ห้อง ๆ นี้ เป็นเสมือนโลกใบหนึ่งที่เปิดให้แต่ละคนได้แสดงออกถึงความเป็นส่วนตัวต่อสาธารณะอย่างเปิดเผย
(๑)
ค่ำคืนในกรุงเทพฯ อันแปลกเปลี่ยว –
หลายคนเอ่ยทักในทำนองว่าผมเป็น “นักเดินทาง” ทั้งโดยความจริงและความฝัน ซึ่งหมายถึงการพร่ำคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ อยู่อย่างไม่รู้จบ คิดโน่น คิดนี่ ! , ฝันโน่น ฝันนี่ ! อย่างไม่รู้เบื่อ แต่จะทำยังไงได้ล่ะ เมื่อผมรู้สึกและเชื่อเสมอมาว่า ชีวิตที่มีความฝันเท่านั้น คือชีวิตที่มีความหมายและมีลมหายใจของความเป็น “มนุษย์”
(๒)
ผมออกจากรัฐสภาเกือบ ๕ โมงเย็น ซึ่งแน่นอนเวลาดังกล่าวนั้นไม่ทันได้พานพบการ “คว่ำบาตร” ของพระภิกษุสงฆ์ แต่ยังได้สัมผัสกับบรรยากาศของการประท้วงอันเข้มข้น ด้วยสันติวิธี จากนั้นก็ให้อิสระกับตนเองได้เดินทอดน่องไปตามวิถีถนน, ผมสะพายเป้ (เหมือนเด็กหนุ่ม) เดินตรงดิ่งมายังลานพระบรมรูปฯ ... ลานนี้โล่งงาม ,เงียบสงบ, ขรึมขลังและยิ่งใหญ่อย่างเห็นได้ชัด
ผมกลับมาถึงที่พักราว 3 ทุ่ม, สำหรับคนแปลกถิ่นเช่นผม ค่ำคืนในเมืองใหญ่เช่นนี้ ดูจะแปลกเปลี่ยวและเดียวดายอยู่มาก
อันที่จริงผมก็มากรุงเทพฯ บ่อยครั้งเหมือนกัน แต่ก็ไม่เข้าใจว่าวันนี้, ค่ำคืนนี้ทำไมถึงรู้สึกเปลี่ยวเศร้าและเหงาหงอยอย่างบอกไม่ถูก
ผมตัดสินใจพาตนเองเข้าสู่ร้านอินเตอร์เน็ตใกล้ ๆ โรงแรมอันเป็นที่พัก ในชีวิตของผม, ผมไม่เคยท่องแวะเข้าไปใช้ชีวิตในร้านอินเตอร์เน็ตเลยแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยความที่อ่อนด้อยต่อเรื่องพรรค์นี้จึงยิ่งทำให้ผมมีอาการออกเด๋อ ๆ เดิ่ง ๆ อย่างเห็นได้ชัด
(๓)
ผมมีเจตนาที่ชัดเจนว่าจะเข้าไปท่องเล่นในโลก G2K ... ผมรู้สึกขัดเขินกับวัฒนธรรมในร้านเน็ตอย่างเห็นได้ชัด การจ่ายเงินก่อนจับจองที่นั่งคือขั้นตอนแรกที่ผมต้องเรียนรู้ จากนั้นผมก็เป็นอิสระและมีโลกส่วนตัวอยู่ท่ามกลางสาธารณะนั้น !
ผู้คนหลากวัยตั้งหน้าตั้งตาทำกิจกรรมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ราวกับมันเป็นเสมือนญาติและเพื่อนผู้รู้ใจ เด็กในวัยเด็กท่องในโลกเกมส์อย่างสนุกสนาน ผู้ใหญ่ในวัยหนุ่มและวัยสาว chat อย่างมีรสชาติ จะมีผมเพียงคนเดียวนี่แหละที่ท่องอยู่ในโลก G2K ... เงียบขรึมและดำเนินไปอย่างแปลกเปลี่ยว
หลายครั้งผมสัมผัสได้ว่าคนข้าง ๆ ชำเลืองมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เขาคงสงสัยกระมังว่าผมกำลังทำอะไร ? ... ทำไมถึงเงียบและไม่มีสีสันเอาเสียเลย !
(๔)
ห้องเน็ตเป็นเสมือนโลกแคบในทางกายภาพ แต่โลกอีกใบหนึ่งซึ่งซ้อนทับอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์กับกว้างใหญ่และไร้พันธนาการอย่างน่าทึ่ง ขณะที่ทุกคนสนุกสนานท่องเล่นกับโลกใบนี้อย่างสมวัย แต่ผมกลับดูเป็นชายชราที่พลัดหลงมาสู่โลกใบนี้อย่างน่าขำ
ผมแปลกใจไม่น้อยที่ร้านเหล่านี้สามารถเปิด 24 ชั่วโมงได้อย่างชัดแจ้ง ตรงกันข้ามอย่างลิบลับกับสิ่งที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองพร่ำพูดถึงการจัดระเบียบสังคมอย่างน่าชื่นชม และเมื่อไม่นานมานี้ ผมก็เป็นหนึ่งในคณะทำงานที่ทางจังหวัดได้มอบหมายให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคม “มอใหม่” ให้เป็น “เมืองน่าอยู่ อู่น่านอน” ซึ่งมีเรื่องการควบคุมร้านอินเตอร์เน็ตอยู่ในนั้นด้วย
ผมเข้าไปเขียนบันทึกได้สักพัก และใช้เวลาอันน้อยนิดตอบบันทึก ตลอดจนเข้าไปอ่านบันทึกของกัลยาณมิตรเท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวย อันที่จริงผมตั้งใจจะใช้เวลาอยู่ในโลกอันเป็นห้องแคบนี้เต็มที่ รวมถึงการคาดหวังว่าจะใช้ห้วงเวลาดังกล่าวนี้ ศึกษาและสังเกตวิถีชีวิตของผู้คนในยามค่ำคืนของเมืองใหญ่อีกสักครั้ง หากแต่ความแปลกเปลี่ยวที่รุมเร้าผมอย่างไม่รามือ ทำให้ผมรู้สึกราวกับกำลังถูกโลกใบนี้บีบให้ “ตีบเล็ก” ลงทุกขณะ
เมื่อผมดูภาพท้องทุ่งในบันทึกของตนเอง ผมก็อดคิดแบบขำ ๆ ขึ้นมาไม่ได้ว่า คนกรุงเทพฯ ดูพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกดินกันที่ไหนบ้าง ? เด็ก ๆ และคนหนุ่มสาวที่อยู่ในร้านเน็ตเหล่านี้กลับไปทานอาหารเย็นที่บ้านบ้างหรือเปล่า ? พวกเขาไม่สนใจละครหลากรสชาติในทีวีบ้างหรือไร ? และทำไมไม่มีใครสักคนใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อค้นคว้าข้อมูลในทางปัญญาและการเรียนบ้างเลย ?
(๕)
ตลอดเวลาที่คนแปลกหน้าอย่างผมใช้ชีวิตอยู่ในห้องนี้, ผมมักจะแว่วยินกับถ้อยคำของผู้คนอย่างฉะฉาน พวกเขาสามารถส่งเสียงร้อง หรือแม้แต่พูดคุยกันด้วยเสียงอันดังโดยไม่ต้องเกรงอกเกรงใจว่าใครจะรำคาญ ...
ห้อง ๆ นี้ เป็นเสมือนโลกใบหนึ่งที่เปิดให้แต่ละคนได้แสดงออกถึงความเป็นส่วนตัวต่อสาธารณะอย่างเปิดเผย ขณะที่โลกอีกใบหนึ่งที่กั้นไว้ด้วยประตูกระจกใสอันเป็นประตูร้านฯ ก็ดำเนินไปอย่างคึกคัก เพียงก้าวพ้นประตูร้านออกมาก็จะพบได้ว่า บนท้องถนนเป็นโลกอีกโลกหนึ่งที่แตกต่างลิบลับกับโลกในร้านอินเตอร์เน็ต
ก่อนที่ผมจะพาตนเองลุกออกจากที่นั่งในร้านอินเตอร์เน็ต หญิงสาวท่านหนึ่งควงแขนคนรักเข้ามาในร้าน ผมเผลอหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ เธอน่าจะมีอายุราว ๆ ไม่เกิน 16 ปี เธอสวยใสและมีเสน่ห์ตามแบบของหญิงสาวในเมืองใหญ่ เสื้อสายเดี่ยว, กางเกงขาสั้นรัดรูปโชว์เรียวขาอันงามอย่างเปิดเผย ขณะที่ชายหนุ่มท่านนั้นดูจะมีอายุมากกว่าเธอสัก 2 – 3 ปี ...
เขาและเธอแสดงออกถึงความรักที่มีต่อกันอย่างเปิดเผยและกระทำราวกับว่าพื้นที่ตรงนี้คือ “พื้นที่สาธารณะ” ที่ใครต่อใครก็มีเสรีแห่งการแสดงออก ...
(๖)
ผมเคอะเขินที่จะอยู่ในโลกที่ซ่อนอยู่ในห้องหับอันแคบเล็กนี้อีกต่อไป ผมตัดสินใจลุกออกจากเก้าอี้และตรงออกมายังประตูบานเดียวที่มีอยู่ ทันทีผลักประตูและก้าวพ้นออกมา โลกอีกใบก็ฉายเด่นและตระหง่านอยู่ต่อหน้า –
ดึกแล้ว, ซึ่งหมายถึงกำลังผ่านพ้นเที่ยงคืน แต่ผู้คนก็ยังคงย่ำเท้าไปทั่วท้องถนน แสงไฟหลากสียังคงทำหน้าที่แต้มแต่งค่ำคืนให้ดูน่าสนใจและเย้ายวนต่อการท่องเล่นมากกว่าจมดิ่งอยู่บนเตียงนอน
ผมเดินผ่านร้านคาราโอเกะ, มองเห็นหญิงสาวที่แต่งกายด้วยชุดนุ่งน้อยห่มน้อยแต่เต็มไปด้วยสีสันกำลังนั่งเรียกแขกอยู่หน้าร้านราวกับ "นางกวัก” เธอเป็นใครมาจากไหน ... มาจากผืนแผ่นดินอีสาน หรือเปล่า (ผมเผลอถามตัวเองอย่างเจ็บปวด) ถัดมาไม่กี่ฝีก้าว ชายวัยกลางคนผมเผ้า, หนวดเครารกรุงรัง เนื้อตัวมอมแมนถึงขั้นสกปรกนอนขดตัวอยู่ริมทางเท้าโดยไม่สะทกสะท้านต่อกลิ่นเอียนอันคาวเหม็นและฝูงยุงแห่งเมืองใหญ่ ถัดจากนั้น แท็กซี่หนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนคุยกับพนักงานสาวเสิร์ฟอย่างสนิทสนม,
(๗)
ผมพาตัวเองกลับมายังห้องพัก, ทิ้งตัวนั่งบนเตียงนอนอันอ่อนนุ่มอย่างอ่อนแรง
ในห้องหับของที่พักก็ดูราวกับเป็นอีกโลกใบหนึ่งที่ผมกำลังเผชิญในค่ำคืนกลางเมืองใหญ่ ผมหวนกลับไปนึกถึงหญิงสาวที่นั่งอยู่หน้าร้านคาราโอเกะ ชายผู้ซึ่งนอนขดตัวอยู่ริมทางเท้าคนนั้น , รวมถึงหนุ่มแท็กซี่และสาวเสิร์ฟคู่นั้น พร้อมเปรยกับตัวเองอีกครั้งอย่างเงียบ ๆ ว่า “ในชีวิตของพวกเขา, พวกเขามีความฝันอย่างไรบ้างหนอ ?“
ความแปลกเปลี่ยวยังคงเกาะกุมผมอย่างสนิทแน่น , ค่ำคืนที่แปลกเปลี่ยวกับยิ่งเงียบเหงาขึ้นเท่าตัว ผมตัดสินใจเปลี่ยนแปลงกำหนดการเดินทางกลับบ้านอย่างแน่วแน่ –
พรุ่งนี้, ผมจะเดินทางกลับบ้านเร็วขึ้นกว่าที่ตั้งใจไว้ ... และไม่ลืมที่จะให้โอกาสกับเจ้าความแปลกเปลี่ยวได้กลับใจมาเป็นมิตรร่วมนอนบนเตียงเดียวกับผมในคืนนี้
....
ค่ำคืนที่แปลกเปลี่ยว, กรุงเทพฯ
o๒ : ๑๕
วันสุดท้ายของเดือนมิถุนา