ถ้าเราระลึกหรือดึงความรู้จากความจำระยะยาว(LTM) ให้ออกมาสู่ความจำระยะสั้น(STM) เพื่อแก้ปัญหาบางอย่าง เราเรียกกระบวนการนั้นว่า คิด การคิดมีหลายประเภท แต่ที่สำคัญ มีสองประเภท คือ การคิดทางเดียว กับความคิดสร้างสรรค์หรือคิดหลายทิศทาง(กรุณาดูที่ http://gotoknow.org/archive/2006/01/09/12/07/03/e11673 )
ถ้าเราเสนอปัญหาให้ดูว่า 1+2=? กระบวนการทางกายก็จะเป็นดังนี้ ประโยคสัญญลักขณ์ 1+2=? นี้ก็จะเข้ากระตุ้นที่ตา กระแสประสาทจากตาจะเดินทางต่อไปอย่างรวดเร็วถึง Cerebral cortex ที่บริเวณท้ายทอยซึ่งเป็นแดนการรู้สึกเห็น; การรู้สึกเห็น(จิต)ก็เกิดขึ้นทันที ความรู้สึกเห็นนี้ยังคงอยู่แวบหนึ่ง เราจึงเรียกว่าความจำการรู้สึกสัมผัส(SM)(ที่ได้กล่าวมาแล้วโปรดดูที่ http://gotoknow.org/archive/2005/12/01/17/01/48/e85666 ) และในขณะนั้น ความจำเกี่ยวกับเลข 1,2,+,=,?,ในความจำระยะยาว(LTM)ก็จะถูกดึงออกมาสู่ความรู้สึก(Conscious)ในระบบ STM จากนั้นจึงเกิดกระบวนการปฏิบัติการ หรือกระบวนการจัดกระบวนสาร ในSTM ตามกฏของการบวก จนได้คำตอบว่า 3 ซึ่งมี คำตอบเดียวเท่านั้น(กรณีเลขฐาน 10) (กระบวนการที่ต่อจากกระบวนการทางกายทั้งหมดเป็นกระบวนการคิด) การคิดนี้เรียกว่า การคิดทางเดียว เพราะว่าคิดเพื่อไปหาคำตอบถูกเพียงคำตอบเดียว และโจทย์ปัญหาประเภทนี้ ก็เรียกว่า ปัญหาประเภทคิดหาคำตอบเดียว
ข้อสอบที่สอบกันในโรงเรียน เกือบ 100% เป็นข้อสอบประเภทคิดทางเดียว เพราะให้เราหาคำตอบถูกพียงคำตอบเดียว เราสอบกับข้อสอบประเภทนี้มาตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัย นับเป็นเวลานับสิบๆปี แต่ละปีก็สอบกันหลายครั้ง คูณเข้าไปดู ก็จะพบว่าเราผจญกับข้อสอบประเภทคิดทางเดียวมากี่พันกี่หมื่นครั้งก่อนที่เราจะจบออกไป แม้ว่าบางครั้งมีข้อสอบประเภทบรรยายให้โอกาสคิดเสรีบ้าง แต่ก็เน้นให้คิดไปหาคำตอบเดียวอยู่ดี ยกเว้นข้อสอบเรียงความ
เราผ่านจากชั้นหนึ่ง ไปชั้นหนึ่งได้ในแต่ละปี เพราะเรามีผลสัมฤทธิ์ในการคิดทางเดียว เป็นเช่นนี้ทุกปี จนได้ปริญญา ถ้าใครมาว่าเราว่า ปริญญาที่ท่านได้มานั้น เป็นปริญญาคิดทางเดียว แล้วเราจะอธิบายเขาว่าอย่างไร ผมเองก็เรียนมาแบบนั้นเหมือนกันครับ เอาเถอะ อย่าว่ากันเลยครับ ยกให้เป็นเรื่องของการพัฒนาการของระบบการศึกษาของโลกก็แล้วกันนะครับ
ไม่แต่เท่านั้น ข้อสอบวัด IQ ซึ่งวัดว่าเรามีระดับสติปัญญาสูงหรือต่ำ ก็ล้วนแต่เป็นข้อสอบประเภทคิดทางเดียว เพราะใช้ข้อสอบที่ให้คิดหาคำตอบถูกเพียงคำตอบเดียวเหมือนกัน
ด้วยเหตุดังกล่าว เราจึงพบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในโรงเรียนมีสหสัมพันธ์กันสูงกับคะแนน IQ เพราะต่างก็ใช้ข้อสอบประเภทคิดทางเดียวเหมือนกัน ใครได้คะแนน IQ สูง เราก็ทายว่า เขาจะเรียนในโรงเรียนได้ดีกว่าคนที่มี IQ ต่ำกว่า หรือในทางกลับกัน คนที่ได้คะแนนวิชาต่างๆสูงในโรงเรียน เราก็ทายว่า เขาน่าจะมี IQ สูงด้วย ทั้งนี้เพราะทั้งสองแบบใข้อสอบประเภทให้คิดทางเดียวเหมือนกัน
ถ้าตรงกันข้าม เราเสนอปัญหาว่า อะไรบ้าง ที่บวกกันแล้วได้ = 3 ? ตอบมาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ? คำตอบก็จะเป็น : 1+2=3;0+3=3;1+1+1=3;3+0+0=3;1+2+0=3;(1-1)+3=3; 6/2+0=3; ....... การคิดใน STM ก็จะคิดแบบหลายทิศทาง คำตอบจะมีหลายคำตอบ คำตอบง่ายๆ จะเหมือนกับคำตอบของคนอื่นๆ แต่เมื่อมีจำนวนคำตอบมากขึ้นๆ ก็จะได้คำตอบที่ไม่เหมือนใคร เป็นคำตอบเอกลักษณ์ เมื่อเป็นเอกลักษณ์ก็ เป็นคำตอบริเริ่ม ความคิดเช่นนี้คือ ความคิดสร้างสรรค์ (Creative thinking) ที่ผมเคยกล่าวมาบ้างแล้วในบันทึกครั้งก่อนๆ ซึ่งเราจะไม่ค่อยได้พบเห็นในระบบการศึกษาของเรา
ปัญหาที่ยั่วยุหรือพัฒนาความคิดสร้างสรรค์จะเป็นดังนี้ ในระดับประถม: ให้บอกวิธีปลูกถั่วมาให้มากที่สุด วิธีหนึ่งก็ได้หนึ่งคะแนน ? ให้บอกวิธีทดลอง....มาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้? ในระดับมหาวิทยาลัย : ให้คิดเสนอปัญหาการวิจัยมาให้มากวิธีที่สุด ? ให้ดัดแปลงวิธีทดลอง...ให้แปลกออกไปจากเดิม และให้ได้ผลดีกว่าเดิม ? ให้ออกแบบรถยนต์ให้กินน้ำมันน้อย ใช้ชิ้นส่วนประกอบน้อยลง แต่มีสมรรถนะสูงกว่าเดิม ? ให้สร้างวรรณกรรมใหม่ไม่ให้เหมือนใครในเมืองไทย? ให้นิรนัยสมมุติฐานจากทฤษฎี....มาให้มากที่สุด ? คิดหาวิธีการขายให้ได้กำไรมากที่สุด โดยใช้การโฆษนาให้น้อยที่สุด ? ให้นำหลักวิชาทั้งหมดมาช่วยให้คนในชาติมีความสุขที่สุดโดยลงทุนน้อยที่สุด ? ฯลฯ
ถ้าระบบการศึกษาของเราได้เน้นความคิดสร้างสรรค์ดังตัวอย่างที่กล่าวมา ตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัย ระยะเวลานับสิบๆปี แล้วละก้อ อะไรจะเกิดขึ้น
แต่ มันน่าแปลกใจมากครับ ที่ความสามารถของเราทั้งสองอย่างนี้ มันไม่ค่อยจะไปด้วยกัน คือ คนที่มีความคิดสร้างสรรค์สูง ก็ไม่แน่ว่าจะคิดทางเดียวเก่งด้วย และคนที่คิดทางเดียวเก่ง ก็ไม่แน่ว่าจะคิดสร้างสรรค์สูงด้วย เราจึงพบปรากฏการณ์ในสังคมของมนุษย์ว่า คนที่มี IQ สูง สามารถเรียนในระบบการศึกษาปัจจุบันได้ดี พบความสำเร็จจากการเรียนดี แต่พวกเขาก็ไม่ค่อยได้คิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ แปลก ไว้ให้สังคมมากสักเท่าไร คือมีเหมือนกัน แต่ไม่ทุกคน แต่บางคนก็นับว่าโชคดีมากครับ เพราะนอกจากเขาจะมี IQ สูงเหนือมนุษย์มนาแล้ว เขายังมีความคิดสร้างสรรค์สูงด้วย ครับ บุคคลเช่นนี้ไม่ค่อยได้มาเกิดในบ้านเราครับ หากมีมาสักคน ก็ขอให้ช่วยกันประคบประหงม สังคมควรช่วยกันโอบอุ้มหวงแหน ไม่ใช่ปล่อยให้เขาอยู่ตามยะถากรรม ในป่าในเขา หรือในกองขยะนะครับ เพราะบุคคลพวกนี้ไม่ได้เลือกที่เกิดครับ เขาเกิดได้ในทุกๆที่ โดยทฤษฏีแล้ว คนที่มี IQ สูงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์สูงด้วยจะอยู่ในกลุ่มคนประมาณ 16 % เอา 65 ล้านคนคูณเข้าไปก็จะได้ประมาณ 10 ล้านคน โดยทั้งตั้งแต่ทารกไปจนกระทั่งชราภาพกำลังจะตายอยู่โน่นแหละครับ น่าสนใจจริง อยู่ในครอบครัวของท่านบ้างไหมครับ.
อ่านแล้วมันดีครับ ถ้าการศึกษาเราทำได้อย่างที่เขียนนี่สัก 10 % ผมว่าประเทศไทยจะยิ่งใหญ่ครับ
ขอบคุณที่ไปเยี่ยม beeman ครับ
ขอบคุณอาจารย์สมลักษณ์ครับ
บทความนี้ดีมากๆเลยครับ
อืม...เห็นด้วยเลยครับ...
ปัจจุบันระบบการศึกษาหลายๆที่ มักจะสอนเพียงว่า"ทำอย่างนี้...แล้วต้องได้ผลอย่างนี้"
แต่กลับไม่ชอบที่จะให้"ทำอย่างไรบ้าง...แล้วจึงจะได้อย่างนี้" หรือ"ทำอย่างนี้...แล้วได้ผลอย่างไรบ้าง"
ขอบคุณครับ ผมว่า ถ้าเราเห็นว่า เป็นของจริงของแท้ ที่จะมีประโยชน์ต่อสังคม แล้ว เราควรจะยืนหยัด และ สู้ๆๆ.. ครับ
อยากทราบว่า ทำไมเราถึงจำเนื้อเพลงได้ดีกว่าข้อสอบหละคะ
พอจะมีทฤษฎีอะไรที่พิสูจน์ได้บ้างมั๊ยคะ
การจำเนื้อเพลงเป็นการจำแบบ"จำตามลำดับ"หรือ Serial Recall โดยที่คำแรกโยงสัมพันธ์กับคำที่สอง คำที่สองโยงสัมพันธ์กับคำที่สาม เป็นดังนี้เรื่อยไปจนจบ นอกจากนี้ ยังเป็นคำสัมผัสบ้าง คล้องจองบ้าง แถมยังมีทำนองด้วย ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับข้อสอบ หรือความรู้ที่จะตอบข้อสอบ นอกจากแหล่งที่อยู่ของเพลงกับมโนทัศน์และหลักหรือกฎใน LTM ก็ต่างกัน ดังนั้น สองอย่างนั้นจึงต่างกันครับ
ดร.ไสว
อยากมีความจำดีดีดีดีดีดีดีดีดีดี
ลองใช้วิธต่อไปนี้ดูก็ได้ครับ
(๑) วิธีเข้ารหัสกับรหัส เช่น เราจะจำอักษรกลาง ก จ ด ต ฎ ฏ บ ป อ เราก็เข้ารหัสว่า "ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง และ ฎ ฏ " เมื่อจะระลึก เราก็ "ถอดรหัส"ออกมา เป็น ไก่ = ก, จิก = จ, ... ในที่นี้ ไก่, จิก, คือรหัส
เราอาจจะใช้รหัสเป็นรูปภาพที่เราคุ้นเคยแล้วก็ได้ เช่น เอาภาพโต๊ะที่เรานั่งเขียนหนังสือทุกวันเป็นรหัสก็ได้ แล้วเราเอา ก คู่กับ หนังสือ, จ คู่กับปากกา, .. เมื่อเราจะรลึก เราก็เพ่งภาพโต๊ะจากจินตภาพ แล้วเราก็ถอดรหัสออกมา เป็น ต้น
(๒) จำเป็นกลอน เช่น A B C D E F G, H I J, K L M N O P, Q R S and T U V, W and X Y Z
แต่คนที่จำสูตรคณิตศาสตร์ได้หมด ก็ไม่แน่ว่าจะเก่งคณิตศาสตร์ นะครับ ความจำกับวามคิดไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แต่ แน่ละ หากไม่มีความจำแล้ว ก็อย่างหวังเลยว่าจะคิดอะไรได้ !! เช่น ถ้าไม่รู้ว่าควายมีกี่ขา ก้ย่อมตอบโจทย์ว่า "ควายสองตัวมีกี่ขา" ไม่ได้ !!!
เป็นบทความที่ดีค่ะ ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่คิดกันไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ เพราะถ้าคิดมากเกินหน้าเกินตาคนอื่นก็ถูกเขม่น โดยเฉพาะถ้าเป็นลูกน้องเขาด้วยแล้วคิดอะไรเกินหน้าเกินตา เสนออะไรก่อนก็จะถูกบล็อกความคิดนั้น จนหัวหน้านั้นได้พบได้เห็นหรือได้รู้จากผู้ที่สูงกว่าตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้เลยทำให้เราในฐานะผู้น้อยไม่สามารถคิดอะไรได้ ต้องแกล้งโง่ จนกลายเป็นโง่จริงไปเลย หรือกลายเป็นคนไม่ทำอะไรเลยเพราะทำไปก็ถูกบล็อก
ทำไมความจำไม่ดีเลยค่ะ
ความจำไม่ดีอาจจะเนื่องมาจาก
(๑) อาจจะเนื่องมาจากช่วงของความจำสั้น หรือน้อย หรือต่ำ โดยปกติช่วงของความจำของคน(หรือความจุของความจำ)จะมีอย่างน้อย ๕ หน่วยหรือคำ อย่างมากถึง ๙ หน่วยหรือคำ หากเรามีช่วงความจำสั้น ก็จะจำได้น้อยหน่วยหรือน้อยคำ
(๒) เราไม่ค่อยได้ทบทวนสิ่งที่จำ ถ้าทบทวนจะจำได้นานขึ้น
(๓) เกิดจากการตามรบกวนหรือการย้อนรบกวนทำให้เกิดการลืม ทำให้เราจำได้น้อย
ผมกำลังสนใจว่าความจำในคนสำคัญมากแค่ไหน ถ้าเราตื่นขึ้นมาแล้วจำเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้นกับเรา เราไม่รู้จะไปไหน จะทำอะไร ที่สำคัญไม่รู้ว่าจะทุกเรื่องอะไรงานที่ค้างอยู่ หนี้สินที่มี นัดหมาย ปัญหาอุปสรรคมากมาย มันคงจะหายไปหมด ความจำ กับมนุษย์ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร บทความของอาจารย์ ทำให้คิดถึงสมัยที่เรียนมัธยม เดิมเคยสอนกันเรื่องตารางธาตุ ว่าธาตุประกอบด้วยอะไร มีอิเล็คตรอนโคจรอยู่รอบนิวเคลียส (รู้ได้ยังไง) แต่ครูกลับไม่สอนเรื่องตารางธาต แต่เอากล่าสี่เหลี่ยมปิดทึบมาให้ลองเล่น แล้วครูก็ถามว่าข้างในมีอะไร นักเรียนก็พยายามหาคำตอบกันหลากหลาย บ้างก็เขย่า บ้างก็เอียนแล้วฟังเสียง สังเกตุการเคลื่อนใหวของสิ่งที่อยู่ข้างในแล้วก็ตอบต่างกันไป ขึ้นกับวิธีทดสอบของแต่ละคน สุดท้ายอาจารย์ก็บอกว่ารูปร่างของอะตอมก็ยังไม่มีใครเคยเห็น แต่ก็สันนิฐานตามผลการทดลอง ทำให้เข้าใจวิธีคิดว่าการเรียนรู้ที่ดีควรเกิดจากการสังเกตุคิดวิเคราะห์มากกว่าการจดจำ ท่องจำ แนวคิดของอาจารย์น่าสนใจมากครับ
สวัสดีครับ คุณศุภเศรษฐ
ขอบคุณครับที่ชม ผมว่าครูของคุณ เป็นครูที่สอนดีมาก แทนที่เขาจะใช้วิธี "บรรยาย" ว่า อะตอมนั้น ไม่มีใครเคยเห็น และอนุภาคที่ชื่ออิเล็กตรอนที่ว่งโคจรรอบนิวเคลียสของอะตอมนั้นก็ไม่มีใครเคยเห็น และสิ่งใดๆที่เราไม่สามารถเห็นได้ เราเรียกว่า "ทฤษฎี" แต่เขากลับให้เด็ก "สังเกต"ด้วยหู แล้ว "คาดเดา", "สันนิษฐาน", "พยากรณ์", "ทาย", "สมมุติฐาน" (จะเลือกใช้คำไหนก็แล้วแต่ภูมิของผู้ใช้) สมกับเป็นครูวิทยาศาสตร์แท้ คล้ายๆกับที่พระพุทธองค์เคยสอนองคุลีมาลย์ว่า "...เจ้าลองเด็ดใบไม้มาหนึ่งใบซิ แล้วฉีกออกเป็นสองซีก และให้เจ้าลองต่อเข้าให้เหมือนเดิมซิ องคุลีมาลย์ทำตาม ไม่สำเร็จ ทันใด เขาตาเบิกกว้าง ตกตลึง (ผมว่าเอง) ... " ข่าวเล่าว่า องคุลีมาลย์เอามาลัยนิ้วมือนั้นทิ้งขว้างไป แล้วขอบวชตั้งแต่บัดนั้น" ช่างเป็นวิธีสอนที่มหัศจรรย์เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว ดังนี้ ผมจึงว่าคุณได้ครูดี มิน่าเล่าศิษย์ของเขาจึงฉลาดเฉียบแหลม เรื่องของการสังเกตก่อนแล้วคิดนี้มีเล่ากันมากมาย เช่นอารคีมีดีสร้องยูเรก้าเมื่อสังเกตเห็นน้ำล้นออกมา นิวตันสังเกตเห็นลูกแอปเปิ้ลหล่นใส่หัว ก็คิดไปถึงใจกลางโลก แล้วคนต่อมาก็สันนิษฐานต่อว่า ถ้าใจกลางโลกเต็มไป้ด้วยหินเหล็กละลายและไหลวนแล้ว ก็เดาว่ามันจะต้องเกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้ามหาศาล และเกิดแรงโน้มถ่วง แล้วเดาต่อไปว่า แรงนี้จะออกไปไกลมากเป็นสนามแม่เหล็กโลก กาลิเลโออายุยังไม่ถึงยี่สิบปีหรืออะไรนี่ก็สังเกตเห็นระฆังแกว่างไปมา ก็ทดลองต่อจนคิดเดาไปถึงจักรวาลว่า อริสโตเติ้ลผิดที่สอนว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ที่แท้ดวงอาทิตย์ ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์สังเกตเห็นอุกาบาตหล่นชนโลก ก็คิดเดาว่า แกเล็กซี่เล็กก็คงจะวิ่งชนแกเล็กซี่ใหญ่ ฯลฯ ต้องสังเกต สถาบันที่สร้างครูขณะนี้ทำหรือเปล่า การสอนของเรายังล้าหลังจะโทษครูฝ่ายเดียวหาได้ไม่.... คุณยั่วผมให้ผมพูดมากไปแล้วนี่
ดร.ไสว
สายตาเป็นสื่อบอกให้เราเห็นและรับรู้ต่อสิ่งใดๆ มากมาย เมื่อมองในสิ่งที่ดีก็ได้ดี มองในสิ่งที่ไม่ดีก็ได้ไม่ดีก็มีน่ะ เพราะนำสู่การทรงจำอีกแบบหนึ่ง มีเหตุการณ์เป็นเรื่องจริงเล่าสู่กันน่ะคือว่ารุ่นม.ปลายได้อาศัยกับแม่ มีน้าคนหนึ่งนิ้วของเขาข้อต่อหัก 3 นิ้วเลย ฉันมองไปและคิดว่าเขาไปทำอะไรเนี๊ยจึงเป็นอย่างนั้น เชื่อไหมผ่านไป 10 ปีกว่า ฉันก็เป็นเหมือนเขาคือนิ้วก้อยข้อต่อหักงอไม่สวยเลย จึงคิดว่าตาบ่งบอกเหตุการณ์เป็นความทรงจำให้รับรู้
สวัสดี คุณปราณี
สิ่งที่เล่ามาเป็นเรื่องที่น่าสนใจ คำกล่าวที่ว่า ตาบ่งบอกเป็นความทรงจำให้รับรู้ นั้น เป็นข้อสรุปครับ ข้อสรุปนี้เป็น การลงความเห็น ของคุณเอง นั่นคือ คุณเห็นเหตุการณ์นี้ ๑ ครั้ง แล้วลงสรุปเป็นข้อความทั่วไปว่า เป็นความทรงจำให้รับรู้ เป็นการลงสรุปแบบ อุปนัย มันไม่ได้ตรงกับการอุปนัยทีเดียว แต่จัดเข้าอยู่ในประเภทอุปนัยได้ มันคล้ายๆกับว่า เข้าไปในชุมชนหนึ่ง เราพบคนคนหนึ่งสวมหมวก พบคนที่สองก็สวมหมวกอีก คนที่สามเป็นหญิงก็สวมหมวกอีก พบเด็กก็เห็นสวมหมวกอีก ..... แล้วเราก็ลงสรุปว่า คนเมืองนี้ส่วนใหญ่หรือทั้งหมดสวมหมวก ต่างแต่ว่าของคุณนั้น คุณพบรายการเดียวก็ลงสรุปแล้ว เป็นการด่วนเกินไปไหมครับ เหมือนกับใครคนหนึ่งไปถ่ายรูปมาติดผีมาตนหนึ่ง แล้วมาบอกใครๆว่า แถวนั้นมีผีเต็มไปหมด หรือ สรุปว่า ผีมีจริง เราควรไปถ่ายในที่เดียวกันนั้นมาใหดูซ้ำอีกที หรือ ถ่ายมาหลายๆครั้งก่อน ถ้าพบว่า ติดผีมาทุกครั้งแล้วจึงค่อยสรุป จะดีไหมครับ
อ้อ ถ้าคุณเป็นนักวิจัย ข้อสรุปของคนถือเป็น สมมุติฐาน ด้ ครับ