สวัสดีค่ะคุณเม้ง
ชอบใจนักค่ะกับมุมมองของน้อง ..เพราะเป็นการบอกเล่าความเป็นจริงที่จริงแท้ในระบบได้เป็นอย่างดี
ผลตอบแทน การพิจารณา การเลื่อนขั้น ฯลฯ ล้วนเป็นการประเมินผลที่ยากกับผู้ประเมินไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้รับการประเมิน แต่ที่น้องเสนอก็น่าสนใจว่า เอาผลงานมาแข่งขันกันจะดีมั้ย ตามข้อเสนอที่น้องบอกมา..
..เอ..ไม่แน่ใจว่าที่ผ่านมาเป็นการเอาผลงานด้านไหนมาวัดผลงานนะคะ ?
การประเมินแบบ 360 องศาที่น้องว่ามาก็เข้าทีนะคะทั้งครู ทั้งลูกศิษย์ต่า่งประเมินกันและกัน รู้สึกว่าก็มีใช้รูปแบบนี้ในหลายๆแห่งเหมือนกันค่ะ แต่ผลการประเมินไม่ค่อยได้รับการพิจารณามากนัก..ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกันว่าทำไม
เบิร์ดเพิ่งถกกับแม่เสร็จเข้ามาก็เจอบันทึกนี้เลยล่ะค่ะ เลยเอาสิ่งที่ถกมาต่อในนี้เลยนะคะ.. แม่บอกว่าในสมัยก่อนครูไม่ต้องวุ่นวายกับงานเอกสาร เพราะเด็กคือผลงานของครู เด็กดีก็คือครูสอนดี สะท้อนให้เห็นๆกันไปเลยในแต่ละคน.. แต่ปัจจุบันครูต้องทำงานเอกสารเพื่อประเมินผลงาน สอนก็ต้องสอน เอกสารก็ต้องทำ ( ซึ่งไม่แน่ใจว่าเอกสารจะบอกอะไรได้บ้าง ? ) ปิดเทอมก็ต้องไปอบรม สัมมนาไม่ได้หยุด ( เบิร์ดเพิ่งทราบว่าครูประถม ฯ - มัธยม ฯ ไม่มีพักร้อน ? )..เด็กก็สอนยากขึ้น ผู้ปกครองก็วุ่นวายไม่ได้ให้สิทธิครูด้วยความเคารพในวิชาชีพเหมือนแต่ก่อน
ครูก็เปลี่ยนไป จากเดิมในสมัยแม่เด็กเรียนเก่งจะเป็นอยู่ 3 อย่างคือ หมอ ครู นักบัญชี ..อยากเป็นครูต้องสอบมีทั้งสอบชิงทุนครู และสมัครสอบ รร.ฝึกหัดครู ( ซึ่งชื่อก็บอกอย่างชัดเจนว่าออกไปเป็นครู เพราะฉะนั้นต้องมีความตั้งใจที่จะเป็นในระดับหนึ่งล่ะค่ะ )..ซึ่งแต่ละห้องเรียนก็มีไม่เกิน 30 - 40 คน..จะเห็นว่า่ในอดีตกระบวนการของการผลิตครูที่เริ่มมาตั้งแต่การคัดสรรก็ได้สิ่งที่ดีมาีตั้งแต่ต้นทำให้ผลลัพธ์ออกมาดี แต่ปัจจุบันกระบวนการนี้เปลี่ยนไป..ทำให้ผลผลิตออกมาคุณภาพไม่เทียบเท่าเมื่อก่อน
แต่เบิร์ดก็เชื่อว่าผู้ที่ทำหน้าที่ผลิตครูนั้นท่านทำอย่างเต็มความสามารถเท่าที่จะทำได้ เพียงแต่วัตถุดิบ / วิธีการผลิตในบางแห่งไม่เื้อื้อมากนัก
ดังนั้นการสร้างค่านิยมเกี่ยวกับอาชีพครูขึ้นมาใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็นค่ะ อย่างที่เคยพูดไว้เนิ่นนาน เรามีวันครู เรามีบทไหว้ครู เรามีบทสวดมนต์สรรเสริญคุณของครู ( ในหนังสือสวดมนต์ของเด็กนร.ค่ะ )..เรามีการเคารพนบไหว้ครู เพราะฉะนั้นครูจึงเป็นปูชนียบุคคลที่สำคัญในสังคมไทยอีกอาชีพหนึ่งเลยล่ะค่ะึ
เบิร์ดขออัญเชิญพระบรมราโชวาทของล้นเกล้ามานะคะ
ครูนั้นจะต้องให้ความรู้แก่เด็กๆด้วยความเมตตา ด้วยความหวังดี คือด้วยความเมตตาต่อผู้เป็นลูกศิษย์ และด้วยความหวังดีต่อส่วนรวม เพราะถ้าส่วนรวมประกอบด้วยบุคคลที่มีความรู้ดีส่วนรวมก็ไปรอด
ครูจะต้องตั้งตัว ในความดีอยู่ตลอดเวลาแม้จะเหน็ดเหนื่อยเท่าไหร่ก็จะต้องอดทน เพื่อพิสูจน์ว่าครูนี้เป็นที่เคารพสักการะได้ แต่ถ้าครูไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม ถ้าครูไม่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่เด็กจะเคารพได้อย่างไร
และในปัจจุบันก็้มีการปรับระบบค่า่ตอบแทน..เมื่อสร้างทุกระบบให้เอื้อแล้ว คราวนี้ก็ู่อยูุ่่ที่คนเป็นครูล่ะค่ะ ว่าจะดำรงตนให้สมกับศักดิ์เพียงใด
ขอบคุณสำหรับบันทึกที่ทำให้หยุดกึกบันทึกนี้นะคะ
สวัสดีค่ะ
ขอแสดงความเห็นต่อจากคุณเบิร์ดค่ะ น้องเขามีมุมมองที่ลึกซึ้งและเป็นรูปธรรมดี ส่วนสังคมทุกวันนี้ ถ้าให้มอง ก็คงไม่ใช่เฉพาะอาชีพครุเท่านั้น ที่ดูเหมือนจะหมดความศักดิสิทธิ์ลงไป ทั้งนี้ด้วยปัจจัยทางสังคม ที่มีการปรับตัวเชิงธุรกิจกันเกือบทุกอาชีพ มีสอนพิเศษ หมอก็เปิดคลินิก ทำเอกชน การยึดในอุดมการณ์จึงเป็นเรื่องของผู้ดักดาน อยู่กับความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง แต่เท่าที่สังเกตดู เงินก็ไม่ได้ทำให้มีสุขเสมอไป คงต้องมีการส่งเสริมสนับสนุน คนดีๆให้มีกำลังใจกันต่อไป เป็นแบบอย่างให้มากกว่านี้ ปีละคนที่ได้รับรางวัลคงน้อยไปค่ะ น่าจะให้คัดเลือกกันทุกหมู่บ้านเลยยิ่งดี
สวัสดีคะ พี่เม้ง
ครู คือ ผู้ให้ความรู้ และมีส่วนในการกำหนดเส้นทางของนักเรียน...ครูเก่ง ครูดี ครูรอบรู้ และครูคุณธรรม คือ สิ่งที่สังคมแสวงหาในปัจจุบัน
คนเก่งไม่เรียนครู เพราะครูเงินเดือนน้อย ทำงานหนัก ใช้กำลังเท่ากันหรืออาจจะน้อยกว่าไปทำงานอาชีพอื่นแต่ได้ค่าตอบแทนมากกว่า...จะมีสักกี่คนที่ไม่เลือกทางอื่นในภาวะสังคมทุนนิยมแบบนี้ เพราะบทพิสูจน์ก็มีให้เห็นชัดเจน...ปัญหาหนี้สินครู คือ หนึ่งปัญหาที่รัฐต้องเร่งแก้ไข
งานเอกสารประเมินตนเอง เลื่อนขั้น ชำนาญการ ขอซี ที่ครูต้องรับผิดชอบนอกเหนือจากงานสอนที่แสนหนัก การอบรมเพื่อนำไปสู่กระบวนการวิจัยและการทำเอกสารการเลื่อนตำแหน่งต่างๆ เกิดขึ้นเนืองๆ พร้อมกับเกิดบทบาทใหม่ในการเป็นที่ปรึกษาสำหรับครูที่ไม่มีความชำนาญในการเขียนงาน แต่ที่หนักไปกว่านั้นคือ รับจ้างเขียนผลงาน
การประเมินด้วยผลงานด้านเอกสาร ถือเป็นการถอดบทเรียนและนำเสนองานอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่สมควรแก่การปฏิบัติอย่างยิ่ง แต่ทุกสิ่งล้วนต้องมีการบ่มเพาะและพัฒนา การให้เวลากับการปรับตัวและให้ความรู้สำหรับการปรับเปลี่ยนแก่ครูนั้นเพียงพอหรือยัง...การบีบคั้นให้ทำผลงาน พร้อมกับเตรียมการสอน พร้อมกับการตรวจข้อสอบ พร้อมกับงานจิปาถะ ไม่นับรวมงานนอกที่ต้องทำเพื่อปากท้อง เพียงพอหรือยัง... คนที่ไม่พร้อมและตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลงมีให้เห็นเสมอในทุกสังคม ไม่เว้นแม้แต่ในสังคมของครู
ครูหลายคนมีภูมิอยู่เต็มอก แต่ยังขาดการนำเสนอที่ถูกต้องตามระเบียบและแบบแผนที่ถูกกำหนดขึ้น รู้เต็มอก แต่นำเสนอไม่ได้...แต่ก็ต้องทำเพื่อความก้าวหน้าและครอบครัว...ยอมจ่ายเงินสำหรับรับคำปรึกษาหรือว่าจ้างให้ช่วยเขียน...เพื่อความก้าวหน้าในอนาคต
หากจ้างโดยไม่ทำอะไร ถือว่าโกง...แต่หากนำข้อมูลและผลงานที่ตนทำมาจ้างให้ช่วยเรียบเรียง อาจยังพอทำเนา...หากดีที่สุด...ควรทำเอง...นั่นก็วนกลับไปปัญหาเดิม วน วน วน วน แล้วจะทำอย่างไรให้หยุดวนไปวนมากับปัญหาของแม่พิมพ์ของชาติได้เสียที
อยากให้กำลังใจครูทุกคน ขอให้มั่นใจ มั่นคง และมุ่งมั่นกับการแม่พิมพ์ เพื่อสร้างอนาคตของชาติ และเป็นกำลังใจให้สังคมมีทัศนะคติที่ดีในอาชีพครูและคนเก่งอยากเป็นครูมากขึ้น และที่สำคัญที่สุด ขอให้ผู้มีอำนาจใส่ใจและจริงจังกับการศึกษาของไทยมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น...
---^.^---
จากประสบการณ์เสี่ยวหนึ่งในการทำงานร่วมกับครู
ครูครูครูครูครู ฉันเป็นครูแดนไกล
เดินเดินเดินเดินเดิน เพลิด เพลินเดินดงพงไพร
ครู เอ๋ยครู ปูชนีย์ของไทย พิมพ์ เอ๋ยพิมพ์
แม่พิมพ์ หมึกจางกลางใจ ....ดนตรี.......>>>
บ้าน อยู่โนนสวรรค์ ทั้งวัน ก็เดินไม่ถึง
มีครูอยู่สองคน ครูใหญ่ กับครูไม่ใหญ่
ขึ้นรถลงเรือลงเดิน ลงเดินขึ้นรถลงเรือ
โรงเรียนก็รกรุงรัง ฮื่ม.ฮื่มฮื่ม
ก็เก็บก็ปัดก็กวาด สะอาดในใจลูกจ้าง
.ฝนฟ้าลมมาลมแรง กินนอนอยู่ในโรงเรียน
ไม่เป็นไร แม้หลังคารั่ว ครูครูครูครูครู
ฉันเป็นครูแดนไกล เดินเดินเดินเดินเดิน
เพลิด เพลินเดินดงพงไพร ครู เอ๋ยครู ปูชนีย์ของไทย
พิมพ์ เอ๋ยพิมพ์ แม่พิมพ์ หมึกจางกลางใจ
....ดนตรี.......>>> บ้าน อยู่โนนสวรรค์
ทั้งวัน ก็เดินไม่ถึง มีครูอยู่สองคน
ครูใหญ่ กับครูไม่ใหญ่ ทำงานเกินอาชีพครู
สงเคราะห์สังคมเยียวยา ผักปลาแบ่งปันกันไป
ฮื่มฮื่มฮื่ม ลุงอิ่ม ยายเอิบอดข้าว
ต้องเอา ของเราไปให้ งานวัดงานพัฒนา
เดี๋ยวมา ประชุมอำเภอ น่าภูมิใจ ครูไทยของเรา
....ดนตรี.......>>> ครูครูครูครูครู
ฉันเป็นครูแดนไกล เดินเดินเดินเดินเดิน
เพลิด เพลินเดินดงพงไพร ครู เอ๋ยครู ปูชนีย์ของไทย
พิมพ์ เอ๋ยพิมพ์ แม่พิมพ์ หมึกจางกลางใจ
บ้าน อยู่โนนสวรรค์ อยู่กัน ไปตามประสา
หนาว ก็เข้ากองไฟ ร้อน ก็ไปทุ่งนา
หน้าดำมือด้านบ่าแดง พลิกแพลงสอนตามยถา
ก.ไก่เก็บกดอดทน ฮื่มฮื่มฮื่ม
สิ้นเดือน ก็เหมือนสิ้นใจ หักไป หนี้ลบกลบเกิน.
ขอใบฉุกเฉินมาเซ็นต์ เป็นประจำ จำต้องเป็น
จำต้องเป็น จำต้องเป็น เออ เด็กน้อย
ครูไม่หนี ไปไหนดอก เออ เด็กน้อย
ครูไม่หนี ไปไหนดอก เออ เด็กน้อย
ครูไม่หนี ไปไหนดอก
เพลงครูใหญ่ จาก http://elect.pcru.ac.th/users/phetdev/karaoke/play.php?id=00787
1. เบิร์ด
สวัสดีครับคุณเบิร์ด
2. ตันติราพันธ์
สวัสดีครับพี่รุ่ง
3. พิมพ์ดีด
สวัสดีครับน้องพิมพ์
สวัสดีค่ะคณเม้ง
ขอต่ออีกหน่อยเถอะค่ะ คันไม้คันมือจัง
ในขณะที่วงการอุตสาหกรรมและผู้ประกอบธุรกิจได้ชช่วยกันแสดงความห่วงใยเรื่องคุณภาพการศึกษา เพราะเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งพัฒนาในระดับเดียวกัน นักลงทุนเหล่านี้ได้ข้อสรุปว่าคุณภาพบุคลากรของประเทศไทยเราสู้เพื่อนบ้านในระดับเดียวกันไม่ได้ หนำซ้ำประเทศที่เพิ่งเริ่มเข้าสู่การพัฒนา เช่นเวียตนามคุณภาพบุคลากรยังดูเหมือนจะเหนือกว่าอีกด้วยนะคะ
แต่เมื่อตรวจสอบความคิดของผู้ที่มีบทบาทบริหารการศึกษากลับพบว่าแทบจะเป็นคนละเรื่องกันเลยค่ะ เพราะผู้บริหารเหล่านี้มองไปในทิศทางว่าการศึกษาของคนไทยพัฒนาไปมาก การปฏิรูปที่ผ่านมาดำเนินการอย่างได้ผล !
เค้ามีผลการสำรวจจากสภาการศึกษาชาติมายืนยันความเชื่อแบบนั้นค่ะ ..ผลสำรวจนี้ชื่อว่าคนไทยคิดอย่างไรกับการศึกษาไทย ณ วันนี้
ผลปรากฎว่าส่วนใหญ่คือร้อยละ 84.5 พอใจกับการจัดการศึกษาในปัจจุบัน ! เบิร์ดจะไม่สืบสาวหาความว่าวิจัยอันนี้น่าเชื่ื่อถือปานใด เพราะไม่่มีประโยชน แต่เบิร์ดจะเอาสิ่งที่เบิร์ดมองเห็นมาคุยต่อค่ะ
จากรายละเอียดที่ตอบว่าพอใจกับการจัดการศึกษาในปัจจุบัน..พบว่าระดับที่พอใจมากนั้น มีแค่ร้อยละ 19.9 ..พอใจปานกลางมีมากที่สุดคือร้อยละ 56.3 ที่พอใจน้อยมีร้อยละ 8 และที่ไม่พอใจร้อยละ 15.5..ไม่พอใจกับพอใจมากอยู่ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันเลยนะคะ ^ ^
เบิร์ดสนใจเรื่องความพอใจที่ออกมาในระดับกลางๆ เพราะดูจะเป็น แนวทางในการตอบแบบสอบถามของคนไทยส่วนใหญที่ชอบเลือกแบบกลางๆไว้ก่อนเพราะปลอดภัยดี
ความพอใจปานกลางร้อยละ 56.3 เป็นสิ่งที่ผู้บริหารควรพอใจเหรอคะ ?่ เพราะความพอใจในระดับปานกลางนี่แหละค่ะที่ทำให้ผู้ปกครองต้อง " เลือก " โรงเรียนให้บุตรหลาน..ก็ถ้าเค้ามีทางเลือกโรงเรียนที่คิดว่าดีที่สุดให้บุตรหลาน ก็คงไม่มีใครที่จะเลือกโรงเรียนที่มีคุณภาพกลางๆหรอกใช่มั้ยคะ
ดังนั้นหากเราคิดว่าการให้การศึกษาคือการให้อนาคต..เราจะต้องบริหารการศึกษาให้ผลิตบุคลากรชั้นนำออกมาให้ได้ค่ะ ในทุกๆระดับชั้นตั้งแต่รุ่นเล็กไปจนถึงรุ่นใหญ่... ไม่ใช่พอใจกับ " การผลิต " บุคลากรระดับปานกลาง เพราะเท่ากับเป็นการผลิตคนออกมาให้ตกงานหรือทำงานต่ำกว่าวุฒิที่ถือว่าเป็นความสูญเปล่าอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน
เพราะการผลิตบุคลากรชั้นนำให้ประเทศจะทำไม่ได้เลยค่ะ หากผู้บริหารการศึกษามีความรู้สึกว่าแค่ความพอใจปานกลางก็เป็นผลสำเร็จแล้ว !
ขอบพระคุณมากค่ะสำหรับบันทึกที่ทำให้เบิร์ดหยุดคิดอีกครั้งหนึ่ง
์
8. เบิร์ด
สวัสดีครับคุณเบิร์ด
118. สุภาพบุรุษเทพศิรินทร์
เมื่อ อา. 28 ต.ค. 2550 @ 15:50
438344
กราบเรียนพี่ๆที่เคารพทุกท่าน กระผมไม่ได้รู้จักกับใครเป็นพิเศษ เป็นแค่เด็กมัธยมคนหนึ่งที่หลงเข้ามาแล้วได้พบกับมุมมองดีๆที่ทุกท่านได้ เขียนและเสนอกันมา ผมคงไม่มีหลักการหรือทฤษฎีอะไรแต่ขอแสดงความคิดเห็นในมุมเด็กที่อยากเป็น ครูครับ
ผมมีความเห็นว่าอาชีพครูควรเป็นอาชีพที่คนเก่งระดับต้นๆควรมาเป็นกันไม่ใช้ ให้คนที่ไม่มีที่ไปหรือเรียกว่า เอาเป็นคณะสุดท้ายเหมือนปัจจุบัน เพราะคนเราตอนนี้กำลังหลงอยู่ในกิเลสเห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตนมองว่าเป็นครู แล้วจน จึงไม่เป็นหรือเมื่อเป็นก็เป็นส่งๆ สอนจบกลับบ้าน ขอบอกไว้เลยว่าครูมีหน้าที่ที่ต้องหาความรู้ตลอดเวลาจะเอาแค่งูๆปลาๆไปสอน ก็ได้อายเด็กพอดี "ต้องรู้จริง" เด็กจะได้ไม่ต้องไปพึ้งที่เรียนพิเศษ ผมระบายมาพอสมควรแล้ว
ในปัจจุบันมีครูหลายท่านที่มีอุดมการณ์ทำกิจกรรมเพื่อพัฒนาเด็กให้เป็นคนดี มีภูมิค้มกัน มีทักษะด้านกิจกรรม เช่น ครูที่ทำลูกเสือ ครูที่ทำวงโย ฯลฯ ถ้าทุกคนแค่รับผิดชอบหน้าที่ของตน พัฒนาส่วนที่ตนรับผิดชอบ ก็จะเป็นอีกแนวทางที่สร้างเยาวชนได้ ลองสักเกตุกันสิครับว่าครูเหล่านี้ได้อะไรตอบแทน นอกจากเงินเดือนที่ทรงตัวกลับกันบางคนทำแต่ผลงานไม่เคยมาพัฒนาเด็กอย่างแท้ จริง กลับมีเงินเดือน2-3เท่าของครูที่ยึดอุดมการณ์ ใครจะมีทางออกให้ครูเหล่านี้บ้างครับ
ลองทำการศึกษาเหมือนการค้าขาย ดูบ้างสิครับ แข่งกันพัฒนา ใครพัฒนาคนดีมีความรู้ได้มากกว่าก็ควรได้รับค่าตอบแทนที่คู่ควร ใครสอนไม่ดีก็รับค่าตอมแทนน้องลง จะได้มีการแข่งขันกันบ้างไม่งั้นชีวิตครูคงไม่มีรสชาติ แล้ว จะเอาอะไรเป็นตัววัดนี่เป็นประเด็นที่กระผมอยากเสนอให้ ร.ร.มีนโยบายเด็กเป็นคนให้คะแนนครูบ้าง และครูก็ให้คะแนนเด็ก โดยมีองค์กรรัฐเข้ามาควบคุมเราก็ไม่ควรเอาความคิดเด็กเกเร ไม่ตั้งใจเรียนมาตัดสินครู รู้ได้ไงว่าเด็กเกเรก็ดูจากผลประเมินเด็กที่ครูส่ง ที่นี้ก็ให้มีการแก้ไขครูส่วนที่ไม่มีประสิทธิภาพอาจมีการไล่ออกถ้าเป็นการ ค้าก็เรียกได้ว่าครูผู้นั้นล้มละลาย มีอย่างนี้อาชีพครูจะได้มีสีสันกับเข้าบาง
เสนอ 1.ลองแข่งปั่นเด็กโอลิมปิกแข่งกันดีป่าครับ 2.ลองแข่งปั่นนักเขียนที่มี คุณภาพ 3.ลองปั่นให้เด็กทำหนังสือพิมแข่งกันระหว่างร.ร. 4.ลองปั่นเด็กให้เขียนเรียงความ การ์ตูน ภาษาต่างๆแข่งกัน
ประมาณนี้ครับ แล้วเอาตรงนี้เป็นส่วนตัดสินเรื่องขั้นจะดีกว่ามั้ยครับ ลองไปคิดกันเล่นๆดูนะครับ
ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ ความเห็นนี้คงสะท้อนอะไรบางอย่างออกมาให้ผมได้คิดต่ออีกเยอะเลยครับ แล้วคุณมองเห็นอะไรเพิ่มเติม ร่วมแลกเปลี่ยนกันได้นะครับ
ความเห็นของน้องที่ให้มา ทำให้ผมนึกถึงคำกล่าวหนึ่งที่ผมใช้ตลอดมาคือ
"เวลามีลูก อยากให้เรียนกับครูเก่งๆ แต่พอลูกเรียนเก่งๆ กลับไม่สนับสนุนให้เป็นครู แล้วจะหาครูเก่งๆ ที่ไหนมาสอน (เก่งที่มีคุณธรรมด้วยนะครับ แน่นอนว่าขึ้นกับความถนัดของลูกด้วยนะครับ)"
ขอแสดงความนับถือครับ
เม้งครับ