๓. เป็นหอยสังข์และเทพผู้คุ้มครองพ่อแม่ : อำนาจวรรณกรรมและการอ่าน


"...เมื่อล้อเรื่องนี้ พวกผมกลับรู้สึกถึงน้ำเสียงของความภูมิใจต่อลูกหลานของพ่อแม่และพวกผู้ใหญ่..."

           มื่อตอนเป็นเด็กอยู่ในวัยเรียนชั้นประถมศึกษา ผมก็คงจะเหมือนกับเด็กๆ ทั่วไปที่มักเต็มไปด้วยความอยากรู้เห็น อยากได้ประสบการณ์ใหม่ อยากทำงานและกิจกรรมชีวิตอย่างที่ผู้ใหญ่ทำได้ อีกทั้งเต็มไปด้วยจินตนาการและความฝัน ยิ่งบ้านเกิดเป็นบ้านนาป่าดงอย่างยิ่ง ก็ยิ่งจินตนาการถึงโลกภายนอกไปต่างๆ นาๆ

           ยังจำได้ว่า ครั้งหนึ่ง ครูถามว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร พวกผมก็คิดกันแทบตาย คิดไม่ออกสักอย่าง บางคนก็บอกอยากเป็นตำรวจ  เพราะเคยเห็นตำรวจไปไล่จับชาวบ้านเล่นโบกแถวหมู่บ้าน  อยากเป็นทหาร  เพราะเคยเห็นทหารไปรบตามป่าและไปอยู่ในหมู่บ้าน  อยากเป็นครู  อยากเป็นหมอ เพราะครูเป็นที่รักและเกรงกลัวของเด็กๆ เห็นหมอเข้าไปปลูกฝีที่โรงเรียน

           ผมนั้น ตอนแรกบอกอยากเป็นกระเป๋ารถเมล์ เพราะมีรถเมล์วิ่งผ่านโรงเรียนไปอำเภอและเห็นกระเป๋าทำโน่นนี่เยอะดี ทั้งครูและเพื่อนๆ ขบขันกันมาก เมื่อเลื่อนชั้นสูงขึ้นจาก ป 2 เป็น ป 3 พอคุณครูถามอีก คราวนี้ผมเลยเลือกเป็นคนที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอ คืออยากเป็นนายอำเภอ เพราะเคยเห็นไปตรวจโรงเรียนและใครต่อใครก็ยอมให้หมด

           หลังจากนั้น พวกผู้ใหญ่และญาติพี่น้อง ก็มักจะล้อผมว่า ไอ้นายอำเภอ ไอ้นายอำเภอ ก่อนจบก็อยากเป็นคนขับรถแทร๊กเตอร์  เพราะคนขับรถแทร๊คเตอร์ขุดสระน้ำให้โรงเรียนและหมู่บ้าน

           ความที่เป็นชุมชนกันดารบ้านป่าแดนดงอย่างนั้น ทุกอย่างจากภายนอกชุมชน เมื่อเข้าไปในหมู่บ้าน ก็จะกลายเป็นของแปลก น่าสนใจ น่าตื่นเต้น ชวนอัศจรรย์ใจไปหมด โดยเฉพาะมอเตอร์ไซคล์กับรถยนต์ที่เข้าไปบรรทุกข้าวหลังหน้าเก็บเกี่ยวและนวดข้าว ซึ่งในยุคนั้นก็เป็นรถฮีโน่และอีซูซุหัวโตๆ ที่เวลาติด พวกผู้ใหญ่ก็ต้องช่วยกันเอาเหล็กข้อเหวี่ยง  แหย่เข้าไปหมุนเครื่อง ให้เครื่องยนต์ติด 

            เวลามีรถยนต์และรถมอเตอร์ไซคล์เข้าไปในหมู่บ้าน จะได้ยินเสียงแต่ไกล พวกเด็กๆ มักจะหูผึ่งจนเนื้อเต้น เล่นอะไรอยู่ก็จะต้องทิ้งและวางมือ  พลันก็รวมตัวโดยเร็วแล้วก็แข่งกันวิ่งออกไปรับ พอใกล้ถึงก็จะซุ่มข้างทางเพราะกลัวผู้ใหญ่ที่ขับรถจะเห็นและจำรายตัวเอาไปฟ้องพ่อแม่พวกเรา

            ตอนนั้น ผู้คนดูเหมือนว่ารู้จักและเหมือนเป็นญาติพี่น้องกันไปหมดทั้งอำเภอ รถจะวิ่งไปตามทางเกวียน จึงวิ่งได้ช้า พอรถวิ่งมาถึงและผ่านหน้า  พวกเราก็จะกรูกันออกไปวิ่งตามหลังฝุ่นตลบ หากเป็นรถมอเตอร์ไซค์  ก็วิ่งไล่ดมควันจากท่อไอเสียแล้วก็ทำเสียงรถไล่ตามไปอยู่ข้างหลัง พอเป็นรถยนต์บรรทุกข้าว ก็ต้องพยายามไล่เกาะท้าย แล้วก็ยกเท้าขึ้นโหนต่องแต่ง ไม่ว่าจะมากี่คัน พวกผมก็จะวิ่งไล่ไปจนพ้นละแวกบ้าน แค่นี้แหละครับ ที่ถือว่าสนุกกับสิ่งที่แปลกและทันสมัยที่สุด  แต่ต้องใช้จินตนาการช่วยมากหน่อย

            ขาออกจากหมู่บ้านก็วิ่งอีก ซึ่งเคยเล่นกันเพลินจนรถขึ้นถนนใหญ่  วิ่งเร็วกว่าที่เคยรู้จัก ทำให้ลงจากรถไม่ได้  ก็ร้องไห้จ้ากันอยู่บนกองข้าวเปลือกบนรถ  ผู้ใหญ่ที่ขับรถได้ยินก็หยุด จากนั้นมาก็เข็ด ไม่วิ่งไล่และเกาะท้ายรถตอนขาออกหมู่บ้าน

            อีกแหล่งประสบการณ์ที่นำไปสู่การได้เล่นและใช้ชีวิตแบบเด็กๆด้วยกันมากก็คือ หนังสือ นิทาน และการสอนที่โรงเรียนของคุณครู วันไหนครูสอนเรื่องสัตว์สวยป่างาม ตกเย็น  พอท่องสูตรคูณและกราบพระเสร็จ ก็กลายเป็นฝูงสัตว์และฝูงนก วิ่งตับแล่บตามทางเกวียนกลับบ้าน  ฝุ่นคลุ้งกระจาย  แต่ในจินตนาการคือบินกลับครับไม่ใช่วิ่งกินฝุ่น  บินกันเป็นฝูงเลย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นอีกากัน เพราะทำเสียงง่ายดี ก๊า ก๊า 

            ยุคนั้น โรงเรียนจะปิดเทอมสามครั้งในหน้าฝนหรือหน้าไถนา หน้าเกี่ยวข้าว และหน้าแล้ง ครั้งละประมาณหนึ่งเดือน เด็กๆก็จะต้องไปช่วยพ่อแม่ทำนา เลี้ยงควาย เล่นและดูแลน้อง ผมเริ่มไถนาเป็นตั้งแต่อยู่ชั้น ป 6  หัวแทบจะยังไม่พ้นหางไถ การได้อยู่และทำงานกับพ่อแม่ไปด้วย จึงได้รับรู้ถึงความเหนื่อยากของพ่อแม่ได้เป็นอย่างดี เมื่อได้เรียนและอ่านหนังสือแล้วมีเรื่องราวให้จินตนาการถึงการช่วยพ่อแม่ หรือทำอะไรได้อย่างผู้ใหญ่ ก็จะแปรไปสู่การเล่น  

            มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่พวกผมเด็กๆก็เกิดจินตนาการและเล่นโดยทำจริงๆ คือเล่นเป็นหอยสังข์กับเหล่าเทวดาและนางไม้ ที่คอยแอบช่วยการงานและคุ้มครองพ่อแม่ ที่มาคือ ได้เรียนและอ่านหนังสือกันที่โรงเรียนเช่นกัน

            วันนั้นพ่อแม่ไปซื้อของที่อำเภอ พอปลอดผู้ใหญ่ ผมกับเพื่อนก็กลายเป็นหอยสังข์กับรุกขเทวดาแล้วแต่อยากจะเลือกเป็นกัน ทำนองว่าจะปรากฏตัวจริงๆ ก็ต่อเมื่อไม่มีพ่อแม่และผู้ใหญ่เห็น ออกมาทำสิ่งที่จะทำให้ผู้ใหญ่และพ่อแม่มีความสุขว่างั้นเหอะ ออกจากเปลือกหอยเป็นเด็กขยันอย่างในเรื่องลูกน้อยหอยสังข์ และออกจากต้นไม้ มาเป็นคนทำงานบ้านรอรับพ่อแม่กลับมา อย่างนิทานเรื่องรุกขเทวดาที่คุณครูเล่าให้ฟัง 

             ช่วยกันถูบ้าน  ตักน้ำใส่ตุ่ม เก็บข้าวของทั่วบ้าน ทำกันกระทั่งบ่าย ทุกอย่างก็ดีไปหมดครับ ช่วยกันหิ้วน้ำใส่ตุ่มเต็มทุกตุ่ม สนุกและไม่เหนื่อยครับ เพราะเป็นรุกขเทวดากันหมดแล้ว ไม่ใช่ตัวจริงที่ขี้เกียจและน่าเคาะกะโหลกทุกตัว 

             แต่แล้ว ก็เจอความเป็นจริงอย่างหนึ่งจากการเล่น ที่เล่นเอาเหล่าหอยสังข์และรุกขเทวดาอยากออกจากร่าง แล้ววิ่งหนีหายให้พ้นจากไม้เรียวของพ่อแม่ อย่างใจจะขาดเลยทีเดียว 

             เรื่องของเรื่องก็คือ.....หลังจากทำอะไรหมดแล้ว ในหนังสือและนิทานลูกน้อยหอยสังข์บอกว่า พ่อแม่ทำงานเหนื่อยยาก น่าสงสาร หอยสังข์และเหล่ารุกขเทวดา ซึ่งคอยดูแลคุ้มครองคนดี ก็จะออกมาเตรียมหุงหาข้าวปลา น้ำท่า ไว้รอพ่อแม่ โดยไม่ให้พ่อแม่รู้ พอพ่อแม่กลับมาก็จะได้ความประหลาดใจและกินข้าวกินปลาอย่างมีความสุข ดังนั้น ลำดับต่อไปพวกผมก็จะต้องปิดท้ายด้วยการหุงข้าวทำอาหารและเตรียมสำรับกับข้าวสิครับ กะว่าเมื่อเสร็จแล้ว ก็จะคืนร่างเป็นเด็กธรรมดาที่ขี้เกียจ ดื้อ มอมแมม และน่าตีเหมือนทุกวัน แล้วก็แอบมีความสุข  

              มาพลาดตรงนี้แหละ เพราะก่อไฟกับหุงข้าวนี่ไม่เคยทำจริงครับ  เคยแต่เห็นข้าวเต็มหม้อทุกที  เลยช่วยกันกับเพื่อนตักข้าวสารใส่หม้อเต็มๆอย่างที่เคยเห็นตอนที่เป็นข้าวสวย แล้วก็ลำดับไม่ถูกอีก เพราะพอเอาน้ำใส่ลงไป แล้วก็หามไปตั้งไว้ข้างเตา จากนั้นจึงค่อยก่อไฟ กลับขั้นตอนไปหมด

              คราวนี้ก็ยุ่งอีกครับ เพราะก่อไฟเป็นชั่วโมงก็ไม่เห็นมันติดอย่างที่แม่ทำสักที เอากาบมะพร้าวใส่แล้วก็นั่งโบกกันอยู่นั่นแล้ว ทำอย่างไรก็ไม่ติด ผ่านไปเป็นชั่วโมง กระทั่งหอยสังข์กับรุกขเทวดาชักเริ่มปอดแหก ต้องแยกกันไปดูต้นทาง แล้วก็ก่อไฟจะหุงข้าว หม้อข้าวที่ใส่ข้าวสารเต็มหม้อพร้อมกับใส่น้ำไปแล้ว ก็ตั้งมันอยู่ข้างเตานั่นแหละครับ  จนบ่ายคล้อย ข้าวก็หุงไม่ได้ น้ำพรงน้ำพริก กับคงกับข้าวอย่างอื่น อย่างที่วางแผนกันว่าจะทำ เลยไม่ต้องพูดถึง

               ที่สุดก็ถอดใจเพราะใกล้เวลาที่พ่อแม่จะกลับแล้ว เลยตัดสินใจเลิกที่จะหุงข้าวและเตรียมสำรับกับข้าว แล้วก็เริ่มกลัวแม่ตีแล้วครับ วิญญาณหอยสังข์และเหล่ารุกขเทวดาออกจากร่างไปตอนไหนแล้วก็ไม่รู้ จึงช่วยกันหิ้วหูหม้อข้าวคนละข้าง หามหม้อข้าวสารใส่น้ำไปเททิ้งที่กอไผ่ข้างบ้าน  

               เสร็จแล้วก็ดับไฟ ทำความสะอาด แล้วก็เผ่นไปทำเป็นเล่นกันอยู่ใต้ถุนบ้าน ไม่นานพ่อแม่และพวกผู้ใหญ่ก็กลับมา ตอนแรกก็มีแต่เรื่องดีๆครับ เจอโอ่งล้างเท้าที่ตีนบันไดมีน้ำอยู่เต็ม พื้นบ้านสะอาดสะอ้าน พ่อแม่ถึงกับออกปากชมเลยเชียว  แต่ผมกับเพื่อนใจเต้นตึ่กๆ  สักพักก็แทบจะลมใส่ เพราะแม่เริ่มเดินเข้าครัวและได้ยินเสียงร้องออกมาว่า ทำไมเตาร้อนเหมือนกับใครก่อไฟ  เสร็จครับ เสร็จ !!!!

               หอยสังข์กับเหล่าเทวดาเลยต้องเดินออกไปสารภาพกัน พ่อแม่ร้องตกอกตกใจ เพราะชาวบ้านจะระวังเรื่องฟืนไฟกัน  เลยก็ต้องเล่าให้พ่อแม่และผู้ใหญ่ฟังอย่างหมดเปลือก อีกทั้งพาไปดูข้าวสารที่เททิ้งไปแล้วอีกด้วย 

               ตอนนั้น กลัวโดนตีเป็นที่สุด นั่งเล่นกันบนลานดินใกล้ๆบ้านอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไพล่รอฟังว่าจะถูกเรียกไปตีกันเมื่อไหร่ การณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด พ่อแม่และญาติๆ หลังจากรู้เรื่อง ก็กลับไม่โวยวายและไม่เรียกพวกเราไปตีอย่างที่มักเป็น ตรงกันข้าม กลับทำท่าเหมือนกับบ่นไปพอเป็นพิธี 

               หลังจากนั้นมา ผมกับเพื่อนที่เป็นหอยสังข์กับเทพผู้คุ้มครองพ่อแม่ ก็มักถูกล้อเล่นหัวอยู่เสมอว่า หุงข้าวใส่ข้าวสารเต็มหม้อ ก่อไฟไม่ติด แล้วก็ช่วยกันเทข้าวสารทิ้งในกอไผ่

               ส่วนพวกผมก็ไม่โกรธหรืออายเหมือนการถูกล้อแบบทั่วไป เพราะเมื่อล้อเรื่องนี้ พวกผมกลับรู้สึกถึงน้ำเสียงของความภูมิใจต่อลูกหลานของพ่อแม่และพวกผู้ใหญ่

               อันที่จริง เราทุกคน มีพลังการอ่าน การเรียนรู้ และเป็นนักพิสูจน์ความจริงของการปฏิบัติทางความรู้ตั้งแต่เด็ก อีกทั้งอยากทำสิ่งดีๆเพื่อดูแลผู้อื่นให้มีความสุข เมื่อเติบใหญ่แล้ว ความทรงจำงดงามอย่างนี้ ทุกคนคงยังจำได้ เมื่อพ้นวัยเด็กเนิ่นนานไปแล้ว ยังบ่มเพาะสิ่งนี้ไว้ได้อยู่ไหมครับ

               ลองเก็บมานั่งรำลึกถึง ทบทวนชีวิตและเล่าแบ่งปันกัน ก็เป็นบทเรียนและให้การเรียนรู้ที่สามารถสร้างความสุขลึกซึ้ง เห็นรายละเอียดและความงดงามรายทางมากมาย.

หมายเลขบันทึก: 288027เขียนเมื่อ 16 สิงหาคม 2009 14:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 11:57 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (16)

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่แบ่งป้นครับ รุ่นพี่ ;)

P

1. Wasawat Deemarn  สวัสดีครับอาจารย์วสวัสดีมาร เหมือนชวนรำลึกถึงเรื่องราวตอนเด็กๆเลยนะครับ แต่อีกด้านหนึ่ง ก็เป็นการนำมาชวนกันคิดถึงปัจจุบันและอนาคตของคนทำงานด้วยกันเพื่อตระหนักว่า การลงทุนเพื่อสร้างคนนั้น ตอนที่ทำและตอนที่ประเมินผลตามกิจกรรมในปัจจุบันนั้น ก็อาจจะไม่เห็นผลที่มีพลังในระยะยาวดีๆ เลยลองยกตัวอย่างให้คนที่มีประสบการณ์เหมือนกัน ลองใช้ประสบการณ์และบทเรียนชีวิตที่ได้แก่ตนเองเป็นตัวหยั่ง ผมว่าคงจะทำให้เราได้มุมมองและวิธีปฏิบัติดีๆในหลายเรื่องอีกเยอะครับ

พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)

เจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์และท่านผู้อ่านทุกท่าน

  • แหมโยมอาจาย์เขียนซะเห็นภาพตัวเองวิ่งไล่รถกิ๊ฟเข็นข้าวเปลือกหน้าบ้านเลย
  • ตอนเป็นเด็กที่บ้านเลี้ยงหมูอาหารหมูสมัยนั้นก็มีหยวกกล้วย ผักบุ้ง ผับโขมเหล่านี้แหละเป็นหลัก
  • เราตัวเล็กไปตัดกล้วยต้นใหญ่ ๆ เวลาล้มเสียงดังครึ้มแก่ คือดังมาก ก่อนจะล้มลงมาคนฟันที่โคนต้นก็คอยระวังว่าจะล้มไปทางไหนด้วยไม่มีประสบการณ์บางทีฟันเกือบขาดแล้วแต่กล้วยไม่ยอมล้มลงซะที
  • เด็กก็ช่วยกันดันโยกเยก ๆ พอเอนจะลงก็วิ่งบางครั้งตกใจวิ่งไปทางเดียวกับต้นกล้วยลงวิ่งได้พ้นแต่ไม่รอดโดนปลายก้านกล้วยฟาดเข้าให้ดีที่เป็นใบไม่งั้นเจ็บแน่
  • เด็ก ๆ นี่ชอบแกล้งหมูเวลาหมูนอนหลับเอาไม้แหย่บ้าง น้ำสาดบ้าง ก้อนดินขว้างบ้างให้ตื่นขึ้นมาร้องอู๊ด ๆ แล้วก็วิ่งหลบไปกลัวคนโตจะเห็น
  • ก่อไฟต้มข้าวหมูแต่ทีควันตะหลบบ้านไปหมดโดยมากใช้ปี๊บต้มใส่หยวกกล้วยปลายข้าวบ้าง รำข้าวบ้างปี๊บก็ตั้งบนก้อนหินขนาดเขื่อง ๆ เด็กยกไม่ไหวหรอกตั้งเป็นสามเส้า(ก้อนเส้า)
  • อยากหุงข้าวเป็นมากแต่แม่เฒ่าไม่ค่อยไว้ใจส่วนมากจะช่วยก่อไฟให้หาผักแถวข้างบ้านให้กวาดบ้านถูบ้านตักน้ำบ่อข้างบ้างไว้เต็มโอ่ง
  • ส่วนมากนาอยู่ไกลบ้านพ่อแม่กว่าจะถึงบ้านก็มืดค่ำลูก ๆ จะคอยว่าพ่อแม่จะมีผักมีปลาอะไรมาฝากบ้างเพราะที่นาปลูกฟักทองแฟงถั่วฝักยาวมะเขือผักกะเจี๊ยบ
  • ข้าวโพดอ่อนแกงพริกเกลือซดร้อน ๆ อร่อย ถั่วฝักยากอีกอย่างที่จิ้มพริกเกลือจะออกรสหวาน ๆ ถูกใจ
  • แม่เฒ่ามีหลานเยอะหลายบ้านต้องคอยกำชับแต่ละบ้านให้หุงหาอาหารคอยท่าพ่อแม่แต่วัน ๆ ถ้ามืดค่ำเดี๋ยวลมฟ้าลมฝนมาจะหุงข้าวหุงปลาไม่สะดวก
  • ฉะนั้นต้องคอยบอกหลานที่โตหน่อยให้รีบ ๆ ทำให้เสร็จก่อนที่จะไปเล่นแถวหน้าบ้านคอยพ่อแม่บางทีก็วิ่งไปขึ้นเกวียนระยะร้อยสองร้อยเมตรเข้าบ้านหรือไม่ก็โหนท้ายเกวียนต่องแต่ง ๆ สนุกสนานไม่แพ้เกมส์ออนไลน์เลยแหละ.

ขอเจริญพร

พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)

อ่านแล้วเห็นภาพ รู้สึกสบายๆเพลิดเพลินค่ะ

ขอบคุณค่ะเอาภาพมาแลกขอบคุณที่เขียนภาพครูอ้อยตะโกนเรียกท่านกู้ให้ค่ะ..

  • กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระอาจารย์มหาแล ขำสุข (อาสโย) ครับ
  • ของเล่นและการเล่นของเด็กๆที่คิดขึ้นจากกิจกรรมการทำมาหากินและสภาพแวดล้อมที่เขาเติบโต เป็นการถ่ายทอดความรู้และทักษะการดำเนินชีวิตไปในตัวเลยนะครับ ไม่ได้เป็นการเล่นเพื่อผลต่อความสนุกสนานอย่างเดียว
  • สวัสดีครับคุณkumfun เป็นบางแง่มุมที่อยากจะสื่อความบันดาลใจและสะท้อนทรรศนะให้เห็นว่า พลังการริเริ่มที่สะท้อนออกมาจากจิตใจนั้นมีบทบาทสำคัญเหมือนกันและเป็นสิ่งที่เรียนรู้-พัฒนาขึ้นได้ในตัวคน หนังสือและวรรณกรรมเป็นวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีครับ
  • สวัสดีครับคุณครูอ้อยเล็ก (ต้องเรียกว่าจ่าเอกอ้อยเล็กสิเนาะ)
  • ผมปรับแต่งรูปให้แสงเงาและการคุมโทนทั้งหมดได้มากกว่าเดิม แต่จะนำไปวางไว้ในรวมภาพเขียนในเวทีแสดงงานของผมเองใน ศิลปะรอบตัว บล๊อกโอเคเนชั่น(ขออาศัยของคุณสุทธิชัย หยุ่นครับ) นะครับ

ว่าจะไม่พูดก็ต้องพูด..เรื่องจะถูกตีนี่แหละ..ตอนนั้นอยู่ป.5 แม่เริ่มให้ทำแกงส้ม..แกงส้มแรกคือแกงส้มผักบุ้ง ผ่านไปได้ด้วยดี..แกงส้มต้องคู่กับปลาเค็มทอด..เมนูก็จะเป็นอย่างนี้ ผัดเผ็ดผักบุ้งกับปลาเค็มทอด แกงคั่วหน่อไม้ก็ปลาเค็มทอดเรียกว่าต้องกินให้หมดหน้าแล้งกันเลยเดี๋ยวหน้าน้ำหลากจะมีปลามาใหม่..ว่างั้นค่ะ..อยู่มาวันนึงย่าเอาปลาหมอนาตัวใหญ่ๆมาให้ด้วยว่าจับได้ในหนองน้ำที่ใกล้แห้งปลามันแถกขึ้นมาย่าเลยเอามให้ทำกับข้าว...ด้วยความอยากให้แม่ได้กินปลาสดๆเลยทำปลาหมอทอดให้กรอบพักไว้ ซอยขิงสดเยอะๆลงไปเจียวให้กรอบแล้วจึงใส่ปลาหมอทอดที่พักไว้ลงไปคลุกใส่น้ำเปล่าให้ท่วม รอให้เดือดใส่น้ำปลา ชูรส ตักใส่ถ้วยไว้หวังให้แม่กลับมาจากขายขนมแล้วจะได้ซดให้ชื่นใจคล่องๆคอเป็นจริงดังนั้น..แม่อร่อยมาก..กินไปชมลูกสาวไป..แต่มาเป็นเรื่องตอนใกล้หมด..และโชคดีที่แม่ใกล้อิ่ม..แม่ก็บอกว่าแต่เอ..อะไรมันขมๆน่ะลูกแม่ใช้ช้อนเขี่ยที่ท้องปลาซึ่งเป็นส่วนที่ไม่ีค่อยกรอบและแม่ยังไม่ได้กิน..มีเฮครับ..เพราะเด็กป.5 ทำปลาไม่ได้เอาขี้ปลาออกครับท่าน..จากคำชมเป็นคำด่าลั่นบ้านเลยค่ะฮาๆๆๆๆงิๆๆ

เรื่องราวน่ารักมากเลยค่ะ เป็นความช่างคิดในวัยเด็ก ตัวเองกว่าจะหุงข้าวพอเป็นก็ต้องขึ้นมัธยมต้นที่ไปค่ายลูกเสือโน่น ซึ่งก็ต้องลุ้นกันกับเพื่อนว่าจะได้กินข้าวหน้าตาสวยงาม ดิบ หรือไหม้ ส่วนใหญ่จะหุงเยอะไว้ก่อนเพราะข้างล่างไหม้ข้างบนก็ยังกินได้ ปกติอยู่บ้านไม่เคยทำเพราะยังเด็ก แต่ก็จะช่วยงานบ้านแบบที่ไม่อันตราย เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน พับผ้า เท่าที่พอทำได้ พอโตมาราวมัธยมปลายถึงจะได้หัดทำอาหารเองจริงจัง แต่ก็ไม่ได้ก่อเตา ใช้หม้อหุงข้าวกับเตาแก๊สก็เลยง่ายหน่อย

  • คุณครูอ้อยเล็กรู้แกงส้ม แกงคั่ว ผัดเผ็ดผักบุ้ง ทอดปลาแล้วก็ทำเป็บซุป(ถึงแม้จะลืมเอาขี้ปลาออก) ได้ตั้งแต่อยู่ชั้น ป.๕ นี่ยอมเลยละครับ ระดับฝีมือแล้ว
  • ผมเข้าไปในเว็บเพาะช่าง เห็นคุณครูอ้อยคุยในเว็บบอร์ดว่าเป็นศิษย์เก่าภาพพิมพ์เพาะช่าง เลยต้องปรับการรับรู้ใหม่ เพราะเข้าใจว่าคุณครูอ้อยเล็กมีเพื่อนที่เรียนศิลปะ ไม่คิดว่าคุณครูอ้อยเล็กเองก็เรียนศิลปะ
  • สวัสดีครับคุณLittle Jazz ชอบโลโก้ของคุณจัง
  • เรื่องราวของเด็กๆนั้น เมื่อนึกถึงแล้วก็มักต้องนั่งยิ้ม มีความสุขครับ
  • เคยมีลูกของเพื่อนร่วมงานผม พ่อพามาที่ทำงานด้วย ตัวเล็กช่างคุยกับคนโน๊นคนนี้ แต่ไม่ให้ผมคุยและเข้าใกล้ด้วย วันหนึ่งผมเลยซื้อตุ๊กตาไปสร้างสัมพันธไมตรีด้วย แต่ให้พ่อเขาเป็นคนให้ พ่อเขาบอกว่าอาว์ม่อย(ผม)เป็นคนให้ เด็กชอบตุ๊กตามาก ถูกใจว่างั้นเถอะ
  • หลังจากนั้น ทุกวันเขาก็หนีบตุ๊กตามา จะเล่นกับเพื่อนหรือทำอะไรก็กอดตุ๊กตาและเอาไปนั่งไว้ข้างๆ ใครเห็นก็จะบอกว่าตุ๊กตาอาว์ม่อย เวลาเจอผม ผมยืนอยู่ห่างๆก็รับกอดตุ๊กตา แล้วก็บอกว่าตุ๊กตาอาว์ม่อยให้ เลยคิดว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว เลยเดินเข้าไป จะเล่นด้วย ปรากฏว่าเด็กร้องกรี๊ดแล้วก็กระโดดหนีกันหยอยๆ แล้วก็ช่วยกันตะโกนว่า " อาว์หนูผีมาแล้ว อาว์หนูผีมาแล้ว...!!!!! " เด็กๆกลัวผมน่ะ
  • ผมนึกถึงทีไรก็ขำว่าไอ้อาว์ม่อยของเขานี่มันใครกันวุ๊ย จินตนาการเด็กๆนี่น่าสนุกครับ
  • ตอนนี้หลานผมโตแล้ว มีครอบครัว และมีลูกเกือบเข้าประถมแล้ว
  • ใช่ค่ะ..ครูอ้อยเรียนศิลปะที่อาชีวศึกษานครปฐม..ลูกศิษย์ก้นกุฏิอาจารย์เทียนชัย ตั้งพรประเสริฐ อ.สมศักดิ์ วิภาคพันธุ์(ตอนครูอ้อยจบมาท่านย้ายไปอยู่เสาวภา) อ.สมศักดิ์(ตัวเล็ก) นามสกุลลูกศิษย์ลืม...อ.ไพศาล ชุ่มสุวรรณ คนนี้มีส่วนผลักดันที่ให้มาเรียนภาพพิมพ์ ด้วยว่าจะอยู่คลุกคลีกันทั้งหมด อ.ไพศาลคงเห็นพฤติกรรมการเรียนและความอดทนในการทำงานกอรปกับการเรียนวิชาอื่นๆของครูอ้อยไม่ดีเท่าภาพพิมพ์ เมื่อจะจบปวช.อ.ไพศาลได้แนะแนวว่า.วัชรีสนใจเรียนภาพพิมพ์ไหม ในตอนนั้นก็ถามอาจารย์ไปว่าครูแนะนำหนูเพราะอะไรคะ..ก็เป็นจริงดังว่า.อาจารย์ไพศาลบอกว่าเธอมีแววเรียนทางนี้ดีกว่า.จะไปเรียนจิตรกรรมสู้เขาไม่ได้เชื่อครูซิ..อาจารย์ก็เริ่มถามคำถามเกี่ยวกับภาพพิมพ์ที่ละ5ข้อ 10ข้อ นอกเหนือจาการปฏิบัติในเวลาเรียนสุดท้ายก็เริ่มบทบาทสมมุติ ด้วยการสอบสัมภาษณ์ โดยอ.ไพศาลเป็นผู้สัมภาษณ์ สอบ 2 หัวเรื่อง คือภาพพิมพ์Woood cut กับ SillkScreen ...พอจบก็มาติวกับรุ่นพี่ที่เพาะช่าง..ก้ไม่ได้ติวกับรุ่นพี่เท่าไรส่วนใหญ่จะติวกันเอง..อาศัยเพื่อนชื่อหงส์เด็กไทยวิจิตรศิลปติวภาพคนเหมือน ปลิงเด็กอบลช่วยบอกเทคนิคการลงแสงเงาให้ถูกต้องยิ่งขึ้น..เมื่อการสอบมาถึงก็สอบผ่าน..เข้าสู่การสัมภาษณ์.อาจารย์ อัศนี ชูอรุณ เป็นผู้สัมภาษณ์..หัวเรื่องก็คือท่านถามขั้นตอนการทำซิลสกรีน..เลยไม่กดดัน ก็บอกท่านไปเรื่อยตามที่ขั้นตอนและการได้ปฏิบัติมาจริง..จึงได้เข้าไปเรียนในคณะวิจิตรศิลป์ เอกภาพพิมพ์ดังกล่าวค่ะอาจารย์..ในตอนนั้นมีอ.อัศนี ชูอรุณ อ.จุฬาฑิตย์ ทองรุ่งโรจน์ อาจารย์วัชรี วงศ์วัฒนอนันต์ เป็นอาจารย์ประจำภาควิชาค่ะ..

    • อยู่ในแวดวงแถวนี้นั่นเอง ยินดีมากเลยนะครับ มิน่า คุณครูอ้อยเล็กสอนเด็กๆและผลงานเด็กๆออกมาดีจังเลย
    • ที่คุณครูอ้อยเล็กล่าวถึงนี่ เกินครึ่งผมรู้จักนะครับ และหลายท่านเป็นครูอาจารย์ผมด้วย
    • อาจารย์สมศักดิ์ ตั้งพรประเสริฐ ก็เป็นรุ่นพี่จิตรกรรมสากลเพาะช่างครับ อาจารย์เก่ง เป็นนักบุกเบิก และริเริ่มอะไรหลายเรื่องไว้ในวงการวิชาการ การพัฒนาอาชีวศึกษา และการพัฒนาการศึกษาทางศิลปหัตถกรรมของระดับประเทศ
    • อาจารย์สมศักดิ์ที่เสาวภานี่นามสกุลอัตโสภณหรือเปล่าครับ

    อาจารย์เทียนชัย ตั้งพรประเสริฐ ค่ะ..ครูม่อยสลับชื่อค่ะ..อ.เทียนชัย ตั้งพรประเสริฐ..อ.สมศักดิ์ วิภาคพันธุ์ (ซึ่งในตอนนี้ไมทราบที่ท่านอยู่ที่ไหนค่ะ) สมศักดิ์ บำรุงศักดิ์(ถามเพื่อนเพื่อนจำนามสกุลได้) ทั้ง 2 สมศักดิ์ไม่ใช่อัตโสภณค่ะ..

    พี่อ้อยรุ่นพี่ของครูม่อยก็อยู่ทีอาชีวศึกษานครปฐมด้วยนะคะ..อ้อยพบพี่เขาบ่อย พี่อ้อยน่ารักเสมอ..กับน้องๆพี่อ้อยไม่เคยหวงอะไร..เอื้ออาทรเสมอเลย..อีกคนก็พี่เสาวรส โพธินาม (พี่จุ่ม) อีกทั้ง อ.สมพล ดาวประดับวงศ์..สรุปที่อาชีวศึกษานครปฐมอ.ศิลปะน่ารักทั้งภาควิชาศิลปกรรมเลยค่ะ..

     

    • ขอบคุณคุณครูอ้อยเล็กครับ
    • ไปๆมาๆเลยเจอกันเยอะแยะเหมือนได้รวมญาติเลยนะครับ
    พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
    ClassStart
    ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
    ClassStart Books
    โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท