"คนทำงานวิจัย" ที่ทำงานอย่างหนักหน่วงในช่วงที่ผ่านมา ผมหมายถึง เหล่าบรรดา “นักวิจัย” เช่นผมที่ เป็นหนึ่งในโครงการวิจัยการพัฒนาเครือข่ายการท่องเที่ยวเที่ยวโดยชุมชน เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรอย่างยั่งยืน แต่ละภาคมีนักวิจัยสองท่านที่คอยเกื้อหนุนกระบวนการ ทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง และอีสาน พร้อมกับมีทีมงานส่วนกลางดูแลงานวิชาการหลัก ประสาน+หนุนเสริม ทีมงาน ก็ถือว่าเป็นทีมงานวิจัยที่ทำงานแล้วอบอุ่นมากที่ผมเคยสัมผัสมา
ที่ว่าทำงานหนักหน่วงเพราะงานพัฒนาประเด็นเครือข่ายเป็นงานหนัก เป็นงานที่ใช้ใจของคนเข้ามาเกี่ยวรัด เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ที่ตั้งไว้ร่วมกัน แน่นอนว่ากว่าจะมาถึงวันที่ได้นั่งพูดคุย เรื่องเดียวกัน เห็นภาพที่ปลายฟ้าเดียวกันเป็นเรื่องที่ท้าทายไม่น้อย
ปัจเจกเข้มแข็งขนาดไหนก็ตาม ก็ขาดอำนาจต่อรอง ดังนั้นการมาคนเดียวกับมาเป็นทีมศักยภาพแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะการขับเคลื่อนงานพัฒนาเชิงประเด็นที่เสนอแนวทางใหม่ๆให้กับประเทศเช่นเดียวกับ การพัฒนาเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชน (Community Based Tourism) เป็นประเด็นที่ใหม่สำหรับประเทศเรา ทุกอย่างดูไม่ชัดเจนมากนัก ในการพัฒนาการท่องเที่ยวทางเลือกนี้ในพื้นที่ชนบท การสนับสนุนการพัฒนาจึงไม่สอดคล้องกับแนวคิดหลักของการท่องเที่ยวโดยชุมชนเท่าไหร่นัก และแน่นอนว่าเกิดปัญหาขึ้นต่อจากนั้นมากมายในการคิดนโยบาย แนวทางการพัฒนาที่ไม่สอดคล้อง
การท่องเที่ยว เมื่อเข้ามาในชุมชนสุ่มเสี่ยงมากในการเปลี่ยนแปลงชุมชนไปในทางลบหากชุมชนนั้นยังไม่เข้มแข็งและมีระบบการบริหารจัดการที่ดีพอ ขาดการพูดคุยแนวคิดการพัฒนาชุมชนโดยใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือ หวังผลที่จะให้ชุมชนเข้มแข็ง เรียนรู้ได้ไปด้วยกัน แต่มักจะมีผลประโยชน์เรื่อง เงิน เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็จบกันเป็นรายๆไป เมื่อเริ่มต้นคิดว่า การท่องเที่ยวมุ่งเน้นที่ตัวรายได้
เรื่องที่น่ากังวลไม่ได้อยู่ที่ประเด็นที่นำมากล่าวข้างบนแต่เพียงอย่างเดียว การท่องเที่ยวเป็นกระแสโลก และกระแสการท่องเที่ยวแบบเรียนรู้พัฒนามากขึ้น นักท่องเที่ยวยุโรปเดินทางเข้ามาเพื่อวัตถุประสงค์นี้มากขึ้น ประเทศลาวเพื่อนบ้านของเราก็ใช้ประเด็นนี้เองในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศเพื่อหวังผลทางเศรษฐกิจ จะถูก ผิด จะไม่ขอวิพากษ์ตรงนี้ ...อีกกรณีศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจ ในเมื่อใครๆก็พูดถึงการท่องเที่ยว พูดถึงโฮมสเตย์ การพูดคุยออกไปในวงกว้างมากขึ้น นิยามของโฮมสเตย์ก็หลากหลาย และในที่สุดที่เห็นที่ประชาสัมพันธ์กลายเป็นโฮมสเตย์กลายพันธุ์ เพื่อหวังมูลค่าโดยไม่สนใจมูลค่า เป็นที่พักราคาถูกเลียนแบบในเมืองแต่เข้ามาอยู่ในชนบท ...แนวทางการพัฒนาต่อของภาครัฐที่เกี่ยวข้องเองก็ยังไม่ชัดเจน และไม่เข้าใจ แต่ก็สนใจที่จะพัฒนาโดยใช้งบประมาณทุ่มลงไปยังชุมชนอย่างนี้ น่าเป็นห่วงเหลือเกิน
งานวิจัยประเด็นการสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชนฯ จึงเกิดขึ้น เพื่อศึกษาองค์ความรู้ในการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชน ที่มีพัฒนาการมาส่วนหนึ่งแล้วที่ภาคเหนือและภาคใต้ของไทย ผ่านงานวิจัยและพัฒนาที่เรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของการใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการพัฒนาชุมชน และเห็นผลได้ เข้าไปเรียนรู้ได้ และยังมีชุมชนเล็กๆที่กระจายอยู่ทั่วประเทศลองผิดลองถูกอยู่
กระบวนการจัดการความรู้ จึงเป็นเส้นทางสำคัญที่จะนำไปสู่การรวบรวมองค์ความรู้เหล่านั้น พร้อมกับสร้างเวทีให้ชุมชนทั้งหมดเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผลักดันให้เกิดเครือข่ายการเรียนรู้ เครือข่ายการพัฒนา ซึ่งมีความพยายามในการทำเครือข่ายแล้วที่ นครศรีธรรมราช และที่เหนือ โดยเฉพาะชุมชนสามจังหวัด (เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน) ที่มีการท่องเที่ยวทางเลือกแบบเข้มข้น
งานนี้สนุกครับ เรียนรู้จากปัจเจก ดึงเอามาคิดร่วมกัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตลอดเวลาที่วิจัยและพัฒนาผมเห็นความหลากหลายของความรู้ เห็นศักยภาพของบุคคล ชุมชนที่ซ่อนไว้อย่างน่าทึ่ง ผมเริ่มเห็นแนวทางในการขับเคลื่อนงานพัฒนาชุมชนที่ใช้พลังของการเข้ามาเกี่ยวก้อยร้อยรัด
งานวิจัยระดับภาคเสร็จสิ้นลง เราได้เห็นการก่อตัวของเครือข่ายระดับภาคตามแต่ละความพร้อมและบุคลิกของแต่ละภาค เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้การพัฒนาเครือข่ายฯ ที่ บ้านผู้หว่าน จ.นครปฐม (วันที่ ๕-๗ ก.ย.๕๐)
จะดุเดือด เข้มข้นขนาดไหน เป็นการก้าวย่างของการพัฒนาเชิงประเด็นและการพัฒนาเครือข่ายที่น่าจับตามมองเป็นอย่างยิ่ง...ผมพาเหล่าจอมพลจากภาคเหนือไปร่วมงานนี้กว่า ๔๐ ท่าน แต่ละท่านล้วนเป็นนักพัฒนาที่เป็นชาวบ้านคุณภาพคับแก้ว ส่วนการเรียงร้อยถ้อยคำจากเวทีในงานนี้ผมจะนำมาเขียนบันทึกเพื่อแลกเปลี่ยนในลำดับต่อๆไปครับ
จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
ค่ำคืน ที่บ้านผู้หว่าน จ.นครปฐม
๕ ก.ย.๕๐
สวัสดีครับน้องเอก จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
สวัสดีครับเพื่อน
สวัสดีครับพี่สมนึก
เหตุเกิดเมื่อวาน...
เราเดินทางจากนครปฐม เผลอแปบเดียวขึ้นทางเดินเข้า กทม.แบบไม่ตั้งใจ ทะลุไปยังสนามหลวง รถติดระห่ำ ค่ำวันศุกร์...โอ้..เกือบหาทางออกกลับเมืองเหนือไม่ได้ คิดถึง Blogger ทุกคนที่อยู่ในกรุงเทพเลยครับ ยิ่งเห็นสถานีรถไฟทีไร ใจประหวัดคิดถึงพี่สมนึกทุกที
- -- - - - -
งานในส่วนของงานวิจัยเสร็จสิ้นลงเเล้วครับ ตอนนี้ก็เหลือเพียงนั่งสรุป วิเคราะห์ สังเคราะห์ไปตามเรื่องราว แต่ในเรื่องของปฏิบัติการนั้น ถือว่ากำลังเริ่มต้น เด็กหัดเดิน ช่วงแรกต้องฟูมฟักพอสมควรครับ...งานนี้เหนื่อยและท้าทายดี ต้องรอดูกันครับ ว่าทางก้าวของการพัฒนาเชิงประเด็นนี้จะเป็นไปอย่างไร
อย่างไรก็ดี ผมเห็นสัญญาณที่น่าดีใจจากภาครัฐแล้ว ในกรณีนี้ เพียงแต่ ชุมชนเราเข้มแข็งจรองหรือไม่- จากนั้นเราก็สานรับนโยบายระดับชาติได้ ต้องมียุทธศาสตร์ กระบวนการ ชัดเจน ผมคิดว่าเดินไปได้ไม่หลงทางและยั่งยืนในอนาคต
อีกยาวไกลเหมือนกันครับผม
สวัสดีครับ คุณ naree ครับ
ผมนั่งฟังท่านภราเดช พยัพวิเชียร บรรยายในงานครั้งนี้ ก็เห็นด้วยตามที่ท่านได้กล่าวว่า การทำงานพัฒนาการท่องเที่ยว จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีตัวช่วย
ตัวช่วยในที่นี้คือ ภาครัฐ เอกชน ที่สามารถเกื้อหนุนชุมชนได้ การพัฒนาในอุดมคติจากล่างขึ้นบนเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ในขณะเดียวกัน การพัฒนาจากบนลงมาก็ต้องมีแต่มาบูรณาการความคิดกัน หาเลือก ทางออกที่เหมาะสม
ดังนั้น ครั้งนี้เป็นการประกาศศักดาของความเข้มแข็งของชุมชน และโชว์ พร้อมแชร์ กระบวนการพัฒนาชุมชนของตนเองที่เป็น "บทเรียนที่ดี" ผมเห็นภาพเหล่านี้เเล้ว อยากให้ภาครัฐเข้ามาร่วมด้วยเหลือเกิน
จริงๆในส่วนของภาคเหนือ ผมเองได้เชิญภาครัฐที่เกี่ยวข้องมาร่วมด้วยส่วนหนึ่ง แต่ก๋มีอีกส่วนที่ไม่ได้มาเนื่องจากภาระกิจปลายเดือน ปลายปีงบประมาณหนักหน่วงมาก ก็น่าเสียดายครับ...อยากให้มาเรียนรู้กับชุมชน
โดยเฉพาะประเด็น "ผลิตภัณฑ์ชุมชน" ผมและพี่หนุ่ย แห่งคีรีวง นครฯ เป็นผู้ชวนคุย เราได้ประเด็นที่ผมคิดว่า รัฐเองก็คงต้องทบทวนตัวเองอย่างมากในการส่งเสริมงวานพัฒนาอะไรสักอย่างในชุมชน มิฉะนั้นกลายเป็นโศกนาฎกรรม OTOP อย่างที่ชาวบ้านเจอ แข่งกันเจ๊ง...
ในส่วนประเด็นเล็ก ประเด็นน้อย ผมจะทยอยนำมาเเลกปลี่ยนเป็นบันทึกครับ
ขอบคุณคุณ naree มากครับ ที่มาเยี่ยมและให้ข้อเสนอแนะ
งานนี้ผมได้เจอเสียง ตัวจริงของนักพัฒนาที่มาจากเมืองจตุคาม - นครศรีธรรมราช หลายๆคน คาดว่า ครูนงเองก็คงคุ้นเคยกับคนเหล่านี้ดีครับ เพราะผมถามหลายๆท่านก็รู้จักครูนงครับผม
บุคลิกนักพัฒนาเมืองใต้ โดดเด่นมากในสายตาผม ทั้งการพูด การนำเสนอ การใช้โวหาร คมคาย ฟันธง และเสริมด้วยมุขเด็ดๆ สมรรถนะที่เด่นๆเหล่านี้ ผมพบเห็นจากพี่น้องคนใต้ที่มาในงานนี้
ผมได้ตามไป อ่านบันทึกที่ครูนงทำลิงค์มาให้แล้วครับ และดีใจที่ชุมชน "คนนอกระบบ" ได้นำร่องการพัฒนาทางปัญญาได้อย่างสวยงาม
เป็นกำลังใจให้ครูนงครับ
ด้วยความเคารพครับ
สวัสดี คุณจตุพร
ยังทำงานหนักเหมือนเดิมนะ
การทำงานหลายคน ย่อมดีกว่าคนเดียว
หลายความคิด ย่อมจะได้ความรู้เพิ่มขึ้น
การพัฒนา เป็นสิ่งที่ดีงาม นั่นหมายถึง เป็นการพัฒนาทั้งคน ทั้งจิตใจด้วย พร้อมกันไป
อย่าลืม ส่งเสริมทางด้านจิตใจด้วย
จะเป็นกำลังใจให้เสมอ
สุข สงบ เย็น
rainalone
สวัสดีค่ะ..คุณเอก
กำลังปั่นงานวิจัยล้านปีอยู่เหมือนกันค่ะ..จนเกือบจะเป็นไดโนเสาร์แล้วค่ะ..แหะแหะ ทำไปด้วยแวะเยี่ยมเยียนพี่น้องในบล็อกด้วย..รื่นรมย์เชียวค่ะ..
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้งานเสร็จสมใจนะคะ.
มีความสุขกับการทำงานและชีวิตในทุกๆวันค่ะ..
น้องเอกครับ
เรื่องงานวิจัย การท่องเที่ยว สังคมชุมชน การอนุรักษ์ ศิลปวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่น
ผนวกกับการจัดการอย่างชาญฉลาดของผู้ประกอบการ หรือของชาวบ้านในชุมชน
เพื่อเศรษฐกิจพอเพียง หรือการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
ล้วนเป็นโจทย์ให้ขบมาหลายสมัยของรัฐบาล ผู้ประกอบการและชุมชน
องค์ประกอบดังกล่าวต้องผสมผสานอย่างลงตัว
เรือนแรม พักยาว พักสั้น
เป็นจุดขาย เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ซึมซับรับรู้ถึงแก่น วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ในชุมชนนั้นๆ ผ่านการพักแรมเพียงชั่วยาม
ต้องให้เขาได้เรียนรู้สิ่งดีดี ในชุมชนต้องมีสิ่งดีดีก่อน
ที่เป็นของจริง ไม่ใช่จัดฉากหรือออเดอร์มา
ผมเคยฝันถึงกระบวนการบ่มเพาะให้นักศึกษาที่มาเรียนให้กลับไปในแต่ละท้องถิ่นที่ตนอาศัยอยู่ ไปสร้างสิ่งเหล่านี้
ไปเป็นผู้ประกอบการ ไปเป็นผู้สื่อสาร ไปเป็นนักอนุรักษ์ สร้างชุมชนท้องถิ่นของตนเองให้รุ่งเรืองอย่างยั่งยืน
ผมกำลังคิดจะปักป้าย ชุมชนราชภัฏ โดยปลูกฝังความคิดนี้ นำเอากระบวนการดังกล่าวไปสร้างตัวอย่างในชุมชน ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน
ผมกำลังจะฝันไป หรือน้องเอกจะมาช่วยกันทำฝันให้เป็นจริง?
สวัสดีครับ ท่านrainalone
ทำงานไปเรื่อยๆครับ ผมหนักบ้าง เบาบ้างสลับกันไป ก็ไม่สำคัญเท่ากับทำแล้วมีความสุขในการทำงาน ได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยน
การทำงานเพื่อพัฒนาจำเป็นต้องขยายเครือข่ายคนทำงานครับ เพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้ที่หลากหลาย กำลังใจก็มีส่วนสำคัญ และการต่อรองในหลายๆประเด็น พร้อมกับจุดยืนในสังคมไทย
เห็นด้วยว่า ต้องพัฒนาทางจิตใจด้วย หากมุ่งแต่ความสำเร็จไม่ได้ดูแลจิตใจก็ไม่ควร ทำสิ่งใด เรื่อง "ความสุข" เป็นสิ่งสำคัญ
ขอบคุณมากครับ ที่เเวะเวียนมาให้กำลังใจผมบ่อยๆ
เห็นข้อคิดเห็นของครูแอ๊ว แล้ว ขำๆครับ งานวิจัยล้านปี อย่างนี้หากเป็นงานนวัตกรรมคงช้าไม่ทันการละครับ
งานวิจัยให้ดี มีข้อมูลให้เขียนๆไว้ก่อนเพื่อได้นำมาสังเคราะห์ค่อยๆทำไป หากทำทีเดียวก็เหนื่อยครับ
ทำไปแวะเยี่ยมพี่น้องใน gotoknow ไป ข้อดีก็คือ คลายเครียด ส่วนผลที่ตามมาก็คืออาจเพลิดเพลินจนงานต้องทำต่ออีก ล้านปีครับ อิอิ
มีความสุขกับการทำงานเช่นกันครับ
ขอบคุณเสมอกับมิตรภาพดีๆครับผม
สวัสดีครับอาจารย์
ผมเห็นว่า มหาวิทยาลัยราชภัฎ มีหลักสูตรเกี่ยวกับทางด้านท่องเที่ยวด้วย และเทรนท์ของการท่องเที่ยวในอนาคต ecotourism กำลังได้รับความสนใจ เพราะเราเน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้มากขึ้น
ชุมชนเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญเพราะมีทั้งตัวคุณค่า และมูลค่าอยู่ ที่สำคัญที่สุดเราหนีไม่พ้นจากกระแสฟ้ามิอาจกั้นได้เลย การท่องเที่ยวที่มาจากทุนนิยมเข้าไปหาชุมชนแน่
โจทย์ที่น่าจะท้าทาย โปรแกรมการท่องเที่ยวของ มรภ. น่าจะเน้นประเด็นนี้ครับ เพราะ การท่องเที่ยวกระแสหลักทำความบอบช้ำให้ผู้คนทรัพยากรมานาน ตราบใดที่เรายังผลิตบัณฑิตที่รองรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอยู่เพียงแนวทางเดียว ก็หมายถึงวิถีคิดเด็กเหล่านั้นมุ่ง กำไร ขาดทุน คิดในเชิงธุรกิจแบบนี้ห่างไกลชุมชนมากขึ้นทุกที
พันธกิจของ มรภ.นั้น หากเน้นการรับใช้ท้องถิ่น ผลิตคนที่มีปัญญา พัฒนาท้องถิ่น การเรียนการสอนอาจต้องให้ชัดเจนว่า ผลิตเด็กออกมาแล้วเพื่อสนองตลาดไหน สนองชุมชนด้วยหรือไม่
เป็นไปได้ว่าต้องผลิตออกมาทั้งสองแบบ หรือผสมผสานกัน
ทั้งหมดผมเองได้ทำงานในส่วนของนักพัฒนา และใช้ประเด็นการท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการพัฒนาชุมชน ผมเห็นว่าในส่วนของกระบวนการทำให้คนเข้ามาร่วมคิด ร่วมกันวางแผนกำหนดวิถีตนเองได้ สรางภูมิคุ้มกันไว้ก่อน ที่การท่องเที่ยวจะมา หรือ มาแล้วชุมชนจัดการได้ เป็นเรื่องที่เราต้องการเลยครับ
เป้าหมายของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนนั้น เรามองใน ๓ ประเด็นหลักด้วยกันครับ
ในส่วนฝันของอาจารย์นั้น ผมขอสนับสนุนเต็มที่ครับ และมีโอกาสผมขอร่วมด้วยช่วยกัน มีช่องทางใดที่ผมสามารถทำได้ แจ้งมาได้ครับ
ส่วนเนื้อหาที่เป็นความรู้ประเด็น "การท่องเที่ยวโดยชุมชน" สามารถอ่านได้จากบันทึกผม ที่เขียนเกี่ยวกับการพัฒนาเชิงประเด็นเหล่านี้ครับ
ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากครับ สำหรับขวัญกำลังใจที่อาจารย์มีให้ผม
ขอให้อาจารย์ดูแลสุขภาพด้วยครับ
สวัสดีค่ะคุณเอก ดีใจด้วยที่งานเวทีแลกเปลี่ยนฯที่เพิ่งผ่านไปได้ให้แนวทางที่จะทำให้ทีมงานสร้างเครือข่ายพันธมิตร สานต่อไปอย่างเข้มแข็ง และมีผู้ใหญ่ที่เข้าใจความสำคัญของ "ตัวช่วย" มาร่วมให้ข้อคิดและรับฟังสิ่งที่ทีมงานร่วมกันทำมาอย่าง "คิดใหญ่ ใช้ใจร้อย"
คิดว่าประสบการณ์และข้อมูลที่ทำงานวิจัยมา น่าจะเขียนเป็นหนังสือที่อ่านสนุกและได้ความรู้อย่างเป็นเรื่องเล่า(ไม่ใช่รายงานการวิจัย) จะได้ทำให้สิ่งที่ค้นพบ และแนวคิดเผยแพร่ออกไปได้อีกกว้างไกล ชื่นชมมากที่คุณเอกมองอย่างครบมิติ มีความเข้าใจจริงๆที่มาจากการไปสัมผัสพื้นที่และผู้คน
เป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวดที่ต้องมีความเข้าใจที่ถูกทาง ทำอย่างถูกวิธี หาไม่การท่องเที่ยวจะทำลายยั่งยืน แต่สร้างมูลค่ารวดเร็วอย่างที่เป็นอยู่
สวัสดีครับ อาจารย์ ดร.ยุวนุช
งานนี้ไม่ได้เจออาจารย์ครับ ...บรรยากาศการแลกเปลี่ยน Alert มากครับ เพราะเป็นการรวมเอาภาคประชาชนที่มีคุณภาพมารวมกัน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้จึงสนุก หากเราให้คะเเนนกระบวนการจัดการความรู้ข้อนี้ผ่านครับ
เรื่องเครือข่าย คงต้องทำความเข้าใจครับ ปรากฏการณ์ที่พบได้ในงานคือ ความหลากหลายของกระบวนการคิดแต่ละภาคอาจจะคลิ้กตรงกันยาก การเชื่อมร้อยที่มีดุลยภาพต้องคุยกัน นี่อาจเพียงการเริ่มต้น
งานนี้มีหนังสือเล่มหนึ่ง ที่เกิดขึ้นระหว่างทางในการทำงานวิจัย ผมเองได้เขียนในส่วนหนึ่งเป็นหนังสือที่ภาคภูมิใจมากครับ ผมจะแจ้งให้น้องธันยพรนำไปให้มอบให้อาจารย์
ขอบคุณอาจารย์ครับ- - - สำหรับการติดตามและให้กำลังใจทีมงานเสมอมา
ไม่ยักกะรู้ว่าไปงานเดียวกัน ฮ่า.....
คิดว่าผมคงเด่นไม่พอที่คุณหุยจะจำได้...อิอิ
เป็นทีมงานของ ภาคเหนือครับ และเป็นนักวิจัยที่เราเป็นเจ้าภาพงานที่คุณหุยไปร่วมหละครับ
เสียดายนะครับ ในห้องประชุมก็ไม่ได้กว้างมาก เเต่ ไหงไม่เจอกัน
ผมได้เจอและคุยกับ คุณหญิง แห่ง สคส. ครับ คนนี้ก็หากไม่ได้นั่งทานข้าวข้างๆ คงไม่ได้เจอกันอีก