KM. 23 เลือดเนื้อและจิตวิญญาณของแม่แผ่ซ่านอยู่ในเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของลูก สำหรับแม่แล้ว เราคือหนึ่งเดียวกัน แค่นี้บอกได้หรือไม่ ว่าแม่รักลูกมากเท่าใด


ความรักของแม่จะเป็นฐานชีวิต คู่กับความรักของหนูในจิตวิญญาณของหนู ด้วยเลือดเนื้อและจิตวิญญาณเดียวกัน...ในบางเวลาความปรารถนาดีของแม่ก็จะเป็นสายลมละไมหนุนอยู่ใต้ปีกอิสระของหัวใจหนูโบกบินสู่ฝัน..บางเวลาความห่วงใยของแม่ก็จะเป็นดั่งแสงทองส่องทางให้หนูในยามมืดมน...และบางเวลา พลังใจและความเบิกบานของแม่จะเป็นดุจเสียงดนตรี และหมูมวลดอกไม้ในธรรมชาติ ให้หนูได้เชยชมรายทาง


        สำหรับวันแม่ ฉันในฐานะของลูกและแม่พร้อมๆกัน  ทุกๆ ปี ฉันมีกิจกรรมพิเศษเพิ่มเติมจากสิ่งปกติ เพื่อแสดงถึงความรักที่แท้จริงต่อแม่ ซึ่งในชีวิตประจำวันอาจมิได้ทำ อาทิ การกราบเท้าขออโหสิกรรมต่อการกระทำที่ไม่ดีโดยมิได้ตั้งใจในช่วงที่ผ่านมา พร้อมด้วยการมอบของขวัญ ให้ท่าน คำบอกเล่าถึงความรักและปรารถนาดี ที่มากมายและมิได้บอกทุกวัน ซึ่งทำทีไร ก็สบายอกสบายใจทุกครั้ง ในวันแม่ครั้งนี้ ฉันมีเรื่องที่ตั้งใจทำเพิ่มอีก 1 เรื่อง คือการบันทึกความรักที่มีต่อลูก ที่ลูกๆ หลายคนอาจไม่รับรู้ ถ้ามิได้ผ่านการเป็นแม่...นี่คือมุมมองของฉัน ...บันทึกนี้ฉันจึงขออนุญาต ทำบันทึกยาวเป็นพิเศษ ในฐานะบุคคลที่เป็นแม่และลูก เพื่อคนที่ยังมิได้มีโอกาสเป็นแม่

img133/6976/pict0273xg6.jpg

        ณ  จุดเริ่มต้นการเกิดของลูก เกือบเป็นการแตกดับของแม่
ฉันมีความตั้งใจในการมีลูกเพื่อสืบเชื้อสายเป็นตัวแทนของฉันในกาลต่อๆ ไป ความคิดครั้งแรกคือแบบนั้น ช่วงแห่งการตั้งครรภ์ฉันหาความรู้เท่าที่สมัยนั้นจะมีและหาได้ง่าย ซึ่งน้อยกว่าสมัยนี้มาก ๆ ฉันตั้งใจว่า ฉันจะคลอดลูกด้วยวิธีธรรมชาติ ตั้งใจที่จะไม่ผ่าตัดท้องคลอด นั่นคือความตั้งใจ (ฉันไม่ชอบอะไรที่ไม่ธรรมชาตินั้นคือแนวคิด) และด้วยเหตุที่ฉันตัวเล็ก(สูงเพียง 149.5 ซม.) ฉันจึงดูแลควบคุมน้ำหนักขณะตั้งครรภ์ เพื่อให้ลูกมีน้ำหนักประมาณ 2,800 กรัม และสามารถคลอดปกติได้

img133/615/chiangmai3rk0.jpg

        ฉันมีปัญหาอุปสรรคขณะตั้งครรภ์หลายอย่าง เหมือนกับแม่อีกหลายคน เช่น อาการภูมิแพ้ที่เป็นอยู่แล้วมีมากขึ้น ต้องรับประทานยาแก้แพ้ตลอด มีอาการแพ้ท้องค่อนข้างมาก คลื่นไส้ อาเจียนตลอด เวลา ซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ที่ รพ.ปกติฉันไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้แต่เมื่อตั้งครรภ์ และมีอาการแพ้ท้อง ทำให้ฉันมีอาการคลื่นไส้ และอาเจียนง่ายมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อมีกลิ่นและภาพที่กระตุ้นต่อความรู้สึกแบบนั้น หนำซ้ำเส้นทางที่ต้องเดินทางไปทำงานก็เริ่มปรับทำในช่วงเริ่มตั้งครรภ์ และเสร็จเมื่อครบกำหนดคลอด ที่บางครั้งในระยะท้ายของการตั้งครรภ์ ทำให้ระดับการลงมาของศีรษะเด็กเร็ว และมีผลต่อฉันมาก ทั้งการเจ็บปวดท้องเกร็งแข็ง  บางวันทรุดตัวลงแบบไม่รู้ตัว ร่วมกับปัญหาความเจ็บป่วยของผู้ใหญ่ในครอบครัวที่สร้างอารมณ์เศร้าให้กับฉันพอควร ทั้งหมดทั้งมวล ฉันต้องพยายามดูแลตนเองและลูกเพื่อให้เขาได้ลืมตามาดูโลกอย่างสมบูรณ์ กังวลกับอุปสรรคที่อาจมีผลต่อพฤติกรรมและอารมณ์ของลูกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ถึงแม้ว่าจะมีความทุกข์ทรมานกายอยู่หลายเรื่อง
 


        เมื่อถึงกำหนดคลอด ฉันเริ่มเจ็บท้อง มีอุปสรรคเกิดขึ้นทุกช่วงเวลา ตั้งแต่ระยะปวดท้องคลอดนาน ตั้งแต่ 23.00 น. ที่เข้ารับเป็นผู้ป่วยคลอดของ รพ.แห่งหนึ่งพยาบาลรับคลอดมีอัธยาศัยดีมาก ฉันอบอุ่นใจ และเมื่อต้องสวนอุจจาระก่อน เป็นเหตุให้กระตุ้นการเจ็บครรภ์ จากตอนแรกเจ็บไม่มาก ฉันปวดท้องเกือบตลอดเวลาหลังจากนั้นทั้งที่ปากมดลูกเปิดเพียง 2 ซม. พยาบาลเวรดึกไม่รู้ไปไหน ฉันนอนอยู่คนเดียว เนื่องจากเขามิให้ญาติอยู่ด้วย นี่คือสิ่งที่ฉันไม่คาดคิด ...แม่ต้องขึ้นไปนอนที่ระเบียงของตึกด้านบน ซึ่งฉันก็สงสารจับใจ แต่ความปวดของฉันทวีขึ้นทุกทีๆ จนสุดท้ายพยาบาลต้องนำยาบรรเทาปวดมาฉีดให้ ซึ่งอาการข้างเคียงคือเวียนศีรษะ จากนั้นเธอก็ไม่มาอีก ฉันต้องไปห้องน้ำบ้างเพราะการที่เด็กจะคลอด กระเพาะปัสสาวะจะรับน้ำได้น้อย ฉันไปด้วยความลำบาก ด้วยต้องลากเสาน้ำเกลือไปด้วยอาการเจ็บท้องมากพร้อมๆกับเวียนศีรษะ ..ฉันไม่สามารถหลับได้เลยในคืนนั้น ด้วยความเจ็บปวด จนรุ่งเช้า 6.00 น. ปากมดลูกเปิดเพิ่มขึ้นเพียง 2 ซม. ฉันเริ่มปวดมากขึ้นๆ จนบางครั้งเหมือนกับกายและใจจะถึงการแตกดับ ซึ่งฉันยอมได้ ณ ตอนนั้นถ้าเพื่อลูกเกิดมา ฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะคลอดและบอกพยาบาลแต่เธอไม่สนใจ ด้วยมีคนไข้ใหม่เข้ามาถึง 3 คนเธอต้องรีบทำงานแข่งกับเวลาที่ใกล้จะหมดเวรดึก ถึงเวลา 7.00 น.ถุงน้ำแตก พยาบาลจึงกุลีกุจอมาตรวจ และรู้สึกตกใจว่าทำไมปากมดลูกเปิดหมดแล้ว (ซึ่งตามทฤษฎี ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นเมื่อเทียบกับเวลา 6.00 น. ที่ผ่านมา)  เธอโทรรายงานแพทย์เจ้าของไข้ จนเมื่อแพทย์มา ทีมงานเข็นรถนอนพาฉันเข้าห้องคลอด ไม่นานลูกของฉัน ...เธอคนนั้นก็มาในเวลา 8.27 น..มาในเวลาที่ สติของฉันไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีก...บางครั้งก็เหมือนฝันว่ามีการเคลื่อนย้ายเตียงบ้าง..นอกนั้น...ฉันไม่รู้...

img84/8286/40qn7.jpg


        ครั้งนี้จึงเป็นเหตุการณ์เฉียดตายครั้งแรกของฉันที่มีภาวะทุกข์ทรมานมาก คราใดที่มีใครให้ฉันระลึกถึงว่าความทุกข์ที่สุดของฉันคือเหตุการณ์อะไร ฉันจะนึกถึงเหตุการณ์นี้พร้อมกับน้ำตาจะรินไหลโดยห้ามไม่ได้ มันมิใช่ทุกข์ใจ แบบอยากลืม แต่มันเป็นสภาวะทุกข์ เจ็บปวดมาก ปางตาย ที่ตามมาด้วยบุคคลสำคัญ บุคคลอันเป็นที่รัก เป็นเหมือนอีกกายหนึ่งของฉัน เป็นความทุกข์ปนปีติเหลือล้น..มันจึงเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมากๆ ทำให้ได้เรียนรู้ความรักที่ยิ่งใหญ่ของการเป็นแม่
 

        ตื่นมาอีกครั้งเวลาประมาณ 11 นาฬิกาในห้องพิเศษ ซึ่งตอนนั้นเหลือเพียงพิเศษรวมผู้ป่วย 2 คน ฉันมองหาแม่ ไม่มีแม่ ก็รู้ทันทีว่าแม่ยังคงอยู่ชั้น  5 โดยไม่รู้ว่าฉันเป็นอย่างไร เมื่อหมอเข้ามาฉันรีบบอกหมอว่าให้บอกแม่ฉันด้วย..(ฉันสะท้อนในใจ..จนอยากจะร้องไห้...แม่คงลำบากมาก แม่นอนตรงไหน เช้ามาแม่ทำอย่างไร เราไม่รู้ข่าวกัน..) คุณหมอช่วยได้ดี อีกไม่นานแม่ก็มา ฉันอ่อนเพลียหลับไป ...เมื่อผ่านนาทีวิกฤติ ฉันก็เริ่มรู้สึกถึงหัวอกการเป็นแม่ ที่แม่เคยบอก แต่ฉันไม่สามารถรับรู้ได้...คราวนี้ แม่ไม่ต้องอธิบายฉันอีกต่อไป...ฉันรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้น และเป็นเหตุให้เข้าใจและรักแม่จนสุดหัวใจ ต้องการกตัญญูท่านต่อไป เพราะไม่รู้ว่าฉันจะเฉียดตาย หรือเราต้องจากกันจริงๆ เมื่อไหร่ .... ส่วนลูกสาวฉัน “น้องอิน”  ณ ตอนนั้นทาง รพ.จะแยกไว้อีกแผนกหนึ่ง พรุ่งนี้ฉันจะไปดูเขา 
 
ต่อไปนี้ที่แม่แหววอยากรื้อฟื้นอดีต และคุยกับหนู “น้องอิน”  การมาของหนูคือสิ่งที่แม่รอคอย

        ครบ 2 วันพยาบาลนำหนูมาให้ หนูเป็นเด็กที่ร้องเก่งมากๆ และจะหยุดร้องเมื่อแม่อุ้ม มีผู้ใหญ่หลายคนเตือนไว้ ว่าอย่าอุ้มลูกจนชินติดมือ ไม่เช่นนั้นเขาจะติดมือจริงๆ แต่สำหรับน้องอิน หนูไม่รอให้แม่อุ้มจนติดมือ..หนูทำให้แม่ต้องทำแบบนั้นตั้งแต่แรก โดยตั้งตัวไม่ทัน  มิเช่นนั้นหนูก็ร้องไม่หยุด และก็เป็นเช่นนี้มาเรื่อยๆ ซึ่งแม่คิดว่า สภาพแวดล้อมและตัวแม่เอง ขณะตั้งครรภ์ที่พบกับอุปสรรคทั้งหมดมีผลกับหนู...และหรือสัญญาจากภพชาติที่แล้วของหนูในวาระสุดท้ายยังติดอยู่หรือเปล่า ใครจะรู้?
 

img84/2774/scan00052un2.jpg

        ภายใน 1 สัปดาห์หลังคลอด ภาวะพันธุกรรมก็สำแดง หนูเริ่มเป็นไข้หวัด ด้วยน้ำหนักตัวไม่มาก และอาการที่มีน้ำมูกการขับทิ้งยังทำไม่ค่อยได้..บางคืนหลายคืนแม่นอนแทบไม่ได้เพราะหนูมีอาการหายใจขัด เหมือนจะหยุดหายใจ โดยเฉพาะคืนแรกทำให้แม่ใจหาย บางครั้งตกใจร้องไห้ กลัวต้องสูญเสียหนูไป...เช้าขึ้นก็ต้องรีบหาหมอเด็กเพื่อรักษา ให้หายโดยเร็ว
 

        โรคที่ติดตัวมาอีกโรค คือภูมิแพ้ ที่สำแดงกับผิวหนัง แพ้ง่าย ขนาดทายาแก้แพ้กลับแพ้หนักจากผื่นแดงไม่มาก แต่ก็ทำให้หนูงอแง กลายเป็นผื่นแดงใหญ่ และหนูก็ยิ่งงอแงใหญ่ ต้องหาหมอเด็กเท่านั้น...การเดินทางก็ลำบากเพราะมิได้อยู่ในเมือง

img84/6520/scan00077bd8.jpg

        หนูเป็นเด็กที่ซนมาก เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ รวมถึงสภาวะการร้องเสียงดังมากๆ ด้วยเช่นกัน ซนจนไม่สนใจคนอื่น แม้ยังนั่งเองไม่ได้ ก็สามารถนั่งหน้าจักรยาน เอามือจับแฮนด์รถ ให้แม่หม่ง (ผู้เลี้ยงเวลากลางวันที่แม่ไปทำงาน) ขี่รถจักรยานพาไปไหนต่อไหนด้วยความสนุก หยุดไม่ได้ เพราะหนูจะร้อง จนบางครั้ง แม่หม่ง ความดันโลหิตสูงขึ้น และปวดขามาก  แม่ต้องรีบศึกษาข้อมูลสภาวะต่างๆ ตั้งแต่แรก เพื่อดูว่า จะปรับพฤติกรรมได้อย่างไร มีอะไรเป็นเหตุ แต่ก็ยังหาข้อมูลไม่ได้มาก เพราะยังไม่ชัดเจน  และนี่คือช่วงขวบปีแรก ที่หนูก็เหมือนเด็กอื่นๆ ที่เจออะไรก็มักหยิบใส่ปากอยู่เรื่อย (ฟ้องด้วยภาพ)

        img84/5830/scan00023yo6.jpg

         ยิ่งเริ่มเดินและวิ่งได้หนูก็ยิ่งซนมาก  หัวเราะมาก กรี๊ดมาก (ตามวัยกรี๊ดในหนังสือ ซึ่งเป็นช่วงทดลองพลังอยู่ช่วงหนึ่งก็หาย) บางวันแม่กลับมาจากทำงานพบว่าหนูมอมแมมมากๆ และรูปที่พ่อใหญ่ล้างมาวันหลังก็ฟ้องว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ...แต่แม่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะในวัยเด็ก แม่ก็ซนแสนซน เท่าที่จำความได้...แม่ถือว่าการซนมาก ก็เรียนรู้ได้มากเพียงแต่ต้องคอยระมัดระวัง แล้ววันหนึ่ง ก็เกิดเรื่อง จากการที่หนูนั่งรถจักรยานเที่ยว แม่ไม่เห็นเหตุการณ์เพราะเป็นช่วงก่อนเลิกงานเล็กน้อย หนูเล่นรถจักรยาน จนล้มแล้วหลังเท้าข้างหนึ่งของหนูก็ถูกล้อรถครูดหนังถลอกออกหมด แถมจมูกเป็นแผลเป็นมาจนถึงทุกวันนี้ หนูร้องไห้มากๆ  การทำแผลซึ่งนานหลายวันค่อนข้างลำบาก สมัยก่อนการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปก็ไม่ค่อยมี  แม่ต้องคอยทำแผลให้เอง เพื่อให้หนูเจ็บน้อยที่สุด และแม่เชื่อว่าความรักจากแม่จะแผ่ซ่านไปถึงหนู และทำให้หนูคลายเจ็บลงบ้าง สุดท้ายหนูก็หายดี
 

         น้ำหนักแม่ลดลงเรื่อยๆ จากมาตรฐานที่มิได้ตั้งครรภ์ คือ 42.5 ก.ก.เหลือ 36.5 ก.ก. เพราะการเลี้ยงลูกที่กินลำบาก นอนไม่ค่อยได้...หลังจากที่เริ่มไปทำงานตอนกลางคืน แม่มีหน้าที่เลี้ยงหนูคนเดียว เนื่องจากพ่อหนูจะมาเฉพาะวันหยุด และช่วยอะไรไม่ได้มากนัก...และหนูก็มีปัญหาเรื่องระบบการย่อยอาหาร ซึ่งทำให้เป็นโรคกระเพาะมาจนโต มีปัญหาที่ตื่นมาร้องมากๆ ตอนดึก ตั้งแต่แรกคลอดจนถึง 3 ขวบ โดยเฉพาะช่วง ตี 2-4 ทุกวัน หลัง 3 ขวบก็หายเอง

img84/6/58kw3.jpg

         เมื่อถึงวัยที่ต้องเข้าเรียนชั้นอนุบาล แม่ตัดสินใจให้หนูไปอยู่กับพ่อเพราะอยู่ใกล้โรงเรียนโรงเรียนหนึ่งด้วยความต้องการที่จะให้หนูอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า และ ไม่ต้องตื่นตี 4 ถ้าต้องอยู่กับแม่และได้เรียนในเมืองลพบุรี แม่ไม่อยากให้หนูต้องเสียเวลาในวัยเด็กอยู่ในรถเป็นส่วนใหญ่ และได้นอนเต็มที่ แม่ไม่ได้คิดว่าหนูต้องเก่งที่สุดแต่อยากให้ชีวิตหนูมีความสุข จึงไม่คิดจะยัดเยียดให้หนูเรียนพิเศษตั้งแต่เล็กๆ 

img84/7949/scan0012mv7.jpg

        ในวันงานโรงเรียนที่หนูต้องแสดงเป็นครั้งแรกในฐานะ นักเรียนชั้นอนุบาล 3 แม่แต่งตัวให้หนู  คอยดูหนูที่ร่าเริงเป็นพิเศษและมากกว่าใคร ไม่เคยหยุดนิ่ง วิ่งถ่ายรูป ชักชวนเพื่อนคนนั้นคนนี้จนเหงื่อชุ่มตัว ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่เรียบร้อย และคอยระวังไม่ให้หน้าตาและลิปสติกที่ปากหมดไป ...มีแม่เด็กบางคนบอกว่าหนู Hyperactivity ซึ่งแม่ก็เห็นอยู่และพยายามที่จะหากิจกรรมลดพฤติกรรมนี้ลงบ้างเพราะบางครั้งเป็นปัญหาต่อการเรียนรู้

img84/4770/scan001717ai4.jpg

        เมื่อเห็นชุดสีฟ้าขณะมอมแมมของหนูชุดนี้ ในช่วงอนุบาล 2  ทำให้นึกถึงเหตุการณ์เฉียดตายครั้งที่ 2 ที่แม่จำไม่ลืม คือเหตุที่หนูไปติดเชื้อไข้เลือดออกจากโรงเรียน และมาบ้านในวันหยุด หนูเริ่มมีไข้สูง พอวันจันทร์ แม่ลางานมาคอยเช็ดตัว และให้หนูทานยาเนื่องจากไข้สูงมาก และคอยเวลาในวันที่ 4 ซึ่งเป็นระยะ Shock ซึ่งถ้าไม่เป็นอะไรก็จะหาย..ปรากฏว่าวันที่ 4 ไข้เริ่มลง หนูซึมไปครึ่งวันแล้วก็หายเป็นปกติ ไปเล่นได้จนมอมแมม และเป็นนางแบบให้พ่อใหญ่ถ่ายรูป


           แต่หลังจากนั้น แม่เริ่มมีอาการไข้ในวันต่อๆมา เนื่องจากว่าแม่ไม่รับรู้ว่ามียุงลายในบ้านเรา และไม่ทันระวัง...เมื่อหนูกับพ่อกลับไป แม่ก็เริ่มมีอาการผิดปกติ มีไข้สูง วันที่  3  แม่อึดอัดในท้อง โดยเฉพาะใต้ชายโครงขวา ซึ่งคลำพบตับเริ่มโต ตรวจพบจุดเลือดออก แต่คุณหมอยังไม่แน่ใจ ส่วนแม่แน่ใจเต็มร้อย ด้วยอาการทั้งปวง วันที่ 4  แม่เริ่มมีอาการคลื่นไส้อาเจียน กลางคืนไข้ลงแล้ว นอนอยู่ที่บ้าน ตื่นมาตอนดึก อาเจียนมีเลือดปน ประจำเดือนที่หยุดไปแล้ว สัปดาห์กว่าๆ กลับมาใหม่ และจำนวนมาก  ตี 5 แม่ตื่นมาอาเจียนมีเลือดปนอีกแต่ไม่บอกใคร ไม่อยากให้ตกใจ เพราะพอประมาณเวลาความก้าวหน้าของโรคได้  แม่เพลียมากขึ้นวัดความดันโลหิตตัวเองก็เริ่มลดลง แม่รีบอาบน้ำเพราะเริ่มรู้แล้วว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร เสร็จแล้วรีบให้คุณพ่อพาไป รพ. ซึ่งความอ่อนเพลียพร้อมๆกับความดันโลหิตที่ต่ำลงเรื่อยๆ ทำให้แม่เริ่มไม่ค่อยรู้สึกตัว แม้ว่าจะได้รับการให้น้ำเกลือ การถูกส่งตัวไปรักษาต่อ ที่อยุธยา การถูกเจาะเลือดซึ่งปกติแม่จะกลัวมาก แต่ทุกอย่างดำเนินไป โดยแม่อยู่ในระยะ Shock ทำให้แม่ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด มีเพียงบางครั้งเหมือนฝัน มีการถูกเคลื่อนย้ายบ้าง แต่ไม่ค่อยรู้อะไร จวบจน 3 วันที่ผ่านพ้นระยะ shock หมอให้กลับบ้าน แต่พอกลับมาก็พบว่าร่างกายมีภาวะน้ำเกิน หายใจไม่สะดวก แน่นหน้าอก ต้องทานยาขับปัสสาวะ ซึ่งมีผลให้เวียนศีรษะหน้ามืด ต้องใช้เวลาพักฟื้นหลายวัน โดยที่มีจ้ำเขียวใหญ่ๆ ตามตัวเนื่องจากมีเลือดออกในระยะของโรคทิ้งร่องรอยไว้หลายจุด และนี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องราวเฉียดตายเรื่องที่ 2 ของแม่อันเกี่ยวพันมาจากลูก...(แต่แม่มิได้โทษหนูว่าเป็นต้นเหตุนะ..การป่วยครั้งนั้นทำให้แม่ได้รู้เรื่องโรค และภาวะทุกข์จากโรคนี้เป็นอย่างดีเยี่ยม และเป็นประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วยรวมถึงแนะนำน้องๆ ได้มากๆ มาจนถึงทุกวันนี้ และต้องขอบคุณหนูด้วยซ้ำที่ทำให้แม่ได้ประสบการณ์เฉียดตายแบบไม่ทุกข์ทรมาน นำสู่การฝึกเจริญมรณานุสสติ เพื่อการเตรียมตัวตายได้ตลอดเวลาของแม่ในกาลต่อมา)
       

           จากเหตุการณ์เฉียดตายครั้งที่ 2 และอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เป็นบทเรียนสู่การปฏิบัติธรรมมากขึ้นของแม่คือ...หนูมีอาการไข้สูงมากถึง 3 วันแล้วยังไม่ดีขึ้น แม่ก็คอยดูแลอยู่แต่คิดว่าน่าจะไม่เป็นอะไร เมื่อถึงระยะหนึ่งไข้หายก็จะหายเอง ซึ่งแม่ใหญ่ต่อว่าว่าแม่ไม่สนใจลูก ซึ่งความจริงไม่ใช่เช่นนั้นแม่ก็กังวลมาก ...คืนนั้นเองที่หนูตื่นขึ้นมากรีดร้องเสียงหลง ปัดแข้งปัดขา ซึ่งปกติหนูไม่เคยเป็น ความที่แม่โดนแม่ใหญ่ว่าเมื่อตอนเย็น และช่วงนั้นใครๆ ก็กลัวไข้สมองอักเสบ..ความคิดแม่คงไกลเกินไปแบบรวดเร็ว และสติตามไม่ทันด้วยไม่เคยฝึก แม่ทรุดลงข้างเตียง เหมือนหัวใจจะหยุดเต้น ไม่สามารถลุกขึ้นได้ หมดแรง เหงื่อออก ตัวเย็น ลองจับชีพจรดู ก็พริ้วเบาเร็วและค่อยๆหายไปจนคลำไม่ได้สักพักหนึ่ง...ซึ่งทำให้รู้ว่าแม่เครียดจัดและปรับไม่ทัน..สุดท้ายหนูก็เพียงแค่เพ้อไป อีกวันถัดมา หนูก็หาย ..

img84/3695/scan001418ad0.jpg

         ส่วนแม่เริ่มรู้ตัวเองแล้ว แม่มีปัญหาความเข้มแข็งของจิตใจ ..ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป อนาคตจะลำบากเพราะยังมีความโหดร้ายของชีวิตเรา โดยเฉพาะกับการจากพรากกับบุคคลอันเป็นที่รักจริงๆ ตามธรรมชาติที่ไม่มีใครสามารถฝืนได้...ณ ตอนนั้น แม่จะเป็นอย่างไรเล่า..ยิ่งบางครั้งในฐานะที่แม่ทำงานใน รพ. พบเจอสภาพของการจากพราก ความโดดเดี่ยวหลังสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก หนักๆ ขึ้นแม่เริ่มมีปัญหาคือกลัวสิ่งเหล่านี้ บางครั้งเพียงเห็นคนแก่ เดินผ่านไป ก็น้ำตาไหล เห็นเด็กวัยหนุ่มสาว ก็มีภาพ การแก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ เป็นภาพต่อเนื่องไป เป็นอย่างนี้บ่อยๆ นี่เป็นโจทย์แห่งทุกข์ของแม่ที่แม่ต้องแก้ให้ได้  ชีวิตจะดำเนินต่อไปได้อย่างไรในอนาคต ถ้าจิตใจยังหลง  อ่อนแอแบบนี้ และแม่ก็แก้โดยใช้หลักธรรม ค่อยๆ ศึกษาเรียนรู้ มาจนถึงทุกวันนี้  และเลยแนะนำหนูให้ทำบ้าง ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าวัยวัยเด็กจะไม่ค่อยสนใจก็ตาม
 

        ช่วงอายุ 6-7 ขวบ พฤติกรรมช่วงนี้หนูจะซนมากและชอบออกไปศึกษาธรรมชาติกลางแดด  เวลาที่หนูชอบไปช้อนลูกกุ้งหรือลูกปลาเล็กๆ ริมชายแม่น้ำลพบุรีช่วงหน้าน้ำขึ้นหน้าบ้าน  ช้อนแล้วดูแล้วก็ปล่อยไป ช่วงนั้น แม่ถูกแม่ใหญ่ ว่ากล่าว ว่าไม่ดูแลลูก ถ้าตกน้ำเป็นอะไรไปจะว่าอย่างไร ซึ่งความจริงแล้วแม่ก็ดูอยู่ห่างๆ เพราะรู้ว่า พื้นที่แบบนั้นมิได้เป็นอันตรายใดๆ..แล้วเลยบอกกับแม่ใหญ่แบบกึ่งหัวเราะ ไปว่า “ ตอนหนูเด็ก ๆ แม่กับพ่อมัวแต่ทำงาน หนูซึ่งว่ายน้ำไม่เป็น ก็ใช้ห่วงยางเล่นอยู่ในแม่น้ำนี้ ไปถึงไหนๆ ทั้งวัน ยังอยู่รอดมาได้แถมเก่งอีกต่างหาก “  ซึ่งทำให้แม่ใหญ่ เงียบไปและไม่ได้พูดอะไรต่อ


         ในแต่ละช่วงวัย หนูจะมีความเปลี่ยนแปลงด้านรูปร่างหน้าตา และพฤติกรรมค่อนข้างมาก ทำให้แม่ต้องศึกษา หรือเรียนรู้ จิตวิทยาในชีวิตประจำวันซึ่งถือเป็นการเรียนรู้ร่วมกันไปกับลูก และเพื่อร่วมสร้างความมั่นคงภายในให้ตัวของลูกเอง  ซึ่งบางครั้งแม่ต้องเตรียมใจหนู เพื่อให้พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลง อาทิฟันหลอ ต้องรอฟันชุดใหม่ ด้วยการให้หนูรอคอย ร้องเพลง Happy birthday สำหรับฟันซี่ใหม่ และใช้จิตวิทยาลดความกังวลช่วงฟันหลอ   

      img84/8303/scan0018zv2.jpg

      ในช่วงประถมปัญหาด้าน Hyperactivity ไม่ค่อยมีสมาธิของหนูเป็นปัญหามากขึ้นในด้านการเรียนรู้และการเข้าสังคม หงุดหงิดง่าย แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นโรค เพียงต้องการการฝึกให้มีสมาธิมากขึ้น  แม่ต้องศึกษาเรื่องนี้สุดท้ายแม่ได้เทป เพื่อการสั่งจิตใต้สำนึกขณะกึ่งหลับกึ่งตื่นมา ซึ่งทำให้หนูดีขึ้นมาก จนดูว่า เรียบร้อยขึ้น มีสมาธิมากขึ้น...นอนดิ้นน้อยลง ซึ่งเรื่องนอนดิ้นของหนูเป็นปัญหากับแม่ด้วยเนื่องจากบางเวลาที่หนูมานอนกับแม่หนูจะดิ้นมากทำให้แม่นอนไม่หลับ และนี่ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่แม่อยากให้หนูฝึกการนั่งสมาธิ เพื่อการเจริญพัฒนาด้านสุขภาพจิตและกายของหนูเอง ถึงแม้จะรู้ว่า เด็กๆ ไม่อยากทำกันก็ตาม
 

img84/8544/p5059454ig9.jpg

        พออยู่ ประถมปลาย หนูก็สูงขึ้นๆ ด้วยการกินนมแทนน้ำ เริ่มสูงเท่าแม่ และสูงเกินแม่...และหนูก็ชอบที่จะวัดความสูงเทียบกับแม่อยู่เรื่อยๆ ซึ่งมันก็ดีอยู่ ที่หนูสูง..ดีใจด้วยนะจ๊ะ หนูคงจำได้บ่อยๆ เวลาเทียบความสูงกับแม่และดีใจแม่จะบอกว่า “ สูงขึ้นและสูงกว่าแม่น่ะดีแล้ว แต่ต้องเจริญและพัฒนาด้านสมอง สติปัญญา และด้าน วุฒิภาวะ หรือ EQ ด้วย” หนูก็จาตอบติดตาหลกว่า “จ้า”

img84/8151/nov48004kd2.jpg

        เมื่อจะขึ้น ม.ต้น แม่จำใจต้องให้หนูไปอยู่โรงเรียนประจำ ด้วยวิเคราะห์แล้วว่าเหมาะสมกับหนูที่สุดเมื่อตรวจดูทางเลือกทั้งมวล ณ ขณะนั้น ด้วยข้อจำกัดหลายๆด้าน ในสิ่งแวดล้อมที่จะเอื้อต่อการเรียน อีกทั้ง หนูเป็นลูกคนเดียว ที่ปกติจะเรียกแต่แม่เสมอ ไม่ชอบคิด ต้องให้แม่ย้อนถามว่าแล้วหนูคิดว่าอย่างไร ซึ่งถ้ามีแม่อยู่หนูก็จะไม่อยากคิด ครั้งนั้นแม่ถามความสมัครใจหนู หนูก็เห็นด้วย และผ่านการอยู่หอในช่วง summer ไปได้เป็นอย่างดี แต่พอโรงเรียนเปิดจริงเท่านั้น หนูกลับมีปัญหา มีความเครียดกับสังคมผู้หญิง และ รูปแบบการการใช้ชีวิตที่ไม่ค่อยดีของรุ่นพี่ซึ่งมีความรุนแรงกับลูก จนหนูร้องไห้ไม่ยอมไปโรงเรียน เป็นแบบนี้อยู่ 3 ครั้งในวันจันทร์ ทำให้แม่ต้องขับรถระยะไกลเป็นครั้งแรก พร้อมการใช้จิตวิทยาพูดกับหนูขณะขับรถไปด้วย (เป็นครั้งแรกของชีวิต)...บางครั้งพูดไปก็น้ำตาไหลไปด้วย แต่ก็ต้องรีบรู้สติ เพราะต้องเป็นหลักอันมั่นคงให้แก่ลูก ผ่าน 3 ครั้งนั้นไปหนูก็ปรับตัวได้ดี และอยู่ที่นี่ด้วยความสุข มีเพื่อนสนิทที่รัก  นี้ก็เป็นอีกเหตุการณ์ที่แม่คิดว่า หนูคงจำไม่ลืมเหมือนกับแม่ ซึ่งเราทั้ง 2 ต้องใช้ พลังกาย พลังใจ ในการฝ่าฟัน ให้ผ่านวิกฤตไปได้ด้วยดีทั้งแม่และทั้งลูก

 

        ช่วงนั้นเมื่อหนูมีความสุขในโรงเรียนใหม่แล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือหนูมี  puppy love  ให้แม่ต้องใช้กลยุทธ์ในการเข้าถึง  แนะนำ ซึ่งสมัยเด็กๆ แม่ไม่มีอย่างนี้  จะบอกว่า แม่ต้องเรียนรู้ขึ้นมากจริงๆ นะ  และอีกเหตุการณ์ที่ดีหลังจากที่เข้าไปเรียน ม.ต้นได้ไม่เท่าไหร่ ก็คือหนูก็ได้รับจดหมาย ให้ไปรับรางวัลซึ่งเป็นเกียรติบัตรชนะเลิศโครงการส่งเสริมการอ่านเชิงวิเคราะห์ ร่วมกับทีมเพื่อนๆ เก่า ตอน ป. 6 ซึ่งรับเกียรติบัตร จากท่านองค์มนตรี เป็นที่ภาคภูมิใจของหนู รวมทั้ง แม่ พ่อ แม่ใหญ่ และพ่อใหญ่ เป็นอย่างมาก

img84/8908/scan3fc0.jpg

         ประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งที่สนับสนุนเรื่องจิตใต้สำนึก หลังจากที่มีผลกับเรื่องความซน คือเรื่องที่หนูมีภาวะเลือดกำเดาไหลบ่อยๆ ซึ่งตอนเด็ก ๆถือว่าเป็นเรื่องปกติ และจะหายไปเมื่อเข้าสู่มัธยม แต่ของหนูไม่หาย แม่สงสัย บ่อยๆ มันมักจะเป็นเวลากลางคืน และพลอยมาถึงกลางวันเนื่องจากมีรอยโรค ซึ่งหนูบอกว่าอาจเป็นเพราะมีครั้งหนึ่ง ในช่วงประถม หนูชนกับเพื่อนโดนจมูกจนเลือดไหล ต้องไปห้ามเลือดที่ รพ. เพราะเลือดไม่ยอมหยุด..แต่แม่ก็ยังคลางแคลงใจ..จนคืนหนึ่งที่หนูไปนอนกับแม่ แล้วแม่ตื่นมากลางดึก เห็นหนูนอนแคะจมูกโดยไม่รู้ตัว แล้วจากนั้นเลือดก็ไหลอีก..แม่เลยถึงบางอ้อ ! จึงเริ่มให้หนูนอนสมาธิพร้อมการสั่งจิตตัวเองก่อนนอนสรุปความการสั่งจิตว่าจมูกของหนูแข็งแรง สมบูรณ์ไม่ผิดปกติใดๆ ไม่มีร่องรอยบาดแผล ฯลฯ ซึ่งหลังจากนั้น หนูก็ไม่มีปัญหาเรื่องเลือดกำเดาไหลอีกเลย...

img84/916/48004pn5.jpg

               จนถึง ม. 2  สถานที่เรียนหรืออาณาบริเวณใกล้เคียงก็ยังไม่มีที่เรียนพิเศษ ในด้านที่หนูสนใจ ในเวลาที่เหมาะสม เช่น เรื่องการวาดภาพ รวมถึง การทำ กราฟฟิค ซึ่งเป็นสิ่งที่หนูชื่นชอบ สุดท้ายแม่ต้องย้ายหนูไปอยู่เชียงใหม่ โดยการร่วมกันวิเคราะห์ความเหมาะสม และประโยชน์ที่หนูจะได้รับเป็นที่ตั้ง และเป็นความสมัครใจของหนู  ถึงแม้ว่าจะไปไกลไปสักหน่อยแม่ก็ยินดี ถ้าเพื่อความก้าวหน้า และมันจะเป็นเส้นทางไปสู่ฝันของหนูได้ แม้ว่าเราจะห่างกัน...แม่ทำใจได้ เพราะจิตวิญญาณของแม่อยู่ในตัวลูก และแม่จะอยู่กับลูกทุกหนแห่ง 


        แต่การที่ลูกต้องย้ายไปก่อน 1 ปีก่อนเข้ามัธยมปลายในโรงเรียนที่มุ่งหวัง ด้วยปัญหาข้อจำกัดของโรงเรียนเก่าและเพื่อหนูพร้อมต่อการสอบเข้า ม.ปลายนั้น สร้างปัญหาให้หนูพอควร การย้ายโรงเรียนไปขึ้น ม. 3  ดูไม่ธรรมดา และทำให้หนูต้องปรับตัวมากจนเป็นเหตุให้แม่ลาพักร้อนอยู่กับหนูในช่วงเปิดเทอม และต้องลาต่อกระทันหันเพราะต้องเป็นตัวช่วยให้หนูด้วย เหตุการณ์ครั้งนี้ที่แม่คิดว่าหนูคงลืมยากเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดี แถมหนูยังสนุก และมีความสุขกับเพื่อนๆ ที่นี่ ที่พระหฤทัย เชียงใหม่...โดยมีเป้าหมายที่จะสอบเข้า มงฟอร์ต ในชั้น ม. 4  และการไปครั้งนี้ทำให้หนูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากๆ หนูต้องเดินทาง ไป-กลับเชียงใหม่คนเดียว..ยังจำได้มั้ยว่า..วันที่หนูต้องกลับเชียงใหม่คนเดียวครั้งแรกคือวันที่ต้องไปใช้บริการที่สุวรรณภูมิครั้งแรก ซึ่งตอนนั้นแม่ก็อดห่วงเรื่องความไม่สะดวกที่อาจเกิดขึ้น โดยที่หนูจะต้องตัดสินใจ คิดแก้ปัญหาด้วยตัวเอง แต่แม่ก็มั่นใจนะ...ว่าหนูทำได้ดี..แม่เชื่อเช่นนั้น ..และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ...

img84/8210/inny0041ee1.jpg
        

          ณ วันนี้ หนูก็เดินทางมาตามฝัน สนุกและรู้สึกดีๆกับเพื่อนๆ มงฟอร์ต กลุ่มนี้มากๆ จนบอกกับแม่บ่อยๆ ถึงสิ่งดีๆ กับเพื่อนๆ ที่นี่ แม่ดีใจนะ..ที่หนูปรับตัวได้ดี สามารถอยู่ไกลกับครอบครัว และมีความสุข มีความขยันเรียน จนในบางครั้งก็นอนดึกมากจนแม่เป็นห่วง หลายๆครั้งแม่ต้องคอยย้ำในเป้าหมายของการเรียนเพื่อลดความเครียดให้กับหนู และอยากให้หนูได้ทบทวนบ่อยๆ คือการเรียนเพื่อความรู้ และอยู่ร่วมกับผู้คนและวิถีบนโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุข เอาชีวิตรอดและเจริญพัฒนา มิได้เรียนเพื่อเกรดสูง  สำหรับแม่จึงเน้นที่จะให้หนูได้เรียนในสิ่งที่ชอบ เพื่อการทำงานทั้งชีวิตในอนาคตด้วยความรัก ซึ่งจะก่อให้เกิดสุขมากขึ้นๆ เมื่อประสบความสำเร็จในกิจการงาน หรือการมีเพื่อนที่ดีที่แม่ใช้คำว่ากัลยาณมิตร 

          จากการกำเนิดของหนู จนถึงวันนี้ แม่พบกับสุข ความเบิกบาน การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ได้เจริญพัฒนาในด้านความรักด้วยจิตวิญญาณ ด้วยคำว่า “แม่” อย่างลึกซึ้ง พบกับคุณค่าของชีวิต และที่ผ่านมา หนูก็ทำให้แม่มั่นใจว่า ในอนาคต ถ้าปราศจากแม่แล้วในวันใดวันหนึ่ง  หนูอินที่เป็นลูกรักของแม่ก็จะสามารถเติบโต และเจริญพัฒนาอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างมั่นคง และมีความสุขต่อไป

       สุดท้าย แม่อยากจะบอกอีกครั้งว่า ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้น มากมาย เสียจนมิสามารถเอ่ยอ้างได้  มันยิ่งใหญ่ครอบคลุมกว่าท้องฟ้ากว้าง...แม่คิดว่าความรักของแม่จะเป็นฐานชีวิต คู่กับความรักของหนูในจิตวิญญาณของหนู ด้วยเลือดเนื้อและจิตวิญญาณเดียวกัน...ในบางเวลาความปรารถนาดีของแม่ก็จะเป็นสายลมละไมหนุนอยู่ใต้ปีกอิสระของหัวใจหนูโบกบินสู่ฝัน..บางเวลาความห่วงใยของแม่ก็จะเป็นดั่งแสงทองส่องทางให้หนูในยามมืดมน...และบางเวลา พลังใจและความเบิกบานของแม่จะเป็นดุจเสียงดนตรี และหมู่มวลดอกไม้ในธรรมชาติ ให้หนูได้เชยชมรายทาง แต่ทั้งหมดนี้คงไม่สำคัญเท่า ความรัก พลังใจ และความเบิกบานภายในจิตวิญญาณของหนู  “ปัณณ์นรี” ของแม่ ที่จะคอยเก็บสะสม บ่มเพาะไว้ใช้ ด้วยการฝึกกำลังกายและกำลังใจของหนูเอง จากการทำดี มีศีลธรรม ด้วยสมาธิ และการเจริญสติ เพียงเท่านี้แม่ก็เชื่อว่าทุกครั้งที่แม่ทำมรณานุสสติ แม่ก็สบายใจไม่มีอะไรที่ต้องค้างคาในใจต่อไปแล้ว...

ด้วยรัก...จากแม่แหวว  พชรวรัตถ์ แสงทองชนาพงศ์

หมายเลขบันทึก: 119157เขียนเมื่อ 13 สิงหาคม 2007 10:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 มิถุนายน 2012 14:23 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (24)
  • สวัสดีค่ะ อ.แหวว
  • มาแบบยาวเลยนะคะ
  • ป้าแดงน่ะแย่ที่สุดเลยละ วันแม่แต่ตื่นไปทำบุญให้แม่ไม่ทันค่ะ แต่วันนี้ได้ไปและ อิอิอิ

 

สวัสดีค่ะ

P

อ่านแล้วซาบซึ้งค่ะ

นี่ละ ความรู้สึกของผู้เป็นแม่

พี่ก็บันทึกไว้เหมือนกัน อยากเก็บไว้อ่านค่ะ ในวันพิเศษนี้

สวัสดีค่ะP  pa_daeng  สวัสดีเทศกาลวันแม่ค่ะ

  • มาเร็วจังค่ะ..แหววยังทำไมเสร็จเลย พึ่งเสร็จตอนเที่ยงนี่เองค่ะ...สงสัยตอนเข้ามามีแต่ตัวหนังสือ ตาลายไปแล้วมั้งคะ....ขออภัยค่ะ..ทำนานไปหน่อย และมิได้ปิด blog ชั่วคราวค่ะ

สวัสดีค่ะคุณพี่ศศินันท์

  • ขอบคุณสำหรับดอกไม้งามๆ เป็นกำลังใจทั้งภาพและคำบันทึกนะคะ..
  • ขออภัยด้วยนะคะตอนพี่บันทึกความคิดเห็นนั้น บันทึกพึ่งเริ่มทำเอง โดยแหววจะบันทึกเนื้อหาก่อนแล้วลงรูปทีหลัง ทำให้เข้ามาตอนแรกอาจทำให้ไม่สะดวกในการอ่าน และถึงกับตาลายได้
  • แล้วจะไปติดตามเรื่องราวของคุณแม่ผู้มากด้วยประสบการณ์เช่นกันค่ะ...
  • ใครน่า
  • น่ารักจัง
  • ขอบคุณครับ
  • กำลังวุ่นๆๆเลย

กว่าจาอ่านจบอ่า

นานมาก ๆ

ขอบคุณน้าค่ะ

สำหรับเวปและทุกสิ่งทุกอย่าง

ที่มีหั้ยมา 16  ปี

นู๋อินร๊าก ๆ ๆ แม่มาก ๆ

คิดถึงมาก ๆ

ม้ายรู้จาพิมพ์รายต่อ

เพราะมันมากมายเกินคำบรรยาย

รุน้าว่าแม่ห่วง

( ทุกเรื่อง )

นู๋ก้อจาดูแลตัวเอง และเปนเด็กดีล่ะกาน

เพื่อแม่

( ที่รักที่สุดในโลก )

บาย ๆ ปายทามงานกลุ่มต่อ

เด๋วเอาเบอร์เพื่อนโทรายหาเน้อ

รุสึกว่านัดเพื่อนไว้ 12. 00 น.

เหอะ ๆ

ผิดนัดตลอด

อิ อิ

ร๊าก ก ก  แม่น้าค่ะ

สวัสดีค่ะคุณน้อง P ขจิต ฝอยทอง

  • ยังจะมีเวลาแว๊บมาด้วยหรือคะ...ที่เชียงใหม่น่าสนุกมากขนาดนั้น...วันที่ 24-27 เดือนนี้พี่แหววก็จะขึ้นเชียงใหม่บ้าง...ไป Happy birthday น้องอินค่ะ..
  • ขอให้สนุกกับงานที่เชียงใหม่นะคะ...อ้อ! ขอบคุณนะคะ..ที่ยังมาทักทายกันในวันยุ่งๆ สวัสดีค่ะ

ยัย นู๋อิน img204/3993/innz1dl0.jpg

  • ทามมาย เร็ว อย่างนี้เนี่ย  แม่บอกว่าถ้าบันทึกเสร็จจะโทรไปบอกงัย..หงัยมาก่อนละคะ แต่ไม่เป็นไร..อภัยให้ เพราะมีงานกลุ่ม อย่าผิดนัดบ่อยนะ..มันม่าย..ดี..
  • อาจจะยาวไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้เศษเสี้ยวของเรื่องราวที่เป็นมาและอยากจะบอกเลย..ขอบคุณนะคะ..ที่ยังรักแม่มาก...พร้อมกับคำมั่นสัญญาความดีด้วยการดูแลตัวเอง
  • ศุกร์ที่ 24 พบกันแน่ๆ 22.00น.
  • รักลูกที่สุดจ้า..า..

คุณแหววคะ

       ขอบคุณคุณแหววที่สุดเลยค่ะ สำหรับบันทึกจากหัวใจแม่บันทึกนี้   แอมแปร์อ่านด้วยหัวใจ  และซาบซึ้งใจเหลือเกิน......
       แม่ชอบพูดบ่อยๆว่า "ลูกยังไม่มีลูก...ลูกไม่รู้หรอกว่าคนเป็นแม่รู้สึกยังไง"  แอมแปร์มาเข้าใจแบบซาบซึ้งอีกครั้งที่บันทึกคุณแหววนี่เอง 
       .....นี่เป็นครั้งแรกที่แอมแปร์จนด้วยถ้อยคำที่จะนำมาสรุปความ  เพราะสัมผัสด้วยหัวใจได้ว่าทุกใจความที่คุณแหววเขียน  ออกมาจากใจที่งดงามของผู้เป็นแม่  จนไม่อาจจะตัดทอนใจความใดออกได้   
        ขอให้มีความสุขมากๆในวันแม่ และในทุกๆวันที่ได้ทำหน้าที่แม่นะคะคุณแหวว     และขอให้หนูอินเป็นลูกสาวที่น่ารัก และนำความชื่นใจมาสู่คุณแม่แหววตลอดไป 

                                    ขอบคุณมากนะคะคุณแหวว : ) 

ปล. แอมแปร์รักบันทึกนี้จังเลย

  • สวัสดีค่ะ...พี่แหวว
  • ตามมาขอบคุณค่ะ
  • น่ารักจังแม่ลูกคู่นี้ ดูอบอุ่นมากเลยค่ะ
  • ขอให้มีความสุข และสุขภาพแข็งแรงทั้งคู่เลยนะค่ะ

สวัสดีค่ะคุณ แอมป์P 

  • ดีใจนะคะ..ที่บันทึกยาวๆอย่างนี้มีคนอ่าน...ขอบคุณกับความรู้สึกจากใจค่ะ..
  • คุณแม่พูดเหมือนกันเลยสมัยเราเป็นเด็ก...รู้และซึ้งใจจริงๆแล้วดั่งที่แม่พูดจริงๆด้วย..
  • และก็ขอบคุณกับคำอวยพร...เป็นกำลังใจที่ช่วยเติมเต็มให้เบิกบานและอิ่มเอมใจมากขึ้น...ขอบคุณจริงๆค่ะ...คุณแอมป์
  • สวัสดีค่ะ
  • เข้ามาทักทายและซาบซึ้งในหัวอกคนเป็นแม่
  • ที่บรรยายเท่าไรก็ไม่ได้ถึงครึ่งเสี้ยวที่แม่รักและห่วงลูก
  • แหะ  แหะ  ยังกะมีลูกแหนะค่ะ...  เคยเห็นและสัมผัสจากแม่มาอะค่ะ
  • ขอบูชาความรักที่ยิ่งใหญ่ของแม่ค่ะ
  • เป็นคุณแม่ยังสาวและสวย  ขอบอก

สวัสดีค่ะคุณอ้อย P 

  • ขอบคุณกับการมาเยือนและคำอวยพรนะคะ
  • เป็นกำลังให้เสมอนะคะ...กับชีวิตและการดำรงอยู่ทางใต้..ขอให้โชคดี...มีความสุขจากภายใน เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงใจและกายในสภาวะเช่นปัจจุบันค่ะ

สวัสดียามดึกและยินดีต้อนรับนะคะ..คุณPRAK-NA

  • ขอบคุณนะคะที่มาเยี่ยมเยือนและให้ความคิดเห็นไว้ด้วย อีกทั้ง ซาบซึ้งในพระคุณแม่ที่บรรยายไม่หมดเหมือนๆ กัน
  • อ่านประโยคสุดท้ายแล้วเขินหมดเลย...ขอบคุณนะคะ...

พี่แหว๋วคะ

  • มาซึมซับความรัก ความรู้สึดของคุณแม่กับคุณลูกค่ะ
  • อ่านไปความรู้สึกแรกคืออยากอานคิดว่าต้องเป็นเรื่องราวดีๆ อ่านไปยังไม่ถึงไหนขนลุกโดยไม่ได้ตั้งใจค่ะ
  • อ่านต่อไปอีกบางเหตุการณ์บางเรื่องราวไม่เพียงขนลุกน้ำตามันอยากจะออกมาซินคะ
  • น้องไม่เคยเป็นแม่แต่รู้สึกถึงความรักแม่ที่มีต่อเรา
  • ขอบคุณมากๆค่ะ

สวัสดีค่ะ..น้อง P  พิชชา

  • อาจเป็นเพราะจิตวิญญาณแห่งความรักของน้องมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม จึงได้รู้สึกได้ลึกซึ้ง และเพราะอ่านอย่างตั้งใจและใส่ใจ จึงเข้าถึงซึ่งอารมณ์ของผู้บันทึก..
  • ขอบคุณนะคะ..กับอารมณ์ความรู้สึกที่เราเชื่อมถึงกันด้วยความรัก ของแม่และของลูก...ขอให้มีความสุขกับจิตวิญญาณแห่งรักที่มากด้วยคุณค่านี้ตลอดไปนะคะ..
  • สรุปว่าชื่อน้องเขา   “ปัณณ์นรี”
  • แปลว่าอะไรครับ
  • ชื่อแปลกดี
  • ขอบคุณที่ไปทักทายครับผม
  • กำลังวุ่นๆๆกับงานกองโต
  • ฮือๆๆจะทำเสร็จไหมเนี่ย

สวัสดีค่ะ..คุณน้อง-อาจารย์  P ขจิต ฝอยทอง

  • ปัณณ์นรี..แปลว่า "หญิงผู้รอบรู้" จะได้เข้ากับยุคปัจจุบันหน่อย..ต้องรู้เท่าทันสังคม...
  • เห็นยุ่งกับงานมากๆ...คงเหนื่อยนะ..ขอให้แข็งแรงสดชื่นและกัน..จะได้จัดการกับงานต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ไม่มีเหน็ดเหนื่อย..นะ..นะ..

 

 

สวัสดีครับ

ตั้งใจจะมาทักทายนานแล้ว  แต่กว่าจะจัดการกับเวลาได้ก็หนักเอาการเลยทีเดียว ...

วันแม่ปีนี้ยังไม่ได้กลับบ้าน,  กลับจากเชียงใหม่ก็ยังไม่ได้กลับ  เพราะมีงานที่ต้องติดตามและกำกับอีกหลายอย่าง...

ผมอ่านบันทึกนี้แล้ว... อยากจะกล่าวย้ำด้วยถ้อยคำสั้น ๆ ที่นึกขึ้นได้ว่า "คือชีวิตและเลือดเนื้อ" ...

....

ในภาพยนตร์เรื่องวัยอลวนล่าสุด  ตอนหนึ่งที่ผมประทับใจคำพูดที่กลั่นจากหัวอกของแม่มาก  นั่นก็คือ  ทันทีที่สามีบอกกับภรรยาว่าเสียใจมั๊ยที่ลูกสาวอยู่ก่อนแต่งกับผู้ชายที่เป็นนักศึกษาด้วยกัน  และแม่ก็อึ้ง  จากนั้นก็ตอบอย่างหนักแน่นในทำนองว่า  "แล้วเขายังเป็นลูกเราอยู่หรือเปล่าล่ะ.."

ถ้อยคำนั้น   ดูจะขื่นขมอยู่บ้าง  แต่หากมองข้ามไป ก็จะสัมผัสได้ว่า  ความเป็นแม่...ยิ่งใหญ่นัก  ให้อภัยลูกได้เสมอ ...

 

สวัสดีค่ะ...คุณ P แผ่นดิน

  • ยุ่งและเหนื่อยขนาดนี้ยังแวะมาทักทาย...ขอบคุณนะคะ...แหววติดตามไปดูบรรยากาศการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยหัวใจที่เชียงใหม่ น่าสนุก..และซาบซึ้งมากๆ และก็เลยได้รู้ความเป็นไปของคุณพนัสและก็คนอื่นๆ..เสียดายจังไม่ได้ไปอยู่ในเหตุการณ์...
  • แหววมีความไวในอารมณ์ซาบซึ้งในคุณงามความดีอันประมาณมิได้เมื่อมีผู้กล่าวถึงอยู่3 รายการ คือ แม่...ในหลวง และก็พระพุทธเจ้า  ครั้งนี้แค่เพียงคุณพนัสยกตัวอย่างคำพูดในภาพยนต์ แหววก็เกิดอาการจุกขึ้นมาที่อก น้ำตาจะไหล เสมือนต้องเป็นผู้ตอบคำถามเสียเอง..เหตุนี้ที่แหววยังต้องฝึกเรื่องของจิตใจอีกมาก เพราะยังอ่อน และไหลตามอารมณ์กับ 3 เรื่องนี้มากทีเดียว เป็นปัญหาค่ะ..เช่นจะร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี แล้วร้องไม่ออก เพราะ...นั่นแหละค่ะ..
  • กับภารกิจที่มากมายและทรงคุณค่า...ขอให้แข็งแรงทั้งกายและใจ จัดการกับทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างลงตัวและสุขในจิตใจทั้งครอบครัวนะคะ...
รุ้งทอง ครามานนท์

พี่แหววเขียนเรื่องราวทุกๆเรื่องออกมาได้ดีมากๆเลยค่ะ บางเรื่องรุ้งอ่านแล้วน้ำตาจะไหล รุ้งกำลังคิดอย่างนี้ค่ะว่าทำไมพี่แหววไม่รวบรวมแล้วส่งเสนอสำนักพิมพ์เพื่อจัดพิมพ์เป็นเล่มล่ะค่ะ ซึ่งรุ้งคิดว่าได้แน่ๆค่ะ

ด้วยความเคารพค่ะ

รุ้งทอง

สวัสดีค่ะน้องรุ้ง

  • ขอบคุณกับคำชื่นชมค่ะ
  • สำหรับพี่แหวว พื้นที่ go to know แห่งนี้ก็เป็นหนังสือเล่มใหญ่ให้พี่แหววได้บันทึกสิ่งต่างๆ ได้มากมายเลยทีเดียวละค่ะ

รูปใครน๊า น่าเกรียดจังเลย ป๊าวน่าลากจะตายไป กล้าเน๊อะ

ขอนำบทแผ่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มาฝาก

เมตตา

สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

อะเวรา โหนตุ  จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

อัพยาปัชญา โหนตุ  จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

อนีฆา โหนตุ   จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย

สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ   จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด

กรุณา

สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง

สัพพะ ทุกขา ปะมุญจันตุ  จงพ้นจากความทุกข์เถิด

มุทิตา

สัพเพ สัตตา  สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง

สัทธะสัมปัตติโตมาวิคัจ ฉันตุ  จงอย่าปราศจากสมบัติอันตนได้แล้วเถิด

อุเบกขา

สัพเพ สัตตา  สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง

กัมมัสสะกา  เป็นผู้มีกรรมเป็นของตนเอง

กัมมะทายาทา  เป็นผู้รับผลของกรรม

กัมมะโยนะ   เป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด

กัมมะพันธุ   เป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์

กัมมะปะฏิสะระณา  เป็นผู้มีกรรมเป็นที่พึ่งพาอาศัย

ยัง กัมมัง กะริสสันติ   กระทำกรรมอันใดไว้

กัลยะยาณัง วา ปาปะกัง วา   ดีหรือชั่ว

ตัสสะ ทายาทา ภะวิสันติ  จักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น

        สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลกนี้  จงอย่าได้มีเวร เบียดเบียนกันและกัน  จงอย่าได้มีความลำบาก เจ็บไข้เลย จงเป็นผู้มีสุข พ้นทุกข์ภัยทั้งสิ้น กับขอจงเป็นผู้มีส่วนได้เสวยบุญอันเราได้กระทำแล้วทุกเมื่อเถิด

สาธุ  สาธุ  สาธุ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท