เราๆ ท่านๆ คงจะมีประสบการณ์ในการอบรม เจริญเมตตามาแล้วไม่มากก็น้อย คำบริกรรมที่ใช้กันบ่อยขึ้นต้นด้วย “สัพเพ สัตตา...” คงจะเป็นที่คุ้นเคยกันดี
ผู้เขียนมีคำแนะนำจากท่านพระคันธสาราภิวงศ์ วัดท่ามะโอ เกี่ยวกับการฝึกอบรม เจริญเมตตาที่ค่อนข้างง่าย และได้ผลเร็ว
ท่านเล่าเรียนบาลีมูลกัจจายน์(บาลีใหญ่)จากท่านพระอาจารย์ชาวพม่า(ท่านพระธัมมานันทะ อัครมหาบัณฑิต) ณ วัดท่ามะโอ
ต่อมาไปศึกษาต่อในประเทศพม่าจนจบชั้นธัมมาจริยะ และอภิวังสะ สอบได้ที่ 1 ของจังหวัดแปร และที่ 2 ของประเทศพม่าตามลำดับ
ท่านพระจะนะกะ(ชนกะ) พระชาวพม่าเล่าว่า การศึกษาพระไตรปิฎกชั้นอภิวังสะนั้น... สอบผ่านกันเพียงปีละ 2-3 ท่านเท่านั้น
ท่านพระอาจารย์สาราภิวงศ์(สมลักษณ์)เป็นผู้มากด้วยเมตตา ทว่า... ท่านเล่าว่า เดิมท่านเป็นคนไม่ยอมใคร พี่ชายจับบวชเณรฤดูร้อน จึงบวชมาเรื่อย
นั่นก็ยังไม่ทำให้ท่านเย็นลงเท่าไหร่ จนกระทั่งเมื่อครั้งไปฝึกอบรมกรรมฐานในสำนักมหาสีสยาดอ ณ ประเทศพม่านาน 3 เดือน
การฝึกปฏิบัติเป็นไปอย่างเข้มข้นสไตล์พม่า เรียกว่า ฝึกหนักทั้งวัน นั่งสมาธิ 1 ชั่วโมง เดินจงกลม 1 ชั่วโมงสลับกันแทบทั้งวัน
ครั้นจะหนีไปนอนก็ไม่ได้ เพราะจะมีพระอาจารย์ผู้ควบคุมกฎล็อคห้องนอนไว้ ไม่ให้เข้าไประหว่างการฝึกอบรม
ครั้นตกเย็น... รู้สึกเหนื่อยมาก จะพิจารณาพระสูตรที่ทรงจำได้ก็พิจารณาต่อไม่ไหว และแล้ว... วิกฤตก็กลับกลายเป็นโอกาสอีกครั้งหนึ่ง
ท่านทดลองสาธยายคำเจริญเมตตาเป็นบาลีบ้างไทยบ้าง พบว่า การสาธยายที่ดีที่สุดควรเป็น 2 ภาษาสลับกัน
การสาธยายบาลีเป็นการรักษาพระพุทธพจน์ หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า ส่วนการสาธยายเป็นภาษาไทยทำให้เรา “เข้าถึง (in)” อัตถะ หรือเนื้อความได้ชัดเจน
ท่านทำการทดลองสาธยายในระหว่างการหายใจเข้า และหายใจออกพบว่า การสาธยายในระหว่างการหายใจออกช่วยให้ผ่อนคลาย (relax) ได้ดี
ต่อมาได้พัฒนาเทคนิคการสาธยายขึ้นใหม่ โดยสาธยายในใจระหว่างหายใจเข้า สาธยายเป็นเสียงออกมาระหว่างหายใจออก ท่านพบว่า วิธีนี้ได้ผลดีที่สุด
คำสาธยายเมตตามีดังต่อไปนี้
ท่านพระอาจารย์สมลักษณ์แนะนำว่า การเจริญเมตตาให้ดี ควรเจริญให้ได้ทั้ง 4 อิริยาบถได้แก่ ยืน เดิน นั่ง นอน
ท่านเล่าว่า เมื่อฝึกเจริญเมตตาแบบนี้จนครบ 3 เดือนแล้ว พบว่า เย็นลงไปมาก...
ผู้เขียนขอเรียนเสนอให้ท่านผู้อ่านลองฝึกหายใจช้าๆ สาธยายบทเมตตานี้ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของท่านทั้งหลาย
การอบรม เจริญเมตตามีประโยชน์ทั้งต่อตัวเอง และคนรอบข้าง... สังคมทุกวันนี้อุปมาเหมือนกับ “สังคมใกล้จุดเดือด” หรือสังคมระดับเกือบ 100 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิของสังคมทุกวันนี้กล่าวได้ว่า พร้อมที่จะทำให้เรา “เดือด” ได้ตลอดเวลา ถ้าเย็นลงบ้าง... ลดลงครึ่งหนึ่งเป็น 50 องศาเซลเซียสได้ก็คงจะดีไม่น้อย
ผู้เขียนขอเรียนเสนอให้ฝึกหายใจให้ช้ากว่า 10 ครั้งต่อนาทีให้ได้ ถ้าฝึกหายใจช้าขนาดนี้ได้อย่างน้อยวันละ 15 นาที... นอกจากจะเย็นลงแล้ว ความดันเลือดยังมีแนวโน้มจะลดลงได้ด้วย
คนที่เย็นลง ความดันเลือดลดลง และความดันทุรังลดลงคงจะเป็นคนที่น่าคบหา คนรอบข้างเลยพลอยสบายกาย สบายใจไปด้วย
ขออนุญาตกล่าวสาธุการสำหรับท่านผู้อ่านที่จะอบรม เจริญเมตตาล่วงหน้าครับ... สาธุ สาธุ สาธุ ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของทุกท่าน
หมายเหตุ:
<ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="margin: 0cm 0cm 0pt 18pt; text-indent: -18pt; tab-stops: list 18.0pt"> อ่านบ้านสุขภาพ >>> http://gotoknow.org/blog/health2you </div></li></ul>
ขอขอบคุณอาจารย์ขจิต และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
ทว่า...ฉบับของท่านพระอาจารย์สมลักษณ์ดูจะโดดเด่นมากที่สุดเท่าที่พบมา...
คำจบบทสาธยายที่ว่า "อัตตานัง ปริหรันตุ - รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด"
ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของอาจารย์ขจิต และท่านผู้อ่านทุกท่าน
ขอขอบคุณอาจารย์ดวงเด่น และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
เรียนเสนอให้ลองกำหนดลมหายใจต่อไปจนถึง "เมตตาแบบหายใจออก" ครับ...
สงบ สบาย สุขกายสุขใจจริงๆ
ขอบคุณค่ะ ปกติจะนึกถึงบทแผ่เมตตาเวลาเห็นหมาน้อย แมวน้อยข้างถนนถูกรถชนน่าอนาถ จะพยายาม นั่ง ยืน เดิน นอน เจริญเมตตาดูบ้างน่าจะดี คงทำให้มีสติได้ดี ^____^
สาธุ สาธุ
ขอขอบคุณอาจารย์ iS และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
อารมณ์เวลาเห็นสัตว์เจ็บ ป่วย ตาย... ส่วนใหญ่จะเป็น "กรุณา = ปรารถนาให้สัตว์อื่นพ้นทุกข์ / บรรเทาทุกข์"
ขอขอบคุณอาจารย์จันทร์เมามาย และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
เมตตา(อโทสะ)จึงเป็นเครื่องอยู่สุขในปัจจุบันทั้งฆราวาส(ชาวบ้าน)และสมณะ(นักบวช)
การ "หล่อเย็น (cooling down)" หรือเจริญเมตตาน่าจะทำให้เราอยู่ในสังคมได้ โดยไม่เดือดเร็วจนเกินไป
ขอขอบคุณอาจารย์เปมิช...
จงกรม...
ที่มา:
ขอขอบพระคุณอาจารย์หมออั๋น...
สวัสดีค่ะคุณหมอ
ขอขอบคุณอาจารย์ครูตา ลป.มากๆ ครับ...
สาธุ สาธุ สาธุ...