Carbohydrate: Inulin, Oligofructose นวช. 7 ว. กองควบคุมอาหาร คาร์โบไฮเดรต เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานกับคนทุกเชื้อชาติและทุกวัย ตั้งแต่ทารก เด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ตามข้อกำหนดสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคประจำวันสำหรับคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไปของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กำหนดไว้ว่าควรได้รับคาร์โบไฮเดรต 60 % ของพลังงาน ที่บริโภคอาหารต่อวัน (2,000 กิโลแคลอรี) คาร์โบไฮเดรตหลัก ๆ ได้แต่ น้ำตาล (Sugars) และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (Complex Carbohydrates) น้ำตาล (Sugars) รวมถึง Monosaccharides เช่น กลูโคส ฟรุคโตส Disaccharides เช่น น้ำตาลทราย แล็คโตส คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (Complex Carbohydrates) หมายถึงคาร์โบไฮเดรตประเภทแป้ง โพลีซัคคาไรด์ รวมถึงพวกธัญชาติต่าง ๆ ผักและผลไม้ด้วย แต่ไม่รวมถึงน้ำตาล ผลทางสรีรวิทยาของคาร์โบไฮเดรต 1. ให้พลังงานกับร่างกาย (Provision of Energy) โดยทั่วไปคาร์โบไฮเดรตให้พลังงานกับร่างกาย 4 กิโลแคลอรี่ต่อกรัม แต่ถ้าเป็นคาร์โบไฮเดรตประเภทน้ำตาลชั้นเดียว (Monosaccharides) จะให้พลังงานเพียง 3.75 กิโลแคลอรี่ต่อกรัม และสำหรับคาร์โบไฮเดรตที่ไม่สามารถถูกย่อย เช่น Non-digestible Oligosaccharides, Resistant Starch และ Non-Starch Polysaccharides จะให้พลังงานกับร่างกายประมาณ 2 กิโลแคลอรี่ต่อกรัม 2. ผลต่อความรู้สึกอิ่ม (Effects on Satiety) ระดับน้ำตาลในเลือดช่วยควบคุมการบริโภคอาหารของมนุษย์ ถ้าระดับน้ำตาลในเส้นเลือดแดงสูงกว่าในเส้นเลือดดำมาก แสดงว่ามีคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายใช้ประโยชน์อยู่จำนวนมากจะรู้สึกอิ่ม อย่างไรก็ตามการศึกษาที่ผ่านมายังไม่ทราบอย่างแน่ชัดถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรใดในร่างกายที่ เกี่ยวข้องกับการควบคุมความหิวและทำให้รู้สึกอิ่มจะมีความสัมพันธ์กับส่วนประกอบของอาหารทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแต่ประเภทของคาร์โบไฮเดรต 3. การควบคุมกลไกของระดับน้ำตาลและอินสุลิน (Control of Blood Glucose and Insulin Metabolism) การย่อยคาร์โบไฮเดรตเกิดขึ้นตั้งแต่ในปากโดยเอนไซม์- อไมเลสที่มีอยู่ในน้ำลาย (Salivary-Amylase) จนถึงลำไส้เล็กโดยเอนไซม์อไมเลสจากตับอ่อน (Pancreatic Amylase) ให้เป็นน้ำตาลชั้นเดียว ก่อนที่จะถูกดูดซึมจะเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระดับกลูโคสในเลือดสูงขึ้น ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้นเพียงใดและนานเท่าใดภายหลังจากรับประทานอาหาร ขึ้นอยู่กับอัตราการดูดซึมและการย่อยที่เกิดขึ้นในลำไส้เล็ก การหลั่งอินสุลินจากตับอ่อนจะเกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เพื่อดึงน้ำตาลเข้าสู่เซลล์และนำไปใช้ต่อไปในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติเป็นอาการของโรคเบาหวาน แต่ถ้าต่ำกว่าปกติมาก ๆ จะทำให้เกิดการชักและช็อก หรือหมดสติได้ 4. เมตาโบลิซึมของโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ (Cholesterol and Triglyceride Metabolism) โพลีแซคคาไรด์จำพวก oat-beta-Glucan, guar gum และที่มีอยู่ในพืชจำพวก psyllium พบว่าสามารถทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดต่ำลงได้ ซึ่งเชื่อว่าเป็นเพราะโพลีแซคคาไรด์เหล่านี้ไปจับกับกรดน้ำดีและเกลือของน้ำดี (bile acid and bile salt) ทำให้โคเลสเตอรอลถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ลำไส้เล็ก หรือเป็นเพราะผลของกระบวนการหมักที่เกิดขึ้นจาก Non-Starch Polysaccharide โดยเฉพาะกรดโพรพีโอนิค (propionic acid) ไปยับยั้งการสร้างโคเลสเตอรอล 5. กระบวนการหมัก (Fermentation) คาร์โบไฮเดรตที่ไม่ถูกย่อยและดูดซึมในลำไส้เล็กจะผ่านเข้ามาที่ลำไส้ใหญ่ และเกิดกระบวนการหมักขึ้น โดยอาศัยแบคทีเรียที่อยู่ใน ลำไส้ใหญ่นั่นเอง ทำให้เกิดก๊าซไฮโดรเจน, มีเทน และคาร์บอนไดออกไซด์ และได้กรดไขมันสายสั้น (Short chain fatty acid) จำพวก Acetate, Propionate และ Butyrate และกระตุ้นให้แบคทีเรียมีการเจริญเติบโต (Bacterial Growth; Biomass) ก๊าซที่เกิดขึ้นจะถูกดูดซึมและขับออกทางลมหายใจหรือทางทวารหนัก กรดไขมันสายสั้นซึ่งเป็นสารสำคัญที่ได้จากการหมักนี้จะถูกดูดซึมและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในร่างกาย โดยกรด Acetate ถูกนำไปใช้โดยตับ กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออื่นๆ กรด propionate ถูกเปลี่ยนเป็นกลูโคสเพื่อนำไปใช้ต่อไป และกรด Butyrate ถูกนำไปใช้เพื่อควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ การแบ่งเซลล์ และการตายของเซลล์6. การขับถ่ายอุจจาระ (Bowel Habit Laxation) คาร์โบไฮเดรตประเภท Non-Starch Polysaccharides และ Resistant จะมีผลเพิ่มปริมาณกากอุจจาระและเกิดการ ขับถ่ายได้ง่าย ทั้งนี้ผลจะรุนแรงมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ คุณสมบัติของ Non-Starch Polysaccharides แต่ละชนิด และถ้ามีกระบวนการหมัก (Fermentation) เกิดขึ้นก็จะเป็นการกระตุ้นให้แบคทีเรียมีการเจริญเติบโต (Biomass) มากขึ้น ทำให้เป็นการเพิ่มปริมาณกากอุจจาระด้วย7. ผลต่อแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ (Effect on Large Bowel Microflora) คาร์โบไฮเดรตที่ถูกหมักใน ลำไส้ใหญ่จะกระตุ้นให้แบคทีเรียมีการเจริญเติบโตเร็วขึ้น และเป็นการเพิ่ม Biomass เมื่อแบคทีเรียมีการเจริญเติบโต แบคทีเรียนั้นก็จะมีการสังเคราะห์โปรตีน จากกรดอะมิโนและเปปไตด์ (Preformed amino acid and peptides) และแอมโมเนีย Biomass ที่เพิ่มขึ้นนี้ก็จะถูกขับถ่าย ออกทางอุจจาระ จึงทำให้ร่างกายขับถ่ายไนโตรเจนออกมากขึ้นด้วย นอกจากนี้มีการศึกษาพบว่า คาร์โบไฮเดรต Fructo-Oligosacchardes สามารถไปเพิ่มแบคทีเรียชนิด Bifidobacteria และ lacto-bacilli ในลำไส้ได้ ขณะเดียวกันก็ช่วยลดปริมาณแบคทีเรียชนิด Clostridium Perfringens ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคได้ และยังทำให้การสร้างสารก่อมะเร็ง (Carcinogenesis) ในลำไส้ด้วย จึงพบว่า ในปัจจุบันมีการบริโภค Fructo-oligosaccharides มากขึ้น คาร์โบไฮเดรต เป็นอินทรีย์สารประกอบด้วยคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน (CnH2nOn) แบ่งได้ 3 ประเภทใหญ่ตามขนาดโครงสร้าง (Degree of Polymerization, DP)
|
ขอให้คนไทยรู้รักสามมัคคีเพื่อในหลวงท่าน
หยุดเสพ หยุดกิน หยุดดื่ม หยุดดูด เพื่อในหลวง
ชาติไทยจะยังยืนถ้าคนไทยสามัคคี (เรารักในหลวง)