๆ...นี่คือครั้งแรกที่ต้องฟ้อนรำต่อที่สาธารณะ...
ส่วนประเด็นเรื่องฝนนั้น จะเกี่ยวกันหรือไม่ อันนี้ผมไม่ทราบได้, แต่คิดขำๆ ..สงสัย ฝนฟ้าตกใจกับการฟ้อนรำของผมด้วยก็เป็นได้-ใครจะไปรู้
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ คุณปู poo
จนบัดนี้ ก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นภาพการฟ้อนของตัวเองเลย...คงพิลึกกึกกือไม่ใช่ย่อย ช่วงที่รำๆ ไปนั้น รู้สึกว่าโลกมันดูเวิ้งว้างยังไงพิกล ดีหน่อย น้องนิสิตชวนคุย หยอกล้อไปตลอดเวลา พลอยให้เราไม่รู้สึกเคอะเขิน หรือแบกรับอะไรๆ จนรู้สึกหนักอึ้ง...กระนั้น ก็ยังรู้สึกว่า เพลงที่รำวงอยู่นั้น ช่างยาวซะเหลือเกิน...
ครับ, คนเรา ก็คงหลีกไม่พ้นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามบทบาท สถานะ คงไม่มีใครปลีกวิเวก เป็นปัจเจกได้เสียทั้งหมด...
แต่ถ้าเลือกได้ เลี่ยงได้, เรื่องพรรค์นี้ ก็ยังอยากที่จะยกธงอยู่วันยังค่ำแหละครับ
สวัสดีครับ pis.ratana
แรกเริ่ม ผมรบเร้าให้คุณก้องวัฒนพงษ์ หัวหน้างานกีฬา ได้ทำหน้าที่นี้แทน แต่เจ้าตัวออกตัวอย่างสุภาพ พอมองไปหาคนอื่นๆ ก็สิ้นหวัง...เลยได้แต่ทำใจและเตรียมพร้อมรับมืออย่างทระนง...
ก่อนเพลงจะเปิดตัวขึ้น ผมถึงขั้นชวน หรือแม้แต่สั่งแบบกลายๆ ให้ทีมงานลุกมาช่วยกันฟ้อนให้คึกคัก (แก้เขิน) ซึ่งก็มีหลายคนออกมาเรียงแถวฟ้อนเป็นเพื่อน...โดยมีนิสิตฟ้อนตามเป็นขบวนยาวเหยียด สนุกสนาน...
จริงนะครับ, ถ้าผมทำเช่นนี้แล้ว มันทำให้ฝนตกได้จริงๆ ผมจะไม่รีรอ หรือลังเลที่จะไปรำไปฟ้อนที่บ้านเกิดของผม เอามันตรงทุ่งนาของตัวเองนี่แหละ เพราะตอนนี้ มันก็ช่างแล้ง และร้อนจนน่าใจหาย, ไม่รู้จะมีน้ำให้ทำนา หรือเปล่า...
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ ท่าน ผอ.พรชัย
ผมเห็นด้วยกับทัศนะของอาจารย์อย่างมากเลยครับ ดังว่า
ถ้าเราไม่ตอบสนองคนเชิญ เขาเสียหน้า เสียความรู้สึก เพราะเขาให้เกียรติเรา
เพราะนั่นคือสิ่งที่ผมเรียนรู้-เรียนรู้ที่จะตอบสนอง...
หรือเรียนรู้ที่จะรู้ว่า อะไรๆ มันก็ยากที่การเริ่มต้นนี่แหละ...
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ คุณธรรมทิพย์
สิ่งหนึ่งที่ผมไม่พูดชัดในบันทึกนี้ก็คือ ผมเป็นคนประเภทชอบทำงานเพื่อสังคมอยู่บ้าง แต่ไม่ค่อยชอบเข้าสังคมสักเท่าไหร่...ไม่ใคร่ที่จะฝืนตัวเองกับการต้องเสพวัฒนธรรมแบบพบปะสังสรรค์ ยิ่งเป็นงานประเภทมีพิธีการมากๆ ยิ่งไม่ค่อยชอบ
และรู้ดีว่า เรื่องเหล่านี้ มันเป็นเรื่องของความเป็นสังคมในอีกมิติหนึ่ง...และเราต่างก็ล้วนเป็นสัตว์สังคมด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้น ก็คงไม่มีใครได้ทำตามอำเภอใจของตัวเองเสียทั้งหมด..ได้อย่างเสียอย่าง..
ครับ, เราล้วนเป็นรอยยิ้มของกันและกัน...
นั่นคือ สิ่งที่ผมเข้าใจ...และคิดว่า คงต้องเรียนรู้ที่จะเข้าสู่สังคมอย่างไม่เคอะเขินเหมือนวันที่ผ่านมา (บ้างแล้วกระมัง)
ขอบคุณครับ
เอาใจช่วยกับทุกย่างก้าวค่ะ
555 รำไม่ดีโทษฟ้าโทษฝน 555
คราหน้าเอาใหม่ครับ...
ผมจะได้ไปฝึกด้วย...
อันที่ไม่เคยนี่..ยากจริง ๆ ละครับ
สวัสดีค่ะ ...พี่นัส
แอ๋วค่ะ ไม่รู้ว่ายังจำกันได้หรือเปล่า...พยาบาลรุ่นเดียวกับปุ๋ม..สบายดีนะคะ แอบเข้ามาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ แต่ไม่เคยได้ post สักที...ยังคิดถึงชาวดินเสมอ
เอารูปฟ้อนรำมาลงให้ดูหน่อยนะอ้ายย
อ้าว ยังไม่เห็นภาพรึคะ จะรอดูเช่นกันค่ะคุณแผ่นดิน
เปิดเทอมใหม่ สองหนุ่มน้อยคงสนุกสนานกับการเรียน
มาทายทัก วันข้าว วันชาวนา และวันสิ่งแวดล้อมค่ะ ;)
อ้าว คงจะรำสวยจริงๆ ^-^
ช่วงนี้อยากให้มองฟ้ายามเย็นจะเห็นหมวกเมฆสีรุ้งค่ะ