ค่ำคืนอันแปลกเปลี่ยว ...


ห้อง ๆ นี้ เป็นเสมือนโลกใบหนึ่งที่เปิดให้แต่ละคนได้แสดงออกถึงความเป็นส่วนตัวต่อสาธารณะอย่างเปิดเผย

 (๑)

ค่ำคืนในกรุงเทพฯ   อันแปลกเปลี่ยว

  

หลายคนเอ่ยทักในทำนองว่าผมเป็น นักเดินทาง   ทั้งโดยความจริงและความฝัน   ซึ่งหมายถึงการพร่ำคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ อยู่อย่างไม่รู้จบ   คิดโน่น  คิดนี่ ! , ฝันโน่น ฝันนี่ ! อย่างไม่รู้เบื่อ  แต่จะทำยังไงได้ล่ะ   เมื่อผมรู้สึกและเชื่อเสมอมาว่า   ชีวิตที่มีความฝันเท่านั้น  คือชีวิตที่มีความหมายและมีลมหายใจของความเป็น มนุษย์

 (๒)   

 

ผมออกจากรัฐสภาเกือบ    โมงเย็น  ซึ่งแน่นอนเวลาดังกล่าวนั้นไม่ทันได้พานพบการ คว่ำบาตร  ของพระภิกษุสงฆ์  แต่ยังได้สัมผัสกับบรรยากาศของการประท้วงอันเข้มข้น ด้วยสันติวิธี    จากนั้นก็ให้อิสระกับตนเองได้เดินทอดน่องไปตามวิถีถนน,  ผมสะพายเป้  (เหมือนเด็กหนุ่ม)  เดินตรงดิ่งมายังลานพระบรมรูปฯ   ...  ลานนี้โล่งงาม  ,เงียบสงบ,  ขรึมขลังและยิ่งใหญ่อย่างเห็นได้ชัด

   

ผมกลับมาถึงที่พักราว  3  ทุ่ม,  สำหรับคนแปลกถิ่นเช่นผม  ค่ำคืนในเมืองใหญ่เช่นนี้ ดูจะแปลกเปลี่ยวและเดียวดายอยู่มาก   

อันที่จริงผมก็มากรุงเทพฯ  บ่อยครั้งเหมือนกัน   แต่ก็ไม่เข้าใจว่าวันนี้, ค่ำคืนนี้ทำไมถึงรู้สึกเปลี่ยวเศร้าและเหงาหงอยอย่างบอกไม่ถูก

   

ผมตัดสินใจพาตนเองเข้าสู่ร้านอินเตอร์เน็ตใกล้ ๆ  โรงแรมอันเป็นที่พัก   ในชีวิตของผม,  ผมไม่เคยท่องแวะเข้าไปใช้ชีวิตในร้านอินเตอร์เน็ตเลยแม้แต่ครั้งเดียว   ด้วยความที่อ่อนด้อยต่อเรื่องพรรค์นี้จึงยิ่งทำให้ผมมีอาการออกเด๋อ ๆ  เดิ่ง ๆ  อย่างเห็นได้ชัด

(๓)

ผมมีเจตนาที่ชัดเจนว่าจะเข้าไปท่องเล่นในโลก G2K  ...  ผมรู้สึกขัดเขินกับวัฒนธรรมในร้านเน็ตอย่างเห็นได้ชัด   การจ่ายเงินก่อนจับจองที่นั่งคือขั้นตอนแรกที่ผมต้องเรียนรู้   จากนั้นผมก็เป็นอิสระและมีโลกส่วนตัวอยู่ท่ามกลางสาธารณะนั้น !    

 

ผู้คนหลากวัยตั้งหน้าตั้งตาทำกิจกรรมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ราวกับมันเป็นเสมือนญาติและเพื่อนผู้รู้ใจ  เด็กในวัยเด็กท่องในโลกเกมส์อย่างสนุกสนาน    ผู้ใหญ่ในวัยหนุ่มและวัยสาว  chat  อย่างมีรสชาติ  จะมีผมเพียงคนเดียวนี่แหละที่ท่องอยู่ในโลก G2K  ... เงียบขรึมและดำเนินไปอย่างแปลกเปลี่ยว  

   

หลายครั้งผมสัมผัสได้ว่าคนข้าง ๆ  ชำเลืองมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม   เขาคงสงสัยกระมังว่าผมกำลังทำอะไร ?  ... ทำไมถึงเงียบและไม่มีสีสันเอาเสียเลย     

   (๔)   

 

ห้องเน็ตเป็นเสมือนโลกแคบในทางกายภาพ   แต่โลกอีกใบหนึ่งซึ่งซ้อนทับอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์กับกว้างใหญ่และไร้พันธนาการอย่างน่าทึ่ง   ขณะที่ทุกคนสนุกสนานท่องเล่นกับโลกใบนี้อย่างสมวัย   แต่ผมกลับดูเป็นชายชราที่พลัดหลงมาสู่โลกใบนี้อย่างน่าขำ

   

ผมแปลกใจไม่น้อยที่ร้านเหล่านี้สามารถเปิด  24  ชั่วโมงได้อย่างชัดแจ้ง   ตรงกันข้ามอย่างลิบลับกับสิ่งที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองพร่ำพูดถึงการจัดระเบียบสังคมอย่างน่าชื่นชม   และเมื่อไม่นานมานี้   ผมก็เป็นหนึ่งในคณะทำงานที่ทางจังหวัดได้มอบหมายให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคม มอใหม่  ให้เป็น เมืองน่าอยู่ อู่น่านอน   ซึ่งมีเรื่องการควบคุมร้านอินเตอร์เน็ตอยู่ในนั้นด้วย

   

ผมเข้าไปเขียนบันทึกได้สักพัก   และใช้เวลาอันน้อยนิดตอบบันทึก   ตลอดจนเข้าไปอ่านบันทึกของกัลยาณมิตรเท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวย   อันที่จริงผมตั้งใจจะใช้เวลาอยู่ในโลกอันเป็นห้องแคบนี้เต็มที่   รวมถึงการคาดหวังว่าจะใช้ห้วงเวลาดังกล่าวนี้   ศึกษาและสังเกตวิถีชีวิตของผู้คนในยามค่ำคืนของเมืองใหญ่อีกสักครั้ง   หากแต่ความแปลกเปลี่ยวที่รุมเร้าผมอย่างไม่รามือ  ทำให้ผมรู้สึกราวกับกำลังถูกโลกใบนี้บีบให้  ตีบเล็ก  ลงทุกขณะ

   

เมื่อผมดูภาพท้องทุ่งในบันทึกของตนเอง   ผมก็อดคิดแบบขำ ๆ  ขึ้นมาไม่ได้ว่า   คนกรุงเทพฯ  ดูพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกดินกันที่ไหนบ้าง  ?  เด็ก ๆ  และคนหนุ่มสาวที่อยู่ในร้านเน็ตเหล่านี้กลับไปทานอาหารเย็นที่บ้านบ้างหรือเปล่า ?  พวกเขาไม่สนใจละครหลากรสชาติในทีวีบ้างหรือไร ?  และทำไมไม่มีใครสักคนใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อค้นคว้าข้อมูลในทางปัญญาและการเรียนบ้างเลย ? 

  (๕)   

 

ตลอดเวลาที่คนแปลกหน้าอย่างผมใช้ชีวิตอยู่ในห้องนี้,   ผมมักจะแว่วยินกับถ้อยคำของผู้คนอย่างฉะฉาน   พวกเขาสามารถส่งเสียงร้อง  หรือแม้แต่พูดคุยกันด้วยเสียงอันดังโดยไม่ต้องเกรงอกเกรงใจว่าใครจะรำคาญ ...

   

ห้อง ๆ  นี้   เป็นเสมือนโลกใบหนึ่งที่เปิดให้แต่ละคนได้แสดงออกถึงความเป็นส่วนตัวต่อสาธารณะอย่างเปิดเผย   ขณะที่โลกอีกใบหนึ่งที่กั้นไว้ด้วยประตูกระจกใสอันเป็นประตูร้านฯ  ก็ดำเนินไปอย่างคึกคัก   เพียงก้าวพ้นประตูร้านออกมาก็จะพบได้ว่า  บนท้องถนนเป็นโลกอีกโลกหนึ่งที่แตกต่างลิบลับกับโลกในร้านอินเตอร์เน็ต

   

ก่อนที่ผมจะพาตนเองลุกออกจากที่นั่งในร้านอินเตอร์เน็ต    หญิงสาวท่านหนึ่งควงแขนคนรักเข้ามาในร้าน   ผมเผลอหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ    เธอน่าจะมีอายุราว ๆ  ไม่เกิน  16  ปี   เธอสวยใสและมีเสน่ห์ตามแบบของหญิงสาวในเมืองใหญ่   เสื้อสายเดี่ยว,  กางเกงขาสั้นรัดรูปโชว์เรียวขาอันงามอย่างเปิดเผย  ขณะที่ชายหนุ่มท่านนั้นดูจะมีอายุมากกว่าเธอสัก 2 – 3  ปี ...

เขาและเธอแสดงออกถึงความรักที่มีต่อกันอย่างเปิดเผยและกระทำราวกับว่าพื้นที่ตรงนี้คือ “พื้นที่สาธารณะ  ที่ใครต่อใครก็มีเสรีแห่งการแสดงออก  ...   

(๖)   

 

ผมเคอะเขินที่จะอยู่ในโลกที่ซ่อนอยู่ในห้องหับอันแคบเล็กนี้อีกต่อไป   ผมตัดสินใจลุกออกจากเก้าอี้และตรงออกมายังประตูบานเดียวที่มีอยู่    ทันทีผลักประตูและก้าวพ้นออกมา   โลกอีกใบก็ฉายเด่นและตระหง่านอยู่ต่อหน้า    

 

ดึกแล้ว,  ซึ่งหมายถึงกำลังผ่านพ้นเที่ยงคืน   แต่ผู้คนก็ยังคงย่ำเท้าไปทั่วท้องถนน   แสงไฟหลากสียังคงทำหน้าที่แต้มแต่งค่ำคืนให้ดูน่าสนใจและเย้ายวนต่อการท่องเล่นมากกว่าจมดิ่งอยู่บนเตียงนอน

  

ผมเดินผ่านร้านคาราโอเกะ,  มองเห็นหญิงสาวที่แต่งกายด้วยชุดนุ่งน้อยห่มน้อยแต่เต็มไปด้วยสีสันกำลังนั่งเรียกแขกอยู่หน้าร้านราวกับ "นางกวัก  เธอเป็นใครมาจากไหน ... มาจากผืนแผ่นดินอีสาน หรือเปล่า  (ผมเผลอถามตัวเองอย่างเจ็บปวด)   ถัดมาไม่กี่ฝีก้าว   ชายวัยกลางคนผมเผ้า, หนวดเครารกรุงรัง  เนื้อตัวมอมแมนถึงขั้นสกปรกนอนขดตัวอยู่ริมทางเท้าโดยไม่สะทกสะท้านต่อกลิ่นเอียนอันคาวเหม็นและฝูงยุงแห่งเมืองใหญ่   ถัดจากนั้น  แท็กซี่หนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนคุยกับพนักงานสาวเสิร์ฟอย่างสนิทสนม,   

  (๗)

   

ผมพาตัวเองกลับมายังห้องพัก,  ทิ้งตัวนั่งบนเตียงนอนอันอ่อนนุ่มอย่างอ่อนแรง   

ในห้องหับของที่พักก็ดูราวกับเป็นอีกโลกใบหนึ่งที่ผมกำลังเผชิญในค่ำคืนกลางเมืองใหญ่   ผมหวนกลับไปนึกถึงหญิงสาวที่นั่งอยู่หน้าร้านคาราโอเกะ  ชายผู้ซึ่งนอนขดตัวอยู่ริมทางเท้าคนนั้น  , รวมถึงหนุ่มแท็กซี่และสาวเสิร์ฟคู่นั้น  พร้อมเปรยกับตัวเองอีกครั้งอย่างเงียบ ๆ  ว่า  ในชีวิตของพวกเขา,  พวกเขามีความฝันอย่างไรบ้างหนอ ?“ 

   

ความแปลกเปลี่ยวยังคงเกาะกุมผมอย่างสนิทแน่น  ,  ค่ำคืนที่แปลกเปลี่ยวกับยิ่งเงียบเหงาขึ้นเท่าตัว   ผมตัดสินใจเปลี่ยนแปลงกำหนดการเดินทางกลับบ้านอย่างแน่วแน่  

พรุ่งนี้,  ผมจะเดินทางกลับบ้านเร็วขึ้นกว่าที่ตั้งใจไว้  ...  และไม่ลืมที่จะให้โอกาสกับเจ้าความแปลกเปลี่ยวได้กลับใจมาเป็นมิตรร่วมนอนบนเตียงเดียวกับผมในคืนนี้      

....  

 

ค่ำคืนที่แปลกเปลี่ยว,  กรุงเทพฯ

  o:  ๑๕ 

  วันสุดท้ายของเดือนมิถุนา

หมายเลขบันทึก: 107673เขียนเมื่อ 30 มิถุนายน 2007 19:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:16 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (22)

ผมไม่ทราบว่าขณะนี้ 

ท่านกลับถึงดินแดนที่สงบเรียบ 

แต่แฝงด้วยมิตรไมตรีและรอยยิ้ม

ทานอาหารที่ปรุงจากฝีมือของคนรัก

นอนกอดลูกๆ ที่สุดแสนจะน่ารัก

หรือยัง...เพราะว่าผมไม่ได้เข้า g2k มาหลายเวลา..ครับ

ขอให้หลับฝันอย่างมีความสุข  ในโลกของความเป็นจริง

 

สวัสดีค่ะ อาจารย์

 

  • เขียนได้น่าอ่านชวนติดตามดีจังค่ะ
  • พรุ่งนี้ ป้าแดงจะไป กทม. เหมือนกันค่ะ ไม่รู้จะรู้สึกอย่างอาจารย์รึป่าว
  • แต่ป้าแดงคงไม่กล้าเดินออกไปไหน นอกจากอยู่แต่ในห้องพัก
  • คงต้องหนีบโน๊ตบุ๊คไปด้วย เพื่อว่าอยากเข้ามาอ่านบันทึก ใน G2K
  • ขอบคุณค่ะ ที่เล่าให้ฟังค่ะ นางกวัก ที่เขียนไว้ ไม่อยากให้เป็นคนอิสานค่ะ

เปิดอ่านบันทึกของคุณแผ่นดินทีไร เหมือนได้หยิบหนังสือดี ๆ เล่มหนึ่งมาอ่าน...

บทแล้วบทเล่าของหนังสือเล่มนี้ยังชวนอ่านอยู่เสมอ...

ขอบคุณมาก ๆ ครับ...

เป็นมุมของชีวิตคนเมือง ที่เข้าใจว่าตนเองศิวิไลซ์

แต่ความศิวิไลซ์แบบคนเมือง นำมาซึ่งความเหงาหงอยในจิตใจ

บรรยากาศคนเมืองทำให้คนหาความหมายของชีวิตได้ยากนัก

หลายคนต้องไขว่คว้า สิ่งนอกตัวมาเพื่อให้ตัวเองรู้ว่ามีความหมาย มีชีวิต

แต่ยิ่งไขว่คว้าก็ยิ่งหาความหมายของชีวิตไม่เจอ

 

มุมมองที่อาจารย์เห็น เป็นมุมที่สะท้อนสังคมเมือง และอ่านแล้วก็เกิดสะท้อนใจค่ะ

 อาจารย์ถ่ายทอดได้ดีจังนะคะ

ขอบคุณค่ะ

สวัสดีครับ  พี่สมนึก
P
  • ผมกลับมาถึงสารคามในเย็นของวันนี้  จากเดิมต้องถึงพรุ่งนี้เช้า  แต่เพราะความแปลกเปลี่ยวนั่นเองที่ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงการเดินทางอย่างกระทันหัน
  • ลูก ๆ และเพื่อนชีวิตมารอรับอย่างน่ารัก
  • ผมก้าวพ้นประตูรถทัวร์ , ลูกชายคนโตวิ่งมาสวมกอด  ขณะที่เจ้าตัวเล็กง่วนอยู่กับซองขนมหน้าร้านค้า  แต่หลังจากเห็นพ่อก็ถลามาอย่างว่าง่าย
  • กรุงเทพฯ   เป็นเมืองที่ผมรู้สึกว่าเปลี่ยวเหงามาก  ทั้ง ๆ ที่คึกคักด้วยผู้คนและแสงสี  แต่ก็เหมือนกับถูกห่มคลุมด้วยความเปลี่ยวเหงาอยู่วันยังค่ำ
  • ความรู้สึกเช่นนี้อาจเป็นเพราะผมไม่คุ้นชินกับกรุงเทพฯ  หรือเพราะผมเป็นคนมีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูงก็เป็นได้
  • ....
  • บ้าน ...  คือ  ที่ ๆ อบอุ่นสำหรับผม ...
  • ผมมีความสุขที่กลับมาถึงบ้านเร็วกว่ากำหนด
  • พรุ่งนี้เช้าจะดูละครจักร ๆ วงศ์ ๆ  เป็นเพื่อนลูกชาย
  • ...
  • ...
  • กลับถึงบ้านแล้ว  ผมมีความสุขจริง ๆ ครับ  (พี่สมนึก !)
สวัสดีครับ
P
  • ทุกครั้งที่ไปกรุงเทพฯ  หรือต่างจังหวัด  ผมก็พกโน้ตบุ๊คไปด้วย
  • คราวนี้ไม่ได้พกพาไป - จึงเงียบ ๆ เหงา ๆ  อย่างที่เป็น
  • เชื่อว่าป้าแดงคงไม่เหงาหรอกนะครับ เพราะโน๊คบุ๊คจะเป็นเพื่อนให้คลายเหงาได้ดีทีเดียว
  • ....
  • ผมเองก็เฝ้าภาวนาอย่าให้เธอ หรือหญิงสาวคนนั้นเป็นคนอีสานเลย .. แต่ถึงเป็นก็ขอให้เธอประสบความสำเร็จมีความฝันที่เป็นจริงตลอดไป
  • บางทีเราก็เลือกได้อย่างไม่เท่าเทียมกันใช่ไหมครับ ....
  • ....
  • ขอให้ป้าแดง...เดินทางโดยสวัสดิภาพ
  • และมีความสุขกับการเดินทางครั้งนี้นะครับ

คนกรุงเทพฯ  ดูพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกดินกันที่ไหนบ้าง  ?

....................................

  อ่านแล้วเห็นภาพ ดีคะ...

   เมื่อวาน เจอน้องย่ามแดง ใน มอ.ตานี ยังคุยถึง น้องแผ่นดินด้วย...

   อยู่ที่ปัตตานี ตอนนี้ ก็ไม่ได้รอดูพระอาทิตย์ตกดินที่ ทะเลโคลน หรือที่ไหน เหมือนกัน

สวัสดีครับ
P
ผมเองก็ชอบอ่านบันทึกของคุณดิเรกเช่นกัน  โดยเฉพาะเอกลักษณ์ที่มักหยิบมุมคิดของชีวิตมาเขียนให้อ่านอย่างสั้น ๆ  ...
ผมพยายามเขียนให้สั้น  แต่ก็ทำไม่ได้ซะที,  เพราะเป็นคนชอบร่ายยาว  เกริ่นและออกนอกเรื่องไปเรื่อย ๆ  ...
แต่นั่นมันก็คือแบบฉบับของตนเอง... ซึ่งก็มีความสุขดีที่ได้เขียนในแนวทำนองเช่นนี้และยิ่งรู้ว่ามีคนติดตามอ่านและคนที่ติดตามอ่านก็มีความสุขไปกับเรื่องเล่าของผม, ....  ผมก็ยิ่งมีความสุข
ขอบคุณครับ, ขอบคุณในมิตรภาพที่ไม่ร้างเลือน ...

สวัสดีค่ะ คุณแผ่นดิน ... ไปท่องกรุงเทพฯ มาหรอค่ะ

อ่านแล้วมาเห็นภาพและได้บรรยากาศกรุงเทพฯแดนศิวิไลซ์ที่ไม่ศิวิไลซ์...เราซึ่งอยู่ต่างจังหวัดแสนจะไม่คุ้นเคย ... พี่เป็นอีกคนหนึ่งค่ะ ที่ไม่ชอบที่จะอยู่ที่กรุงเทพฯ และหากจำเป็นต้องอยู่ ก็จะอยู่แบบระแวงเสมอค่ะ...

สวัสดีครับ
P
อันที่จริงภาพที่ผมพบเจอนั้น  เป็นภาพธรรมดาสามัญที่เกิดขึ้นและดำเนินไปในทุกวี่วันและทุกค่ำคืนของสังคมเมืองทั่วไป   และผมก็เข้าใจ หรือแม้แต่รับรู้อยู่แล้วทั้งผ่านการคิด, การฟัง, การอ่าน, หรือแม้แต่เข้าสัมผัสบ้างในบางโอกาส
แต่การเข้าไปสัมผัสตรงจากบริบทวัฒนธรรมเช่นนั้น  ก็อดที่จะแปลกและชวนคิด หรือแม้แต่ตั้งคำถามกับตนเองไม่ได้ ...
สังคมเมืองถูกสร้างขึ้นจากความทันสมัย  และความทันสมัยเหล่านั้นก็เดินทางมาเพื่อชดเชยในสิ่งที่คนในสังคมเมืองโหยหา  แต่แล้วก็ไม่สามารถเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายและโหยหาได้   ซ้ำร้ายกลับกลายเป็นว่า  "เติมไม่เต็ม"  ... 
ที่สำคัญคือ  ยังฉุดลากให้ผู้คนเดินทางไปสู่โลกแห่งความสับสนและเดียวดายอย่างไม่น่าเชื่อ ...
สวนสาธารณะในเมืองใหญ่ คือ สิ่งที่ผมเฝ้ามองมาตลอดชีวิต ,  ม้านั่งที่คนไม่คุ้นเคยมานั่งข้าง ๆ กันแล้วเปิดประตูใจทักทายกันอย่างมีมิตรภาพ ,  ภาพของผู้คนวิ่งและเดินเล่นอย่างมีความสุข   ...  สิ่งเหล่านี้คือภาพแห่งความสุขที่ผมพบอยู่บ่อยครั้ง
...
สังคมอาจต้องการการเยียวยาอยู่มาก  และผมก็ไม่แน่ใจว่า  วิธีการใดคือการเยียวยาสังคมกันแน่ ...
ผมมีคำถามากมายเสมอ...(เมื่อออกเดินทาง) ..
ขอบคุณครับ

อ่านเพลินเลยครับ

ผมเองเคยมานั่งพิจารณาตัวเองหลายครั้งเมื่อกลับจากกรุงเทพ

สงสัยผมบ้านนอกจัด เพราะไม่เคยมีความคุ้นเคยกับกรุงเทพสักที (ข้อนี้ถูกต้อง และไม่บังเอิญจนเกินไปที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นคนบ้านนอก และภูมิใจเสียด้วย)

เคยมีคนถามว่า ทำไมไม่มาทำงานในกรุงเทพ เงินดีจะตาย ผมคิดว่า จะไปทำไม ในเมื่อที่หาดใหญ่ ผมสามารถตื่นนอนตอน ๗ โมงครึ่ง อาบน้ำแต่งตัว ทำกับข้าวให้ลูกกิน ลูกได้กินข้าวที่บ้าน ไม่ใช่ในรถ ไปส่งลูกสาวที่โรงเรียน ก็ยังมีเวลาเหลือเฟือ เงินได้ไม่มากเท่าหมอที่กรุงเทพ แต่ก็มีเงินเหลือใช้

 

สวัสดีครับ  พี่หน่อย  ดอกแก้ว
ผมเคยถามตนเองอยู่บ้างว่า  ในปีหนึ่ง ๆ  เคยตื่นทันดูพระอาทิตย์ขึ้นกี่ครั้ง   คำตอบนั้นก็ชัดเจนเหลือเกินว่าแทบไม่มีเลย    แต่ก็ไม่ได้หมายถึงผมตื่นสาย  หากแต่ตื่นแล้วไม่รู้จะไปดูได้ที่จุดใดดี ...กอปรกับชีวิตในแต่ละวันรีบเร่งอย่างไม่น่าเชื่อ,  จึงพลัดหลงไปจากบรรยากาศเช่นนั้นโดยอัตโนมัติ 
อย่างไรก็ตาม  บ่อยครั้งก็ยังได้มีโอกาสดูพระอาทิตย์ตกดิน,  รู้ว่าค่ำแล้วนะ  .. การรู้เช่นนั้น  รู้จากการดูท้องฟ้า ไม่ใช่ดูจากนาฬิกา หรือแม้แต่แสงไฟจากท้องถนน
....
มองในแง่ดีก็ยิ้มให้ตนเองว่า  ดีแล้วล่ะ  ถึงแม้ไม่ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้น  หากแต่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกดินก็ถือว่า  ชีวิตไม่แห้งผากจนเกินไปนัก
....
ขอบคุณมากครับ... ขอให้พี่หน่อยมีความสุขกับการงานและชีวิตตลอดไป

สวัสดีครับ  อ.แป๋ว

P
paew 
 
แสงสีศิวิไลซ์ในเมืองหลวง  ไม่ได้ช่วยให้ผมสดชื่นขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น  หากแต่กลับทำให้ผมรู้สึกราวกับว่าตนเองได้ห่างบ้านมาแสนไกลและเนิ่นนานขึ้นทุกขณะ
ถึงแม้ความเป็นจริงอาจจะเพิ่งห่างและจากมาเพียงไม่นาน   แต่เมื่อจิตใจไม่สามารถทานทัดกับสิ่งที่ไม่คุ้นเคย  ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า  "คิดถึงบ้าน"  และต้องการที่จะกลับบ้านให้เร็วที่สุด
ระยะหลัง ๆ  ผมเองก็บ่นเสมอว่า  ไปไหนได้ไม่นาน  .. คิดถึงบ้านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ...
....
ขอบคุณครับ

อรุณสวัสดิ์..ยามเช้าค่ะ..คุณพนัส

  • จริงๆแล้วไม่ถนัดเลยในการเรียกชื่อค่ะ..เพราะว่าตัวเองถนัดที่จะเรียกแบบ พี่..น้อง..มากกว่า แต่พอไม่รู้ว่าอายุเท่าใด..เลยไม่รู้จะเรียกอย่างไร..รู้สึกแข็งๆ พิกลค่ะ..
  • อ่านบันทึกคุณพนัส หลายครั้งที่รู้สึกว่า มีอะไรคล้ายๆกันมาก (ในหลายๆเรื่อง) รวมทั้งเรื่องนี้ อาจะเป็นเพราะตัวเอง..เป็นเด็กบ้านนอกและอยู่กับธรรมชาติกระมัง
  • เมื่อก่อนโดยเฉพาะช่วงวัยรุ่น จนเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว ตัวเองก็ยังมีปัญหาเวลาเข้ากรุงเทพ คือรู้สึกจะอึดอัดในหัวอก...เหงา..เดียวดาย..ซึม...หัวใจเหี่ยว..หรือรู้สึกว่าใจไปอยู่ที่ตาตุ่ม(จริงๆ) ด้วยสิ่งแวดล้อมที่ไม่โล่ง เป็นตึกคอนกรีต..และภาพบางภาพของชีวิตที่น่ารันทด...ความเร่งรีบ..ไร้มิตรไมตรี..โดยทั่วๆไป
  • แต่ตอนนี้ดีแล้วค่ะ...ระยะหลังนี้ การภาวนา การตามรู้กาย-ใจ ด้วยจิตที่เป็นกลาง ช่วยได้เยอะมาก เคยต้องเข้าไปอบรมในกรุงเทพ และอยู่ในโรงแรม (พักคนเดียว 4วัน) กลับไม่เป็นปัญหาเลย...เล่นโยคะบ้าง..อ่านหนังสือดีๆที่พกพามา...นั่งสมาธิ เดินจงกรมบ้าง...สวดมนต์ และทำงานหลังการประชุม....เวลาหมดไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเวลาที่พบเจอกับสังคมที่มีกำแพงขวางกั้นมิตรไมตรีแห่งชีวิต ก็เจริญสติ ดูไตรลักษณ์ รู้สึกถึงความมั่นคงของใจ....ไม่กวัดแกว่ง หรือกวัดแกว่งน้อยมากๆ มีความสุข ดีขึ้นเยอะเลยค่ะ...อาจเป็นเพราะ ..ถึงวัยอันควร...(คือแก่แล้วนั่นเอง)...นี่แสดงว่า...คุณพนัสยังไม่แก่หรอกค่ะ...อาจจะยังเป็นเด็กหนุ่มอยู่ด้วยซ้ำ
  • แต่ดีใจด้วยนะคะ ..ที่มีเพื่อนชีวิตที่น่ารักและอบอุ่นถึง 3 คน...เป็นโชคดีของชีวิตแล้วค่ะ..รวมถึงการที่ได้มีถิ่นที่อยู่ที่ใกล้ชิดธรรมชาติ รวมถึงผู้คนที่มีชีวิตสัมพันธ์....เพราะถึงอย่างไร การได้ใช้ชีวิตอย่างบ้านนอกเรานี่แหละ..ทำให้ใจและกายของเราอยู่ในสุขภาวะมากกว่า ด้วยเราเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ..ขอให้มีความสุขมากๆ กับครอบครัวที่น่ารักนะคะ...สวัสดีค่ะ

สวัสดีค่ะ

อ่านที่คุณพนัสเขียน  เข้าใจความรู้สึกค่ะ

สำหรับพี่ๆคิดว่า มันคือ ความไม่คุ้นเคย ความแปลกไปจากความเคยชิน ขอเล่าความรู้สึกของตัวเองบ้างค่ะ แลกกันนะคะ

พี่เป็นคนกรุงเทพโดยกำเนิด ชีวิตอยู่ในบ้าน  ชอบอยู่บ้าน  อยู่กรุงเทพเป็นส่วนใหญ่ สมัยเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่พาเราพี่น้อง ไปเที่ยวเกือบทุกจังหวัด ไปมาหมด และชอบทุกที่ เพราะแต่ละที่ จะมีจุดเด่นของตัวเอง ที่ไปบ่อยและอยู่นานๆ คือ สงขลา เพราะคุณพ่อเป็น ชาวสงขลา รองมาคือ จันทบุรี เพราะคุณตาเป็นคนจันทบุรี

แต่ ไปที่ไหน ก็ไม่คุ้นเท่ากับอยู่บ้าน และบ้านอยู่ในกรุงเทพ

จริงๆแล้ว พี่ว่า ที่เรารู้สึก ไม่ค่อยอยากอยู่ที่ไหนนานๆ เพราะ เราไม่คุ้นเคยค่ะ

พอทำงาน ต้องไปต่างประเทศบ่อย บางประเทศทางตะวันตก สะอาดกว่า เจริญกว่าเรา แต่เราก็ไม่คุ้น ไม่อบอุ่นเท่า  เราว่า เราอยากอยู่ประเทศเรามากที่สุด จะยังไง ก็เป็นแผ่นดินเกิดของเรา เราภูมิใจที่จะอยู่ในประเทศของเรา แผ่นดินที่เรามีสิทธิโดยชอบธรรม ไม่ต้องโอนสัญชาติ

อีกข้อหนึ่ง คือเรื่องอินเตอร์เน็ท ตามร้าน ส่วนใหญ่เขาไปเล่นเกมส์และchatกัน

 ก็ให้มีบ่นเล็กๆอยู่ตลอดว่า เด็กๆวัยรุ่นนี่ ไม่รู้จะมีเรื่องอะไรคุยนักหนา คุยได้คุยดี  ลืมไปว่า ธรรมชาติของวัยรุ่นกับเรา ไม่เหมือนกัน ต่อไป เขาก็จะเลิกคุยเจ๊าะแจ๊ะเอง   มื่อโตขึ้นค่ะ

อิอิ  มาขำ ขำ หัวหน้าฯเข้าร้านอินเตอร์เน็ต  (ลองนึกภาพตามอ่ะ)

พี่หนิงเองเป็นคนที่ไม่กล้าเข้าร้านอินเตอร์เน็ท  จึงพยายามหาวิธีการ  จนทุกวันนี้พี่สามารถเข้าอินเตอร์เน็ตได้หลายวิธีค่ะ

เอาไว้วันหลังเรามาลองหัดใช้อินเตอร์เน็ตจากโน๊ตบุคเรานะคะ

อิอิ

สวัสดีครับ

P

ผมเองก็เคยใช้ชีวิตพักใหญ่ ๆ อยู่ที่กรุงเทพฯ  การงานมั่นคง รายได้ก็ดี  สามารถดูแลทางบ้านได้อย่างไม่เคอะเขิน  แต่ก็รู้สึกอยู่เสมอว่าเหนื่อยกับการต้องดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา  เหนื่อยกับการต้องพยายามทำความเข้าใจกับผู้คนที่มากหน้าหลายตา ...

ที่สุดแล้วก็ตัดสินใจกลับมาเริ่มต้นชีวิตและการงานใหม่อีกครั้งที่ภูมิภาค  งานอาจจะไม่มีรายได้ดีเหมือนที่กรุงเทพฯ  แต่รู้สึกได้ชัดเจนว่า  มีความสุขมากอย่างเห็นได้ชัด

ผมคงไม่ได้หมายถึงว่ากรุงเทพฯ  เป็นเมืองไม่น่าอยู่  เพราะอันที่จริงกรุงเทพฯ ก็เป็นเมืองที่น่าอยู่อีกเมืองหนึ่งของประเทศไทย   เพียงแต่ภาวะที่เกิดขึ้นกับผมนั้น  เป็นห้วงของความเป็นเคยชินของตนเองเป็นหลักสำคัญ  จึงหยิบมาสะท้อนเผื่อจะมีลักษณะร่วมกับใครอีกหลายท่าน

...

ผู้คนมากมาย

กรีดกรายในเมืองใหญ่

ผ่านมา - ผ่านไป

ราวกับไม่รู้จักกัน

....

ขอบคุณครับ

 

 

 

สวัสดีครับ
P
งั้นเอาเป็นว่า  ผมบอกตัวเลขของอายุเลยก็แล้วกัน  จะได้เรียกให้ถูก  ซึ่งตอนนี้ยังไม่ถึง  35  เลยครับ -
และชีวิตคงเริ่มต้นตอน 40  กระมัง  (ก็ได้แต่หวังให้เป็นไปตามนั้นแหละครับ)
....
ผมชื่นชมที่อาจารย์ฯ  มีวิธีหรือต้นทุนที่ดีในการจัดการกับภาวะแวดล้อมที่ไม่คุ้นชินได้เป็นอย่างดี  โดยเฉพาะการนำพาหลักปฏิบัติเกี่ยวกับสมาธิมาเป็นเครื่องบำบัดเยียวยา ... ซึ่งส่วนตัวผมยอมรับว่าตนเองยังไม่มุ่งมั่นสู่กระบวนการนั้นเท่าทีควรนัก
รึ ผมจะติดอารมณ์ศิลปินกระมังครับ  จึงรู้สึกตลอดเวลาว่า "ขี้เหงา"  ... ฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อย   ฝันโน่นฝันนี่อยู่ตลอดเวลา  
ผมเชื่อเหลือเกินว่าแต่ละท่านมีวิธีการจัดการกับโลกที่แปลกหน้าสำหรับตนเองเสมอ   ผมมักจะใช้วิธีของการเดินตามร้านหนังสือ,  หรือไม่ก็หยิบหนังสือมาอ่าน  สิ่งเหล่านั้นจะช่วยให้เรารู้สึกราวกับกำลังท่องเล่นอยู่ในที่ ๆ  รื่นรมย์ .. 
แต่ก็แปลกใจเหลือเกินว่าทำไมช่วงนี้ไปไหนมาไหนไม่ยืดไม่ยาวเหมือนในอดีต  ซึ่งอาจจะหมายถึงความเป็นห่วงและระลึกถึงลูกชายกระมังครับ  ที่เป็นห่วงโซ่พันธนาการเรียกขานให้เรากลับไปหาเขาอยู่ตลอดเวลา
...
ชีวิตเป็นเช่นนี้กระมังครับ ...  และมนุษย์แท้ที่จริงอาจจะเป็นสัตว์โลกที่อ่อนแอเหลือเกิน  ไม่งั้นคงไม่เรียกตนเองว่าสัตว์ "สังคม" ....
ขอบคุณครับ -
สวัสดีครับ
P
สำหรับพี่ๆ  คิดว่า มันคือ ความไม่คุ้นเคย ความแปลกไปจากความเคยชิน
....
ยอมรับนะครับว่าภาวะรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผมนั้น  เป็นภาวะของความไม่คุ้นเคย, แปลกหน้า แปลกถิ่น  จึงรู้สึกราวกับอยู่คนเดียวในโลกกว้าง  และสังคมในเมืองก็เป็นสังคมที่แตกต่างจากชนบทที่ตนเองอาศัยอยู่ซึ่งเรามีเวลาที่จะทักทายกันอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก
ครั้งหนึ่งที่ผมไปอเมริกา  ก็รู้สึกในทำนองเดียวกัน  คือ  คิดถึงและโหยหาประเทศไทยมาก  และความรู้สึกนั้นก็ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นที่ใดที่หนึ่ง  ขอให้เป็นประเทศไทยเป็นพอแล้ว
ผมไม่คุ้นชินกับที่อื่น ๆ นัก  นั่นคือข้อจำกัดเรื่องต้นทุนของผม    ผมมักจะเป็นกันเองกับมหาสารคามและกาฬสินธุ์   ยิ่งเป็นคนค่อนข้างสันโดษยิ่งรู้สึกเปลี่ยวแปลกกับที่อื่น ๆ อยู่เสมอ   หรือแม้แต่การไปเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ  ผมก็จะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า "เหงา" ...
บางครั้งผมอาจจะไม่ปรับตัวกับแวดล้อมอย่างเต็มที่,  มีโลกส่วนตัวอันลึกเร้นเป็นของตนเอง   แต่ก็แปลกอยู่ไม่น้อย  วิถีการงานกลับว่ายวนอยู่ในกิจกรรมทางสังคมอยู่อย่างไม่รู้จบ  แต่ก็ไม่คุ้นชินกับสังคมแห่งการพบปะสังสรรค์ใด ๆ  ...
กรณีร้านอินเตอร์เน็ต  นั่นคือครั้งแรกที่เข้าไปสัมผัส  อันที่จริงก็พอที่จะเข้าใจอยู่บ้าง  แต่พอเข้าไปสัมผัสจริงก็เกิดภาพที่เป็นยิ่งกว่าที่เรารับรู้ผ่านสื่อต่าง ๆ  หรือแม้แต่การรับรู้ผ่านคำบอกเล่าของผู้คน
ก็หวังแต่เพียงว่าวัยรุ่นในร้านเน็ตเหล่านั้น  จะมีภูมิต้านทานที่ดีในการท่องเล่นในโลกใบนั้น,  ....
...
 ตอนนี้กลับมาถึงบ้าน   ความแปลกเปลี่ยวทั้งปวงก็อันตธานหายไปจนสิ้น   จะมีก็แต่เสียงรบเร้าจากเจ้าตัวซนทั้งสองแหละครับที่โหมกระหน่ำผมอยู่อย่างไม่ขาดสาย
ขอบพระคุณครับ - .....

เจ้ ..

P

เอาไว้วันหลังเรามาลองหัดใช้อินเตอร์เน็ตจากโน๊ตบุคเรานะคะ

...

ผมไม่ค่อยเข้าใจข้อความข้างต้นครับ  ก็ตอนนี้เราก็ใช้อินเตอร์เน็ตผ่านโน้ตบุ๊คอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ

อย่าถือสานะครับ  ผมขลาดเขลากับเรื่องเทคโนโลยีเสมอ

....

ขอบคุณครับ - 

 

ก่อนหน้านั้นไม่กี่วันผมก็ยังอยู่ที่กรุงเทพ

แต่ผมโชคดีที่ได้"ดิเรก" เพื่อนผู้ใจดี มาคอยทักทายและชวนพูดคุยเรื่องราวมิตรภาพ

ที่ร้านหนังสือ

ที่ร้านกาแฟ

และแม้กระทั่งร่ำลาก่อนกลับ...

ทำให้ไม่เปล่าเปลี่ยวเหมือนที่ผมคิดไว้ในตอนแรก

 - - - - - - - - - - - - - - -

บันทึกที่มีชีวิต ทำให้ผมคิดย้อนอดีตตัวเอง ผมคิดว่าความรู้สึกที่หลากหลายผ่านสิ่ที่เราพบและรู้จัก ทำให้เราเรียนรู้โลกที่เปลี่ยนแปลงเสมอ

- - - - - - - - - - - - - - - -

ขอบคุณเรื่องราวที่ทำให้ผมรู้ว่า เพื่อนมีวิถีอย่างไร...นั่นก็พอบรรเทาความคิดถึงได้ แม้เพียงน้อยหนึ่งก็ยังดี

 เหมือนเช่นเคย...

ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ คุณเอก

P

ผมอาจจะไม่เหมาะกับชีวิตในเมืองใหญ่  ให้ไปเป็นครั้งคราวก็คงพอไหว  หรืออาจจะเป็นเพราะ "บ้าน"  ผูกติดกับตัวเองมากไปกระมังครับ  เวลาเดินทางจึงโหยหาการคืนกลับบ้านอย่างไม่รู้จบ

.....

ชีวิตในกรุงเทพ  ผมมักจะไปใช้ชีวิตเตร่ ๆ  อยู่ตามร้านหนังสือจตุจักร, ร้านหนังสือแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ  , ร้านหนังสือใต้ดินในเซ็นทรัลลาดพร้าว ..และใช้ชีวิตอยู่ในนั้นได้นานเป็นวัน ๆ อย่างไม่รู้สึกเบื่อ

.....

แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็ให้อภัยกับตนเองเสมอ  ให้อภัยกับการที่ตนเองไม่ยอมที่จะทำตัวให้เป็น "มิตร"  กับความแปลกเปลี่ยวเหล่านั้น

......

เช่นเคยครับ -

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท