คิดเรื่องงาน (57) : ทุกอย่างต้องมีการเริ่มต้น (ซึ่งมันยากก็ตรงเริ่มต้นนี่แหละ)


นั่นคือครั้งแรกที่ผมต้องฟ้อนรำในเวทีเช่นนั้น มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้ทำในสิ่งที่ผมไม่คุ้นชิน (เขินอาย) หรือหลีกหลบมาตลอดชีวิตที่ผ่านมา

ระยะหลัง  ผมมี “งานเข้า”  บ่อยเหลือเกิน
          งานเข้าที่ว่านี้ หมายถึง  การต้องทำหน้าที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ปั้นแต่งหน้าตาร่วมงานโน้นงานนี้แทนผู้บริหาร  ทั้งงานที่ว่าด้วยงานบุญงานทาน งานสุข งานโศก
          โดยปกติ  ผมไม่ค่อยชอบทำตัวเป็นผู้หลักผู้ใหญ่นั่งหัวโต๊ะ หรือชุดรับแขกในเวทีต่างๆ 
         นั่นไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าตัวเองยัง “เด็ก”  แต่เพราะรู้สึกเสมอว่าตัวเองเป็นคนไม่ชอบพิธีการอะไรมาก  ไม่ชอบแต่งตัวให้ดูเป็นการทาง  ไม่ชอบนั่งสำรวมๆ วางมาดสงบงาม 

         

 

          ครับ, ผมเป็นคนประเภท “คนเบื้องหลัง”  
         
ผมเป็นคนประเภทไม่ชอบอ่านคำกล่าวรายงานต่อท่านประธาน  แต่จะให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเป็นผู้ดำเนินการเอง  ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ท่านนั้น จะเป็นลูกจ้าง หรือข้าราชการก็เถอะ ขอให้เป็นผู้รับผิดชอบหลักในงานนั้นๆ  ผมก็มักให้เกียรติและให้โอกาสกับเจ้าหน้าที่ท่านนั้นเป็นผู้กล่าวรายงานด้วยตัวเองเสมอ

          เช่นเดียวกัน,  ผมก็ไม่ค่อยหลงใหลการเป็นประธานเปิดงานต่างๆ สักเท่าไหร่  เพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่ถูกโฉลกกับงานพรรค์นี้  
         ตรงกันข้าม  ผมชอบมีอิสระกับการลุกนั่ง เดินเหินไปยังที่ต่างๆ  เพื่อทำหน้าที่สังเกตการณ์และบันทึกภาพต่างๆ ด้วยตัวเอง 

          สิ่งเหล่านี้  ล้วนเป็นบุคลิกของผมโดยแท้  และเป็นสิ่งที่ใครต่อใครก็เริ่มที่จะคุ้นชินกับสไตล์ของผมกันมากขึ้น

          แต่ก็ต้องยอมรับว่า  ในโลกแห่งชีวิตและการงานนั้น  สิ่งเหล่านี้  มันมักผูกโยงกับสถานะของเราเสมอ... ไม่มีใครปราศจากหน้าที่  เราต่างมีบทบาท หรือหัวโขนที่จะต้องสวม  เราล้วนมีท่วงทำนองที่ต้องโลดเต้น   เพราะนั่นคือกาละ, นั่นคือ พันธะ,  นั่นคือการให้ความเคารพต่อการงาน หรือสังคมของเรื่องนั้นๆ 

          ด้วยเหตุเช่นนี้  ระยะหลังผมถึงเริ่มเจอภาวะ  "งานเข้า" อย่างเลี่ยงไม่ได้
          ผมเริ่มต้องขบคิดและทำการบ้านในเรื่องเหล่านี้มากขึ้น  จะไปงานในแต่ละที่ เริ่มต้องคิดเผื่อไว้ล่วงหน้าว่าอาจต้องเจออะไรบ้าง
          และที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ  การเรียนรู้ที่จะร้องเพลงให้เป็น  เรียนรู้ที่จะฟ้อนรำให้เป็น  เพราะสองอย่างนี้ บรรดาลูกน้องมักร้องขอ หรือแกมบังคับให้แสดงออกอยู่เนืองๆ...
          ระยะแรก ผมถึงขั้นลงทุนควักเงินเป็นหลักพันเพื่อแลกกับการไม่ต้องร้องเพลงในเวทีต่างๆ...
          แน่นอนครับ  ผมเป็นคนขี้อาย  ร้องเพลงไม่เป็น, อายและเขินอายเป็นที่สุดหากต้องจับไมค์ร้องเพลง 
         เรียกได้ว่า ให้กระโดดตึกตายยังง่ายกว่าเป็นไหนๆ
         แต่เจอเข้าบ่อยๆ ชักไม่ไหว  -
         ไม่ไหวในที่นี้  ไม่ใช่ว่าจ่ายเงินไม่ไหวหรอกนะครับ  แต่เริ่มรู้สึกว่า เราทำตัวชายขอบมากขึ้นทุกที  เราไม่ปรับตัว  และเราไม่ให้เกียรติกับงานและผู้คนในบริบทนั้นๆ ด้วยเหมือนกัน

 

 

ในเรื่องทำนองเดียวกันนั้น  การต้องออกไปฟ้อนรำในเวทีต่างๆ ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมหนักอกหนักใจเป็นที่สุด  ผมมักหลบมุมในห้วงเวลานี้เสมอ...พอบรรยากาศผ่านพ้นไป  ผมค่อยพาตัวเองเข้ามาในบรรยากาศของงาน หรือไม่ก็แกล้งลุกไปทำหน้าที่บันทึกภาพแทนอยู่เนืองๆ...
          ทั้งสองอย่าง ซึ่งหมายถึงการร้องเพลง และการฟ้อนรำในเวทีต่างๆ จึงกลายเป็นเรื่องที่ใครๆ มักสนใจ หรือใครรู้ ใคร่เห็นจากตัวผมเสมอมา 
          ผมคิดเองว่า  พวกเขามีทั้งที่อยากเห็นผมในอารมณ์นั้น  หลังจากคุ้นชินกับภาพเคร่งขรึม เข้มงวด..และบางขณะ พวกเขาก็ใคร่ที่จะเห็นผมในมุมเด๋อๆ เปิ่นๆ ด้วยเหมือนกัน 
          สิ่งเหล่านี้ยอมรับว่า  สำหรับผมแล้ว  มันยากยิ่งพอสมควร  เพราะผมค่อนข้างอ่อนด้อยต่อเรื่องพรรค์นี้มาตั้งแต่เด็ก...

 

 

ล่าสุด  คืนที่ผ่านมา (๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓) 

          ผมจำต้องรับบทประธานเปิดกิจกรรมรอบกองไฟในการปฐมนิเทศนิสิตโควตานักกีฬาและศิลปวัฒนธรรมที่จัดขึ้น ณ อุทยานแห่งชาติภูพาน จังหวัดสกลนคร
          ผมมองทะลุเลยว่า  ยังไงเสียค่ำคืนนี้  ผมก็คงหลีกไม่พ้นภาระหน้าที่นี้อย่างแน่นอน 
          ก่อนงานจะเริ่มเพียงเล็กน้อย  ผมพยายามเว้าวอนให้คนอื่นๆ  ได้รับหน้าที่นั้นแทน  แต่จนแล้วจนรอด  ลูกทีมทั้งหลายก็ปลงใจเป็นหนึ่งเดียวว่า งานนี้ผมไม่มีสิทธิ “ปฏิเสธ”  
          ผมเริ่มวิเคราะห์เลยว่า  ภายหลังการกล่าวเปิดงาน  ผมจำต้องรำวงเปิดกิจกรรมรอบกองไฟอย่างแน่แท้  ซึ่งนั่นแหละที่ผมเรียกว่า “งานเข้า” ...
          ผมได้รับพวงมาลัยสไตล์บ้านป่ามาหนึ่งพวง  พร้อมกับมีนิสิตสาวสวยที่สวมบทบาทสาวรำวงบ้านป่ามาโค้งให้ผมออกไปฟ้อนรำรอบกองไฟ ซึ่งผมปฏิเสธไม่ได้จริงๆ...

          นั่นคือครั้งแรกที่ผมต้องฟ้อนรำในเวทีเช่นนั้น  มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้ทำในสิ่งที่ผมไม่คุ้นชิน (เขินอาย)  หรือหลีกหลบมาตลอดชีวิต...

 

 

          ผมรู้ดีว่าทุกอย่างต้องมีการเริ่มต้น และผมก็รู้ดีว่า ผมเหมาะที่จะแสดงออกอย่างไร  ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่า  ผมรู้ตัวดีว่า ผมไม่มีความสามารถในเรื่องของการร้องเพลงและฟ้อนรำเลยสักนิด แต่ทุกอย่างมันเป็นไปตามบทบาท หน้าที่...ทุกอย่างมีห้วงทำนองของมันเอง...


          ครับ ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม  มันยากก็ตรงการเริ่มต้นนี่แหละ-
          ทันทีที่ผมเริ่มฟ้อนรำ กรีดกรายไปตามบทบาทและหน้าที่  นิสิตและลูกทีมก็ออกอาการ ฮือฮา...มีการลั่นชัตเตอร์ถี่ยิบ พร้อมกับยิ้ม หรือแม้แต่อมยิ้มเป็นระยะๆ  จนผมร้องแซวว่า  ภาพทุกภาพต้องเสนอให้ผมพิจารณาก่อน จึงจะสามารถเผยแพร่ได้...
          สำหรับครั้งนี้  ผมก็ยังยืนยันว่า  ทุกอย่างต้องมีการเริ่มต้น  (ซึ่งมันยากก็ตรงเริ่มต้นนี่แหละ)  แต่ผมก็รู้ตัวดีว่า ถ้าเป็นไปได้  ผมก็ยังอยากที่จะหลีกเลี่ยงภาวะเช่นนี้อยู่วันยังค่ำ...เพราะผมไม่เหมาะ และไม่สันทัดเอาซะเลย

        .................................................................................         

          ปล..

          พอผมรำเปิดวงเสร็จ  ฝนห่าใหญ่ก็โปรยเม็ดสาดซัดลงไม่หยุด  ทำเอากิจกรรมรอบกองไฟต้องยุติลงอย่างกะทันหัน 

          จนน้องๆ ในทีมงานร้องทักแซวมาว่า “เป็นเพราะผมแท้ๆ...”

 

คำสำคัญ (Tags): #คิดเรื่องงาน
หมายเลขบันทึก: 362461เขียนเมื่อ 30 พฤษภาคม 2010 14:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:59 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (20)

ทุกสิ่งจะไม่มีวันสิ้นสุด ถ้าไม่มีการเริ่มต้น

สงสัยฝนฟ้าจะตกใจ  อิอิ

ยินดีกับการฟ้อนรำครั้งแรกนะคะ แม้ยังไม่เห็นภาพ พอจินตนาการออก

ไปบอกไผใครเค้าสิเชื่อคะหนุ่มโรมันกะติก ไว้จะมาชมอีกรอบ สุขสันต์นะคะ

  • ครูแผ่นดิน ใช้คำว่า "เว้าวอน"
  • พยายามนึกท่าทางเว้าวอนของผู้ชายตัวโตๆ แต่นึกไม่ออก
  • และสงสัยว่าคราวหน้า ครูแผ่นดิน คงต้องรำวงนำหน้าขบวนแห่งนางแมวแน่ๆ เลย
  • ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ

ท่านคงทำได้ดีเพราะเป็นนักกิจกรรม ผมแรกๆ สมัยเป็นผู้สอนถ้าเขาให้ร้องเพลงซื้อเหล้าไว้จ้างคนร้องเพลงเก่งๆร้องแทน

ทุกวันนี้ต้องปรับตัว ต้องมีเพลงหากิน เหมือนเขาว่านักร้องงานเลี้ยงยังไงยังงั้นแหละ

ถ้าเราไม่ตอบสนองคนเชิญ เขาเสียหน้า เสียความรู้สึก เพราะเขาให้เกียรติเราครับ

  • ทุกอย่างต้องมีจุดเริ่มต้นจริง ๆ ค่ะ
  • บางครั้งเราต้องปรับตัวเข้ากับสังคมแม้บางทีมันไม่ "ถูกใจ"
    แต่มัน "ถูกต้อง"  ก็ต้องทำนะคะ...เคยเจอหลายเหตุการณ์เดี๋ยวนี้ต้องทำใจ
    และเตรียมพร้อมค่ะ
  • ขอบพระคุณที่แบ่งปันประสบการณ์ชีวิตค่ะ
  • เคยเหมือนกันค่ะ
  • ที่อิดออดแบบนี้
  • แต่พอได้ออกไปที
  • คราวนี้ฉุดไม่อยู่ค่ะ
  • แบบ.. ฉุดเข้ามานั่งนะคะ
  • ท่าฟ้อนพอทำเนาค่ะ
  • แต่เสียงร้อง(เพลง)นี่สิคะ
  • แป๋มถือคติว่า..
  • "การร้องเพลงของแป๋ม เป็นปัญหาของผู้ฟังค่ะ"
  • ร้องเสียงแบบนี้ ทนฟังได้รึเปล่า.. ฮ่า ฮ่า..
  • ทุกอย่างต้องมีการเริ่มต้นเสมอค่ะ..
  • เป็นกำลังใจให้ผู้ฟ้อน  และนักร้องหน้าใหม่คนนี้นะคะ.
  • **^_^**

สวัสดีค่ะ

ปรบมือให้ค่ะ อ่านไปลุ้นไป  ก็ไม่ต้องแห่นางแมวใช่ไหมคะ  รำวงแล้วฝนตก  ต่อไปต้องเชิญไปรำที่พิษโลกบ้างฝนแล้งจัง

จึงเป็นที่ชอบใจของคณะนี้ใช่ไหมคะ

รู้สึกผมจะเจอคนคนคอเดียวกันแล้วครับ ฮิฮิ แต่ดูแล้วกองเชียร์จะมีความสุขมากนะครับ

สวัสดีครับ..พี่ครูอรวรรณ

ผมไม่ได้เขียนบันทึกนานมาก  เพราะมีภารกิจการเดินทางอย่างต่อเนื่องและยาวนาน  เพียงไม่ถึงเดือนผมไปมาหลายจังหวัดมากครับ ไม่ว่าจะเป็นสกลนคร-ชลบุรี-อุตรดิตถ์-ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่ และวกกลับมาที่สกลนคร อีกรอบ...

สำหรับบันทึกนี้  ผมมีแรงคิดมาจากการไปร่วมงานต่างๆ ซึ่งในระยะหลัง ต้องเป็นมวยแทนอย่างไม่รู้ตัวมาก่อน...

จนที่สุดแล้ว  ก็ปลงคิดได้ว่า  เราต้องเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่  ถ้าเปลี่ยนได้โดยไม่ทำให้ตัวเองเสียหาย ก็ลองน่าจะต้องทำๆ ดูบ้าง...แต่ก็ยอมรับครับว่า ด้วยความไม่คุ้นเคยมาก่อน  พลอยให้เราเคอะเขินเอามากๆ...มันก็ยากด้วยการเริ่มต้นนี่แหละครับ...

แต่ที่แน่ๆ...นี่คือครั้งแรกที่ต้องฟ้อนรำต่อที่สาธารณะ...
ส่วนประเด็นเรื่องฝนนั้น จะเกี่ยวกันหรือไม่ อันนี้ผมไม่ทราบได้, แต่คิดขำๆ ..สงสัย ฝนฟ้าตกใจกับการฟ้อนรำของผมด้วยก็เป็นได้-ใครจะไปรู้

ขอบคุณครับ

 

สวัสดีครับ คุณปู poo

จนบัดนี้ ก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นภาพการฟ้อนของตัวเองเลย...คงพิลึกกึกกือไม่ใช่ย่อย ช่วงที่รำๆ ไปนั้น รู้สึกว่าโลกมันดูเวิ้งว้างยังไงพิกล ดีหน่อย น้องนิสิตชวนคุย หยอกล้อไปตลอดเวลา พลอยให้เราไม่รู้สึกเคอะเขิน หรือแบกรับอะไรๆ จนรู้สึกหนักอึ้ง...กระนั้น ก็ยังรู้สึกว่า เพลงที่รำวงอยู่นั้น ช่างยาวซะเหลือเกิน...

ครับ, คนเรา ก็คงหลีกไม่พ้นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามบทบาท สถานะ  คงไม่มีใครปลีกวิเวก เป็นปัจเจกได้เสียทั้งหมด...

แต่ถ้าเลือกได้ เลี่ยงได้, เรื่องพรรค์นี้ ก็ยังอยากที่จะยกธงอยู่วันยังค่ำแหละครับ

  • มาแสดงความเห็นใจและเข้าใจค่ะ  เพราะพี่ก็เป็นอย่างนี้ ร้องกะรำไม่เป็น 
  • ไปงานเลี้ยงกับเพื่อน  เพื่อนสบายใจได้เลยไม่ชิงไมค์แน่นอน
  • เห็นท่าหัวเราะของสองหนุ่ม  มันเกี่ยวกับการฟ้อนรำของน้องหรือเปล่า?
  • อิๆๆๆๆ  ป้าเห็นแล้วนึกจินตนาการภาพพ่อสองหนุ่มฟ้อนรำกับสาวสวย
  • ผิดหรือถูก ไม่ทราบนะ ..แต่คิดไปแล้ว ...55555555555

สวัสดีครับ pis.ratana

แรกเริ่ม ผมรบเร้าให้คุณก้องวัฒนพงษ์ หัวหน้างานกีฬา ได้ทำหน้าที่นี้แทน แต่เจ้าตัวออกตัวอย่างสุภาพ  พอมองไปหาคนอื่นๆ ก็สิ้นหวัง...เลยได้แต่ทำใจและเตรียมพร้อมรับมืออย่างทระนง...

ก่อนเพลงจะเปิดตัวขึ้น  ผมถึงขั้นชวน หรือแม้แต่สั่งแบบกลายๆ ให้ทีมงานลุกมาช่วยกันฟ้อนให้คึกคัก (แก้เขิน)  ซึ่งก็มีหลายคนออกมาเรียงแถวฟ้อนเป็นเพื่อน...โดยมีนิสิตฟ้อนตามเป็นขบวนยาวเหยียด สนุกสนาน...

จริงนะครับ, ถ้าผมทำเช่นนี้แล้ว มันทำให้ฝนตกได้จริงๆ  ผมจะไม่รีรอ หรือลังเลที่จะไปรำไปฟ้อนที่บ้านเกิดของผม เอามันตรงทุ่งนาของตัวเองนี่แหละ  เพราะตอนนี้ มันก็ช่างแล้ง และร้อนจนน่าใจหาย, ไม่รู้จะมีน้ำให้ทำนา หรือเปล่า...

ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ ท่าน ผอ.พรชัย

ผมเห็นด้วยกับทัศนะของอาจารย์อย่างมากเลยครับ ดังว่า

ถ้าเราไม่ตอบสนองคนเชิญ เขาเสียหน้า เสียความรู้สึก เพราะเขาให้เกียรติเรา

เพราะนั่นคือสิ่งที่ผมเรียนรู้-เรียนรู้ที่จะตอบสนอง...

หรือเรียนรู้ที่จะรู้ว่า อะไรๆ มันก็ยากที่การเริ่มต้นนี่แหละ...

ขอบพระคุณครับ

สวัสดีครับ คุณธรรมทิพย์

สิ่งหนึ่งที่ผมไม่พูดชัดในบันทึกนี้ก็คือ  ผมเป็นคนประเภทชอบทำงานเพื่อสังคมอยู่บ้าง แต่ไม่ค่อยชอบเข้าสังคมสักเท่าไหร่...ไม่ใคร่ที่จะฝืนตัวเองกับการต้องเสพวัฒนธรรมแบบพบปะสังสรรค์ ยิ่งเป็นงานประเภทมีพิธีการมากๆ ยิ่งไม่ค่อยชอบ

และรู้ดีว่า เรื่องเหล่านี้ มันเป็นเรื่องของความเป็นสังคมในอีกมิติหนึ่ง...และเราต่างก็ล้วนเป็นสัตว์สังคมด้วยกันทั้งนั้น  ดังนั้น ก็คงไม่มีใครได้ทำตามอำเภอใจของตัวเองเสียทั้งหมด..ได้อย่างเสียอย่าง..

ครับ, เราล้วนเป็นรอยยิ้มของกันและกัน...

นั่นคือ สิ่งที่ผมเข้าใจ...และคิดว่า คงต้องเรียนรู้ที่จะเข้าสู่สังคมอย่างไม่เคอะเขินเหมือนวันที่ผ่านมา (บ้างแล้วกระมัง)

ขอบคุณครับ

เอาใจช่วยกับทุกย่างก้าวค่ะ

555 รำไม่ดีโทษฟ้าโทษฝน 555

คราหน้าเอาใหม่ครับ...

ผมจะได้ไปฝึกด้วย...

อันที่ไม่เคยนี่..ยากจริง ๆ ละครับ

สวัสดีค่ะ ...พี่นัส

แอ๋วค่ะ ไม่รู้ว่ายังจำกันได้หรือเปล่า...พยาบาลรุ่นเดียวกับปุ๋ม..สบายดีนะคะ แอบเข้ามาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ แต่ไม่เคยได้ post สักที...ยังคิดถึงชาวดินเสมอ

เอารูปฟ้อนรำมาลงให้ดูหน่อยนะอ้ายย

อ้าว ยังไม่เห็นภาพรึคะ จะรอดูเช่นกันค่ะคุณแผ่นดิน

เปิดเทอมใหม่ สองหนุ่มน้อยคงสนุกสนานกับการเรียน

มาทายทัก วันข้าว วันชาวนา และวันสิ่งแวดล้อมค่ะ ;)

อ้าว คงจะรำสวยจริงๆ ^-^

ช่วงนี้อยากให้มองฟ้ายามเย็นจะเห็นหมวกเมฆสีรุ้งค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท