"...ปีชวด ร.ศ.119 (พ.ศ. 2443) ปรากฏมีลายแทง (ใบลาน) เป็นคำพยากรณ์ว่า...กลางเดือน 6 ปีฉลู ร.ศ. 120 จะเกิดภัยใหญ่หลวง หินแฮ่กลายเป็นเงินเป็นคำ บักอื๋อบักโต่นจะกลายเป็นช้างม้า ควายตู้ ควายด่อน หมูจะกลายเป็นยักษ์กินคน ท้าวธรรมิกราชจะมาเป็นใหญ่ ใครอยากพ้นเหตุร้ายขอให้คัดลายแทงบอกต่อกันไป... ถ้าย่านตายให้ฆ่าควายด่อนและหมูเสียก่อนกลางเดือน 6 อย่าให้มันทันเป็นยักษ์ พวกผู้สาวก็ให้ฟ่าวเอาผัว บ่อย่างนั้นยักษ์จะมาจับกินหมด.."
ศัพท์ 1) บักอื๋อ, บักโต่น: ฟักทอง, ฟักเขียว 2) หินแฮ่ : หินลูกรัง 3) ควายตู้: ควายทุย ตัวใหญ่แต่เขาสั้นสักคืบ 4) ควายด่อน:ควายเผือก 5) ฟ่าว: รีบ ให้ฟ่าวคือให้รีบ 6) เอาผัว : แต่งงาน (คำพูดสุภาพปกติทั่วอีสาน/ลาว)
วันนี้ผมอยากจะพาท่านมารู้จักคำประพันธ์ภาษาอีสานจากผู้ที่เรียกว่าเป็นกบฎผีบุญผีบาป ซึ่งมองจากมุมปัจจุบันข้อความในวรรคแรกที่ยกมา คงเป็นเรื่องตลก แต่เชื่อไหมครับว่าสมัยนั้นผู้คนเชื่อมากมาย ผู้นำซึ่งเรียกตนเองว่าองค์...ต่าง ๆ สร้างความกังวลแก่ทางการมาก
"พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลอีสาน ทรงสดับตรับฟังข่าวนี้ต่อ ๆ มา... ทรงคาดว่าคงจะเป็นคนคิดหากินด้วยหลอกลวงราษฎรเท่านั้น"
ที่ไหนได้ที่อำเภอบ้านด่าน (โขงเจียม) ผีบุญได้สมัครพรรคพวกราว 200 คน เข้าเมืองเขมราฐจับท้าวโพธิสารกรมการเมืองที่ห้ามมิให้ประชาชนเชื่อไปประหาร จับพระเขมรัฐเดชประชารักษ์เจ้าเมืองไปเป็นหุ่นเชิด ไปตั้งมั่นที่บ้านสะพือใหญ่ เขตอำเภอตระการพืชผล ได้คนเชื่อถือ "องค์มั่น" มาเป็นพวกอีกรวมราว 1,000 คน
ฝ่ายทางเมืองเสลภูมิ ยโสธร ข้าหลวงต่างพระองค์ตรัสสั่งให้นายพลตรีหม่อมเจ้าศรีใสเฉลิมศักดิ์ เกณฑ์จากเมืองบุรีรัมย์ นครราชสีมาเข้าปราบ ส่วนทางด้านตระการพืชผลนั้นข้าหลวงต่างพระองค์ตรัสสั่งนายพันตรีหลวงสรกิจพิศาล ๆ จัดให้ร้อยตรีหรี่กับพล12 คน
"ครั้นไปถึงหนองน้ำเรียก "หนองขุหลุ" พวกผีบุญส่งคนมาดักคอยอยุ่แล้วกลุ้มรุมกันจับนายร้อยตรีหรี่ ต่อสู้กันอย่างตะลุมบอน ทหารน้อยถูกพวกผีบุญฆ่าตายหมด... ยังเหลือแต่ข้าพุทธิเจ้าคนเดียวต่อสู้เอาชีวิตเข้าแลกจึงหนีรอดมา..พระอาญาไม่พ้นเกล้า"
ชนะคราวนี้ผีบุญได้พลเพิ่มอีกเป็น 1,500 คน จะยกไปตีเอาเมืองอุบลราชธานี ตอนนี้มาแล้วครับ "กองล่อ" ของกบฏ พวกองค์ต่าง ๆ แต่งบทเซิ้งเย้ยหยันทหารทางการ ทั้งร้องปลุกใจกลุ่มตนเอง และจะเอาไว้ร้องโฮแซวยั่วหยันตอนเข้าเมืองอุบลได้ ความว่า
"ทิงสองบั้งสังมายังบ่ทันขาด สังมาตะลาดล้มเต็งน้องเนดนอง หัวหนองบ่ทันเศร้าสังมาเทียวทางใหม่ เป็ดไก่เลี้ยงสู่มื้อบ่คุ้นแก่นคน สังบ่สนเคาไว้ไถนาคือสิคล่อง ข้าวกากไกลข้าวก้องสองซู้สิห่างกัน ขางเฮือนไกลขางเล้าหนีไปเซาไกลท่า ไก่ป่าไกลไก่บ้านขันท้าอยู่ละเนอ..."
ศัพท์ 1) ทิง/บั้งทิง : กระบอกไม้ไผ่ทะลวงปล้อง 2-3 ปล้อง ใส่น้ำดื่มสะพายไหล่ 2) สัง : เป็นหยัง ทำไม 3) ตะลาดล้ม /คะลาดล้ม / คาดลาดล้ม: ล้มอย่างกระทันหัน ล้มเสียหลักอย่างแรง 4) เต็ง : ทับ เต็งน้องในที่นี้คือล้มทับกันเอง 5) แก่น: คุ้นเคย/เชื่อง 6) สนเคา : สนตะพาย(วัว ควาย) 7) ข้าวกาก:ข้าวเปลือก เปลือกข้าวที่เป็นแกลบ อีสาน/ลาวเรียกกากข้าว 8) ข้าวก้อง:ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ 9) ซู้: คู่รัก 10) ขางเฮือน : เครื่องเรือนรับน้ำหนัก 11) เล้า: ยุ้งข้าว 11) สู้มื้อ : ทุกวัน คูมื้อก็ว่าได้
บทร้องเซิ้งนี้ถ้าจะเปรียบโดยภาษิตปัจจุบันน่าจะคล้ายคลึงกับ การพ่ายแพ้แบบนกกระจอกไม่ทันกินน้ำ ของฝ่ายทหารซึ่งมีน้อยกว่า แปลเป็นสำนวนเข้าใจง่ายน่าจะประมาณนี้ครับ...
กระบอกน้ำยังไม่ทันร่วงไหล่ ใยคนล้มท่าวระเนระนาดนอง ปลายหนองน้ำยังไม่ทันเฉาร้าง ไฉนเทียวทางใหม่ เป็ดไก่เลี้ยงอยู่ทุกวันกลับไม่เชื่องคุ้นคน ทำไมไม่สนตะพายได้ ให้ไถนาคงจะคล่อง ข้าวเปลือกลาข้าวกล้องสองชู้จำห่างกัน ขางบ้านไกลขางยุ้งมุ่งไปไกลท่า ไก่ป่าไกลไก่บ้านขันท้าทายอยู่ละเนอ...
ผมว่าสำนวนอย่างนี้ สมแล้วครับที่ชาวบ้านจะเชื่อ... รุ่งเช้า 4 เมษายน 2444 พวกผีบุญยกกองจะไปตีเมืองอุบลฯ เป็นดังนี้ครับ
"...หลวงชิตสรการสั่งให้ยิงปืนใหญ่ออกไปหนึ่งนัด ให้ศูนย์ปืนเลยข้ามพวกผีบุญไปก่อน พวกผีบุญร้อง ซ่า ซ่า สาธุ องมั่นนี้วิเศษแท้... ปืนใหญ่ยิงออกไปนัดที่สอง กระสุนตกกลางไพร่พลพอดี กระสุนระเบิดถูกผีบุญหัวเด็ดตีนขาดล้มระเนระนาด พวกทหารปืนเล็กยาวและปีกซ้ายขวา พร้อมกันระดมยิงและโห่ร้องตาม ปืนใหญ่ยิงซ้ำไปอีกนัดที่สาม ถูกพวกผีบุญล้มตายประมาณ 300 คนเศษ ที่เหลือหนีตายเอาตัวรอด องค์มั่น (หรือท้าวธรรมมิกราชปลอม) ปลอมตัวเป็นชาวบ้านหลบหนีเอาตัวรอดไป..."
ผลก็คือพวกองค์ต่าง ๆ และไพร่พลชาวบ้านถูกจับมาจากบ้านสะพือใหญ่จนล้นคุกล้นตะราง เจ้าหน้าที่ต้องจองจำขื่อคาไว้ทุ่งศรีเมือง 2-3วัน ผู้ที่ถูกตัดสินประหารก็ถูกนำไปเสียบหัวประจานไว้สถานที่เกิดเหตุทุกแห่ง
น่าเสียดายว่าบทเซิ้งเย้ยหยันของกบฏยังไม่ทันได้ร้องเย้ยทหารทางการ เพราะความไมรู้เท่าทันการว่า ลำพังความเชื่อในเรื่องลายแทงบอกต่อว่าผู้มีบุญจะมาโปรด ถืออาวุธมีดดาบด้วยใจซื่อ ต้องมาสู้กับทางการที่มีอาวุธทันสมัยกว่า นี่คืออีกครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ท้องถิ่นว่าไว้
ผมเองยังอยากอ่านบทวรรณกรรมชาวบ้าน ๆ อย่างนี้อีก แต่ไม่ต้องฆ่าแกงกันอย่างนี้ครับ...
ขอจบเรื่อง กองล่อ เพียงเท่านี้ ขอบคุณครับ...
อ้างอิง
เติม วิภาคย์พจนกิจ. ๒๕๔๖. "กบฏผีบาปผีบุญ" ใน ประวัติศาสตร์ภาคอีสาน. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
สวัสดีครับอาจารย์
ขบถผู้มีบุญ เป็นปรากฏการทางสังคมของกลุ่มคนที่รู้สึกว่าถูกกดขี่ครับ ที่ทางเชียงใหม่ก็เคยมีกบถผญาผาบครับ เกิดขึ้นเพราะชาวบ้านไม่พอใจที่ต้องเสียภาษีต้นหมาก
ขบถผู้มีบุญทางอีสาน มีการประชาสัมพันธ์ผ่านบทกลอนร้องกลอนลำ และใบบอกในรูปแบบจดหมายลูกโซ่ตามที่ท่านได้บรรยายไว้นั้น เป็นวิธีการที่แยบยลจริงๆครับ
อาจารย์ได้ศึกษาปรกฏการณ์ทางสังคมผ่านบทลำบทกลอนนี้ได้อย่างน่าสนใจครับ
ผมยังไม่ลืมหนังสือนะครับ ตอนนี้อยู่ในลาวเมืองหงสา แขวงไชยบุรีครับ
สวัสดีครับ
อ่านชุดกองล่อของอาจารย์แล้วมันมากครับ คนเราเวลาขาดสติเพราะถูกยั่วก็มักจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ มันก็เป็นเรื่องสอนใจเราได้อย่างหนึ่งว่าจงมีสติตั้งมั่นเมื่อภัยมา ใช่ไหมครับ
เหอๆๆๆ ท่านผอ.ครับ
ขออนุญาตท่าน ผอ. ชาตรี ครับ
บักอื๋อ = ฟักทอง
บักน้ำ = น้ำเต้า
สวัสดีค่ะคุณครูชา
อ๋อขอสมัครเป็นศิษย์คุณครูชาด้วยคนนะคะ
อ่านบันทึกครูแล้วสนุกมากค่ะ ได้ความรู้มากมายด้วย
ขอบพระคุณค่ะ คุณครู
อ๋อ
สวัสดีครับ คุณครูชาและทุกท่าน
ผมขอแสดงความคิดเห็นร่วมด้วยคนนะครับ
๑. กลอนที่ยกมานี้ เข้าใจว่า เป็นกลอนลำหรือกลอนผญา ไม่ใช่กลอนเซิ้งครับ
๒. เป็นกลอนที่กลุ่มผู้มีบุญใช้ปลุกระดมมวลชนแบบ "จดหมายลูกโซ่" (อย่างในปัจจุบัน) หรือบางทีอาจจะถูกนำมาลำเสนอตามหมู่บ้านต่าง ๆ โดย "หมอลำอัศจรรย์" เพื่อทำนายชะตาบ้านเมือง
๓. และทั้งหมดนี้ น่าจะอยู่บนฐานสำนึก "ความหลังและความหวัง" ของคนอีสานในยุคนั้น กล่าวคือคนยุคนั้นเขาโหยหาความรุ่งเรืองของเวียงจันทน์และยุคสมัยพระศรีอาริย์ (สังคมที่ดีกว่า)
๔. เห็นด้วยว่า เป็นความเชื่อที่ขาดสติและขาดการประเมินสถานการณ์ที่ถูกต้อง
๕. และน่าสังเกตว่า ต่อมา อุบลฯ กลายเป็นศูนย์กลางความเจริญของหมอลำและพระสงฆ์ (ธรรมยุติกนิกาย)
ทีนี้เราชาวอีสานก็รู้ความหมายของ เซิ้ง นั้นมิได้หมายถึงบทร้อง แบบ "โอมพุทโธนะโมเป็นเค้า ข้อยสิเว้าเรื่องพญาแถน..." เท่านั้นใช่ไหมครับ เซิ้งก็คือคำเรียกการฟ้อนรำของคนอีสานคนลาวซึ่งมีทั้งเป็นระเบียบตามเอกลักษณ์ดูดี เช่น เซิ้งกระติบข้าว เซิ้งตังหวาย เซิ้งภูไทย และอีกพวกคือเซิ้งตามอัธยาศัย อาจมีฆ้องกลองหรือไม่ก็ได้ เช่น เซิ้ง(มั่ว)หน้าเวทีหมอลำ เซิ้งยกมือฟ้อนดีใจอะไรสักอย่าง แห่ขันหมาก แห่กัณฑ์หลอนยามบุญผะเหวด ก็เรียกว่าเซิ้ง ซึ่งไม่ต้องมีบทร้อง มีเพียงกลองยาว แคน พิณ... ก็เซิ้งม่วนแล้ว
ใช่ครับ..การสื่อสารของกบฏผีบุญนี้มีลักษณะลูกโซ่.. แต่กลอน "ทิงสองบั้ง" นี้เป็นกลอนเฉพาะกิจสำหรับเยาะเย้ย การที่พวกเขาสังหารลูกน้องร้อยตรีหรี่ตายตั้ง 11 ราย (อันนี้อ้างตามเอกสารของ เติม วิภาคย์พจนกิจ มาเลยครับ)ส่วนข้อความลูกโซ่ นั้นน่าจะเป็นลักษณะคำทำนายแบบบันทึกของผมวรรคแรก
ทีนี้ก็มาคิดว่าเมื่อเป็นกลอนลำ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นลำล่องยาว แต่ทำไมคุณเติมจึงเขียนเป็น บทเซิ้ง ผมว่าคงน่าจะเมื่อชนะทหารทางการในสมรภูมิหนองขุหลุ ตระการพืชผลในยกแรกแล้ว ด้วยความดีใจคนลำใส่แคนก็ลำไป ส่วนพลพรรคคนอื่นก็คงโห่ฮาเซิ้งสะใจ เหมือนเราปีบฮายามหมอลำลำเข้าถึงวิญญาณม่วน แม้จะเป็นลำยาวไม่มีจังหวะฟ้อนก็ตาม (ก็ยังฟ้อนในดอกได้)
คงเป็นฟ้อนเซิ้ง ใส่กลอนลำยาวนั่นแล หรือว่ายังไงครับ พวกเราไม่เห็น ไม่ทัน ก็คุยกันไปต่างโสเหล่ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นสู่กันฟังนะครับ.
เรียน คุณครูชา
ขออนุญาตครับ
ข้อ ๖ คำว่า "เซิ้ง" โดยขนบการใช้ของคนอีสาน หมายถึงการร้องบทกลอนในขบวนแห่ครับ แต่ที่ถูกนำมาใช้ในความหมายของการ "ฟ้อนรำ" (เช่นในปัจจุบัน) เพราะเหตุว่า การฟ้อนรำนั้น รำตามจังหวะเซิ้งครับ (หมายถึงจังหวะการร้องที่ว่า "โอ่เฮาโอ่เฮาโอ้เฮาโอ" ลองตีกลองตามจังหวะคำร้องนี้สิครับ จะเห็นว่านี่คื่อจังหวะการเซิ้ง (ฟ้อนรำตามจังหวะการร้องในขบวนแห่) ส่วนที่ว่า เซิ้งหมายถึงการฟ้อนรำ ความหมาย มันกลายแล้วครับ
ข้อ ๗-๘-๙ จังหวะการเซิ้ง ก็คือ จังหวะการเซิ้ง (กาพย์เซิ้ง) ไม่เกี่ยวกับกลอนลำ (โคลงสาร) กล่าวคือ บทกลอนเป็นเรื่องของจังหวะถ้อยคำครับ เพราะฉะนั้น เป็นไปไม่ได้ที่บทกลอนที่กล่าวนี้เป็น บทเซิ้ง เพราะจังหวะถ้อยคำไม่ใช่ครับ
ด้วยความเคารพครับ
ข้อความของเติม วิภาคย์พจนกิจ ไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไปครับ
เรียน คุณครูชา
ไม่เป็นไรครับ เป็นเรื่องมุมมองความคิดเห็น อาจจะเห็นเหมือนหรือต่าง ก็เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาและอธิบายกันต่อไป ทั้งหลายนี้ ก็เพื่อให้เกิดความแน่ชัด เพื่อเป็นหลักอธิบายสำหรับผู้ใฝ่รู้ท่านอื่น ๆ และแวดวงวิชาการ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว เราอาจมองไม่เห็นพัฒนาการของความรู้ อะไรก่อนอะไรหลัง อะไรใช่หรืออะไรไม่ใช่ เส้นแบ่งนั้นอยู่ตรงไหน ไม่อย่างนั้นแล้ว มันจะไหล "ฮาด" กัน จนแยกไม่ออก กลายเป็นปัญหาของความรู้และอื่นๆ
ขอบคุณที่เปิดโอกาสให้แลกเปลี่ยน แล้วจะคอยติดตามเรียนรู้ด้วยครับ
สวัสดีปีใหม่ครับ คุณครูชา
คุณครูอธิบายการไหล "ฮาด" กันได้ดียิ่งแล้วครับ ผมเพียงแต่ตั้งข้อสังเกตไว้ให้ช่วยกันพิจารณา เพราะก่อนนี้และเดี๋ยวนี้ มีความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า "เซิ้ง" ผิด ๆ ในตำราการเรียนการสอนนาฏศิลป์ไทยว่า อีสานมีแต่เซิ้ง ไม่มีฟ้อนไม่มีรำ ดังนั้น ถ้าชื่อชุดรำชุดใดไม่มีคำว่าเซิ้งนำหน้า ก็ไม่จัดว่าเป็นฟ้อนของอีสาน เช่น ฟ้อนบายศรีสู่ขวัญ (ที่มีบทร้องว่า "มาเถิดเยอมาเยอขวัญเอย") เขาก็จัดว่าเป็นชุดรำของชาวภาคเหนือ เนื่องด้วยมีคำว่า ฟ้อนนำหน้า อย่างนี้เป็นต้น แล้วคนท้องถิ่นอีสานเห็นด้วยกับเขาหรือครับ?
ขอบคุณครับ
เรียน คุณครูชา ครับ
ทั้งหมดนี้ ก็คงเป็นกระแสโลกาภิวัฒน์อย่างที่พูด ๆ กัน ทุกอย่างล้วนไหล "ฮาด" กัน ทั้งโดยพื้นที่และเวลา จนยากที่จะแยกให้เห็นถึงลักษณะตัวตนที่แท้จริงของแต่ละสังคม นอกจากท่านผู้รู้อย่างคุณครูชาและท่านอื่น ๆ จะได้ช่วยกันหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นเสนอ อภิปราย แลกเปลี่ยนกัน เช่น ใน Gotoknow แห่งนี้ ดังนั้น คำว่า "อัตลักษณ์" จึงถูกใช้มากในยุคสมัยนี้ ซึ่งผมถือว่าเป็นธรรมชาติของการ "คานอำนาจ" ทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น "ขบถแห่งยุคสมัย" ย่อมไม่อาจจางหายไป ไม่ว่าจะสมัยโน้น (ผีบุญ) สมัยนี้ หรือสมัยไหน ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านครับ (ฮา)
เข้ามาเจอโดยบังเอิญ
ขอกบอกว่าดีใจมาก
บล็อกของคุณเยี่ยมมากเพื่อน
หวังว่าคงสบายดี
สวัสดีครับคุณครูทุกท่าน
ผมเห็นด้วยกับครูสนองนะครับ เซิ้ง นั้นใช้กับดนตรี ส่วน ฟ้อน ใช้กับคน พูดง่ายๆก็คือ คนนั่นแหละครับ ที่ไปฟ้อนใส่เซิ้ง