จากไพ่ The Hanged Man สู่เรื่องราวของศาสนาพุทธ


ไพ่คนถูกแขวน ชายที่เท้าข้างหนึ่งถูกมัดไว้กับต้นไม้ ทำให้เขาห้อยหัวลง มีรัศมีแผ่ออกมาโดยรอบศีรษะ เขารวบแขนไว้ด้านหลัง และไขว้ขาข้างหนึ่งไว้หลังขาข้างที่ถูกมัด

จะสังเกตได้ว่าต้นไม้ที่เขาถูกมัดแขวนอยู่ เป็นต้นไม้ที่มีรูปร่างคล้ายไม้กางเขน ต่างจากไม้กางเขนคือเป็นต้นไม้ที่ยังมีชีวิต ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงออกถึงความเจ็บปวด หากเป็นกิริยาของการกำลังใช้ความคิดอย่างลึกซึ้ง ขาที่ถูกมัดหมายถึงการที่เขาถูกหน่วงเหนี่ยวไว้

จากลักษณะดังกล่าวทำให้เคยมีการแปลว่าไพ่ใบนี้เป็นไพ่ของหน้าที่ ของงานใหญ่ งานสำคัญ การใช้ความคิดไตร่ตรอง หรือเป็นความมั่นใจในตัวเองที่มากเกินไปซึ่ง Arthut Edward Waite ผู้ออกแบบไพ่ใบนี้ ไม่เห็นด้วยกับคำแปลเหล่านี้ เขาแปลความหมายเพียงว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเวทมนต์ (โดยแปลจากรัศมีที่แผ่ออกมาจากศีรษะของมนุษย์) กับจักรวาลเท่านั้น

ไพ่ใบนี้มีการสันนิษฐานว่ามีที่มาจากตำนานของเทพโอดิน ในทวีปยุโรปตอนเหนือ หรือสแกนดิเนเวียอัน เป็นที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมืองหลายกลุ่ม ชนกลุ่มหนึ่งถูกเรียกรวมๆว่า คนเหนือ หรือนอร์ส ( Norse ) เป็นพวกเดียวกับไวกิ้ง นับถือศาสนาดั้งเดิมที่เรียกว่า อาซาทรู ( Asatru ) หรือโอดินนิสม์ ( Odinism ) พวกเขาบูชาเทพโอดินในฐานะเทพสูงสุด มีตำนานเกี่ยวกับเทพโอดินว่า ทรงทรมานตนเองโดยแทงหอกเข้าที่ข้างลำตัวและแขวนตัวไว้กับต้นไม้แห่งโลกชื่ออิ๊กก์ดราซิล ( Yggdrasil) ถึง 9 วัน 9 คืน เพราะต้องการรับรู้ความลับสูงสุดของจักรวาล โดยเฉพาะสัจธรรม ความลี้ลับของการถือกำเนิด การมีชีวิต การสิ้นสูญ ชีวิตหลังความตาย รวมทั้งเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผลจากการทรมานทำให้ถึงกับสิ้นพระชนม์ และเกิดใหม่ในรูปลักษณ์เดิมที่ปราศจากความเจ็บปวด และความรู้ต่างๆก็หลั่งไหลเข้าสู่พระองค์ เมื่อทรงทราบความรู้ทั้งหมด ได้ทรงบันทึกปรีชาญาณเหล่านั้นโดยการบัญญัติเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์ 24 ตัว เรียกว่า รูนส์ ( Runes ) ทรงพระราชทานอักขระนี้แก่ชาวโลกเพื่อให้ใช้ในฐานะของเทพพยากรณ์

จากตำนานนี้จึงมีบางท่านแปลไพ่ใบนี้ว่า การทรมานตน ทำให้ได้ความรู้ใหม่ บ้างก็ว่าไพ่ใบนี้เป็นไพ่ของการเกิดใหม่ การตื่นจากการหลับใหล การหยุดนิ่งชั่วขณะเพื่อพบกับการเปลี่ยนแปลงที่จะตามมา

เนื่องจากหลักของศาสนาอาซาทรูเน้นสัจธรรมอันแสดงถึงความไม่จีรังยั่งยืนของสรรพสิ่ง เมื่อสรรพสิ่งไม่จีรัง ชนนอร์สเหล่านี้จึงมุ่งกระทำในสิ่งที่ควรทำ ยึดถือสัจจะ บูชาความรู้ ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าด้วยการออกผจญภัยไปในสถานที่ต่างๆ ปฏิบัติงานตามที่ได้ร้องขอ ต่อสู้อย่างกล้าหาญอันจะได้ตายอย่างมีเกียรติในสนามรบ เพื่อชนรุ่นหลังจะได้นำเรื่องราวของตนเล่าสืบต่อกันไปในฐานะวีรชน และเพื่อดวงวิญญาณจะได้รับการคัดเลือกให้ให้ร่วมรบในกองทัพเทพเจ้า อันจะต่อสู้กับเหล่ายักษ์ในวันสิ้นโลก หรือรักนาเริ้ค ( Ragnarok ) จึงมีผู้กล่าวว่า หลักการของศาสนาอาซาทรูที่เชื่อว่าสรรพสิ่งไม่จีรังนี้คล้ายกับหลักธรรมในศาสนาพุทธ

แต่ดิฉันกลับเห็นว่าคล้ายกันเพียงในส่วนของความเป็นอนิจจัง หรือความไม่เที่ยง ไม่จีรัง ของสรรพสิ่ง การทำในสิ่งที่ควรทำ และการบูชาความรู้ แต่ที่ไม่เหมือนกันเลยก็มีค่ะ

เช่น ความเชื่อในศาสนาอาซาทรูที่ว่าเทพโอดินทรงทรมานพระวรกายอย่างหนักเพื่อให้ได้รับความรู้ ในศาสนาพุทธ การทรมานร่างกายอย่างหนัก พระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค เป็นส่วนสุดส่วนหนึ่งที่พระองค์ไม่เข้าใกล้ เนื่องจากทรงเคยทรมานพระวรกายอย่างหนักมากมาแล้วจนเกือบสิ้นพระชนม์เมื่อครั้งทรงบำเพ็ญทุกขกริยา (เช่น ดังที่ตรัสเล่าว่า ทรงเคยฉันอาหารเพียงเมล็ดข้าวเพียงเมล็ดเดียว เป็นต้น) แต่การทรมานพระวรกาย ไม่ได้ช่วยให้ทรงบรรลุธรรมใด แต่เมื่อทรงระลึกถึงเมื่อครั้งที่ทรงมีพระชนมายุได้ 7 พรรษา ได้ตามพระบิดาไปในพิธีแรกนาขวัญ ครั้งนั้น พระเจ้าสุธโทธนะทรงเป็นพระยาแรกนาเอง เหล่านางกำนัลล้วนอยากดูพระราชพิธี จึงขอพระราชทานโอกาสให้ได้ไปดู จึงปล่อยพระองค์ไว้เพียงลำพังที่ต้นหว้า


พระองค์จึงทรงนั่งฝึกสมาธิ จนบรรลุปฐมฌานเป็นครั้งแรกในที่นั้น ครั้นเมื่อทรงระลึกได้อย่างนั้นแล้ว จึงทรงเกิดความเห็นว่า การทรมานพระวรกายไม่ใช่ทางที่จะทำให้ได้รับความรู้เพื่อพ้นทุกข์ได้ จนมีพระดำริว่า ถ้าอย่างไร เราพึงฉันข้าวสุกแลขนมสดเถิด

อีกเรื่องคือ การทำความดี เนื่องจากในศาสนาพุทธ จุดมุ่งหมายสูงสุดคือนิพพาน ดังนั้น การทำเพื่อประโยชน์ผู้อื่น จึงเป็นการทำที่หวังประโยชน์จะเกิดต่อผู้อื่นโดยแท้จริง ไม่ได้หวังผลตอบแทนกลับคืนมาสู่ตน เป็นการทำเพื่อฝึกตนคือละคลายความตระหนี่ ละคลายความยึดมั่น ดังนั้น เมื่อทำความดีแล้ว จึงไม่ยึดว่าความดีที่ทำนั้น เป็นของกู เมื่อ ตัวกู เป็นผู้ทำ ตัวกูก็ต้องได้รับผลตอบแทนอย่างน้อยก็ในรูปของคำสรรเสริญเหมือนกับในศาสนาอาซาทรู เนื่องจากเมื่อมีสิ่งที่เป็น ของกู ก็ต้องมี ตัวกู ผู้เป็นเจ้าของวนเกิดไปรับผลอันเป็น ของกู นั้นอยู่ร่ำไป เมื่อมี "ตัวกู" อยู่ร่ำไป ก็ไม่อาจเข้าถึงภาวะนิพพานได้

จากเรื่องราวของไพ่ โยงไปถึงศาสนาถึง 2 ศาสนาได้ด้วยประการฉะนี้เองค่ะ

........................................

Ico64_tm6-1Ico64_tm15-1Ico64_tm21-1Ico64_tm20-1http://www.gotoknow.org/blog/nadrda/301404

Ico64_tm14http://www.gotoknow.org/blog/nadrda/453311

Ico64_tm12-1http://www.gotoknow.org/blog/nadrda/450790

Tiny_tm19-1http://www.gotoknow.org/blogs/posts/390412

Ico64_tm11-1http://www.gotoknow.org/blogs/posts/301404

หมายเลขบันทึก: 450790เขียนเมื่อ 25 กรกฎาคม 2011 07:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 ตุลาคม 2013 20:58 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

ไพ่ ศาสนา ความเชื่อ ศรัทธา ขอให้ พัฒนา จิตใจ ก้อแล้วกันครับ

เคยเห็นไพ่ แต่ไม่เคยรู้ตำนานเหล่านี้มาก่อนเลยค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ดีจังเลยครับพี่ ได้ตำนานไพ่และความเชื่อมโยงของสองศาสนา

สวัสดีค่ะพี่ณัฐรดา ได้เรียนรู้เรื่องไพ่ และทางศาสนา เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกันได้ดีนะคะ

ขอบพระคุณดอกไม้และความเห็นจากทุกท่านนะคะ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท