ภาพการทำความสะอาดพื้นสำนักหลังเลิกเรียน ที่จะมีให้เห็นกันในสำนักศิลปป้องกันตัวของญี่ปุ่นทั่วไป
เสน่ห์ของการเรียนศิลปป้องกันตัวญี่ปุ่นกับเซนเซที่มีความอนุรักษ์มาก ๆ ก็คือ ท่านจะใส่ใจในรายละเอียดปลีกย่อยในเรื่องการถ่ายทอดความสำคัญของการพัฒนาจิตวิญญาณของมนุษย์เหนือสิ่งอื่นใด
ไม่เว้นแม้กระทั่งหมดคาบเวลาเรียนแล้ว อย่างเช่นธรรมเนียมการขัดพื้นสำนัก ที่ทุกคนต้องลดอัตตาตัวตนลงมาทำอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะสายอะไร อายุเท่าไหร่ ฝึกมานานหรือยัง
ฉันพบว่า มันเป็นการฝึกความสามัคคี ความมีน้ำใจให้กันได้ดีมาก ๆ เพราะมันยากที่จะทำให้ได้พร้อม ๆ กัน และมันก็จะหกคะเมนตีลังกาลื่นลงไปนอนเหยียดยาวกันทีละคนสองคน รวมถึงผู้ช่วยสอนอย่างฉันด้วย แต่ทุกคนก็จะคอยช่วยกันตลอด จะรอกัน จะมองกัน จะไปพร้อม ๆ กัน
ไม่มีใครทิ้งกันเลย เป็นกิจกรรมที่ทำให้รักกันมากเลยแหละ ขอบอก
ไม่นับประโยชน์ที่ทำให้ได้ฝึกหลายกล้ามเนื้อไปพร้อม ๆ กันเป็นการ วอร์ม ดาวน์ ได้ทั้งยืดเส้น และกึ่ง ๆ แอโรบิคส์ไปในตัวนะฉันว่า
วิธีการทำ ก็คือ เซนเซจะแจกผ้าขาวสะอาดใหม่เอี่ยมให้คนละผืน พร้อมกับสอนวิธีการพับให้ ฉันต้องพยายามอ่านปากเซนเซไปด้วย เพราะเซนเซพูดภาษาญี่ปุ่นเร็วปรื๋อ
อย่าว่าแต่ฉันเลย เจ้าคุมะ น้องหมีอ้วน เด็กอนุบาลญี่ปุ่นตากลมโต แก้มยุ้ย ขาวจั๊วะ ที่ชอบนั่งข้างฉัน ก็ยังตามเซนเซไม่ทันเลย เจ้าหมีน้อยทำหน้าเหยเก แล้วก็พับบิดเบี้ยวไปมา
ลำบากฉันต้องแอบชะโงกดูของเด็กอีกคน คือ อิบุกิ ซึ่งพับเสร็จก่อน แล้วก็พยายามพับตามให้ ตกลงเสร็จพร้อม ๆ กันพี่หมี กับน้องหมี
เสร็จแล้วทุกคนก็เข้านั่งเรียงแถว โหย่งตัวอย่างในภาพ (ซึ่งเป็นของสำนักอื่น ขอยืมมาประกอบการเล่า) แล้วเซนเซเป็นคนให้สัญญาณ ก็ไถปื๊ดดดดดด กันไปจนสุดโถง Dojo
พอสุด ก็จะกระเถิบขึ้นไปหนึ่งแถวไม้กระดาน แล้วก็กลับตัว (เหมือนว่ายน้ำ) ทุกคนตั้งแถวเตรียมพร้อม รอเซนเซให้สัญญาณ แล้วก็ถูไปพร้อม ๆ กันใหม่
ระหว่างนั้น ก็จะได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเด็ก ๆ สลับกับเสียงร้องโอดโอยของคนที่ล้ม และเสียงฟืดฟาดของลมหายใจหอบ กับสารพัดเสียง รวมทั้งเสียงเร่งจังหวะแบบดุไม่มากของเซนเซ คือเสียงใหญ่ ๆ ทุ้ม ๆ กึ่งเป็นทางการแบบอมยิ้มเล็กน้อย เพราะถือว่าหมดคาบการฝึกแล้ว
แต่จะว่าไปแล้ว สำหรับการเรียนกับเซนเซ ตลอดเวลาคือการฝึก เพราะจุดประสงค์ของการที่ผู้ปกครองพาเด็ก ๆ มาฝากให้เซนเซฝึก ก็คือ ให้เด็กมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลานี่แหละ
เห็นคนญี่ปุ่นเขาฝึกระเบียบเด็กอนุบาลแล้ว นักศึกษาปริญญาเอกคนไทยอย่างฉันรู้สึกอายเล็กน้อย(ถึงอายมาก) ไม่ใช่เพราะฉันเป็นคนไม่มีระเบียบขนาดนั้น แต่เป็นเพราะว่ากว่าฉันจะรู้จักวิธีการเจริญสตินั้น ก็ปาเข้าไปค่อนชีวิตแล้วมั้ง
และก็รู้จักในคอร์สวิปัสสนาเสียด้วย
แต่เด็กพวกนี้ เซนเซสอนให้รู้ตัวทั่วพร้อม เหมือนที่ฉันรู้จักในคอร์สวิปัสสนาเลย ไม่ว่าจะลุกขึ้นยืนจากท่านั่งเอี้ยมเฟี้ยมคุกเข่าน่ารักมาก เอามือเล็ก ๆ สองข้างวางบนตัก ว่าต้องเอาเข่าไหนขึ้นก่อน (สำหรับซามูไรแล้ว ต้องขาขวาก่อน เพราะดาบจะอยู่ข้างซ้าย)
และช่วงเวลาพัก ก็เดินเหมือนเราเดินจงกรมนี่แหละ คือรู้ตัว ไปถึงประตูก็โค้ง และมีคำบริกรรมเหมือนเรามีด้วย และออกไปจัดรองเท้าให้เป็นระเบียบ
การจัดรองเท้าของตัวเองนี้ ก็เป็นปรัชญาเซนชั้นสูงเหมือนกัน เรียกว่า Kykkashoko แปลได้ประมาณว่า การก้มลงมองหาตัวเอง หรือการเรียนรู้ชีวิตตัวเองด้วยการก้มลงมองดูเท้าตัวเอง โอ้โห...
ไม่นับที่เรียนเสร็จ วอร์มดาวน์เสร็จ แล้วต้องจบลงด้วยการนั่งสมาธิทุกครั้ง ถ้าใครได้เคยเห็นเด็กอนุบาลญี่ปุ่นนั่งสมาธิอย่างเรียบร้อยตั้งอกตั้งใจหลับตาปี๋มือวางบนตัก คุกเข่าแบบซามูไร หลังตรง แต่บางทีมีเอนไปข้าง ๆ บ้าง หน้าตาหน้าเอ็นดูบางครั้งห่อปากจู๋เหมือนจะงอนใคร บางคนหน้าลอย รับรองจะต้องตกหลุมรักเด็กน้อยเหล่านี้แน่ ๆ อารมณ์ประมาณอิ๊กคิวซังยังไงยังงั้น
จริง ๆ แล้วมีอีกแยะ แต่เอาเป็นว่า แค่เรื่องจัดรองเท้า เพื่อให้หมั่นสำรวจตนเอง และเรื่องขัดพื้นสำนัก ให้ถ่อมตัว รู้รักสามัคคี มีน้ำใจห่วงใยเพื่อนฝูง แค่นี้ ก็เป็นวิธีเรียนที่แสนจะได้ผลโดยไม่ต้องสอนปากเปียกปากแฉะเท่าไหร่แล้ว เพราะมันได้โดยตรงจากการปฏิบัติ เด็ก ๆ เขาเข้าใจ และทำกันได้เอง เมื่อเห็นแล้วก็ชื่นใจ
แล้วเซนเซก็มีวิธีพูดต่อด้วยว่า พอรู้วิธีถูพื้นแล้ว วันหยุดหรือปิดเทอมก็ต้องหัดช่วยคุณแม่ทำอย่างนี้ที่บ้านด้วยนะ เด็ก ๆ ก็ตอบเสียงยานคางว่า "ฮา-อัย..." ทำเอาบรรดาคุณแม่บ้านญี่ปุ่นทั้งหลายที่มานั่งเฝ้าลูก ๆ เรียนอยู่ข้าง ๆ ห้องต่างพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
อือ...หวังว่าสักวันหนึ่ง เมืองไทยจะทำอย่างนี้ได้อย่างแพร่หลายบ้างตั้งแต่อนุบาล เพราะถ้าทำได้ เราก็คงจะได้พลเมืองที่มีวินัย มีน้ำใจ อ่อนน้อมถ่อมตน คิดช่วยงานบ้านโดยแม่ไม่ต้องขอและรู้รักสามัคคีเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย
โอ้โฮ...ฝันแต่วันเลยนี่ฉัน
เด็ก ๆ อนุบาลและป.๑ รร.ญี่ปุ่นในประเทศไทย กับผู้ช่วยสอนใจดี น่าเสียดายที่เด็ก ๆ ที่ฉันสอนประจำหลายคนเปลี่ยนชุดเสียแล้ว เพราะเวลาเขาใส่เครื่องแบบแล้วน่าเอ็นดูมาก วันนี้มีเด็กบางคนมาดูการเรียนการสอนเป็นครั้งแรกด้วย ไม่บอกก็คงเดาได้ว่าใครเป็นเด็กที่เรียนกับฉันอยู่ประจำ และไม่บอกก็คงเดาได้เหมือนกันว่าคนไหนชื่อเล่นแปลเป็นภาษาไทยแล้วเหมือนฉันคือ น้องหมี ฮิ ๆ
อุ๊ย...เขิน แหะ ๆ ขอบพระคุณค่ะ คุณดอกแก้ว ดีใจที่คุณดอกแก้วชอบเรื่องเล่าเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ค่ะ ชอบมูซาชิหรือคะ ถ้าอย่างนั้นวันหลังจะหาเกร็ดการฝึกคล้าย ๆ มูซาชิมาเล่าให้ฟังนะคะ (ตามใจท่านผู้อ่าน ฮิ ๆ)
สวัสดีค่ะ,
ณัชร
ชอบใจมากครับ
โดยเฉพาะแนวความคิดเรื่องการสอนที่ครอบคลุมไปทุกๆเรื่อง
แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นความรับผิดชอบในการทำความสะอาดในพื้นที่ที่ตนใช้สอย
เป็นการสร้างความรับผิดชอบ สร้างวินัย และปลูกฝังนิสัยไม่เห็นแก่ตน ได้เป็นอย่างดี
หนูก็เริ่มทำได้โดยนำมาใช้กับศิษย์ของหนูไงล่ะ
อาจารย์ดุรูปแล้ว มีแววเป็นคุณครูใหญ่รร.อนุบาลได้แจ๋วเลย จะตั้งชื่อให้ว่า "อนุบาลหมีน้อย" เอาไหม?
ขอบพระคุณค่ะ อาจารย์ ที่กรุณาแวะมา
หนูก็ชอบแนวคิดของคนญี่ปุ่นโบราณเหมือนกันค่ะ ที่สอดแทรกการสอนเด็กและฝึกเด็กของเขาไปในทุก ๆ ขณะของชีวิต ไม่เว้นแม้ในรายละเอียดปลีกย่อย
มีอีกประโยคที่เซนเซหนูชอบพูดบ่อย ๆ ให้หนูคิดเป็นการบ้านว่า "เป้าหมาย" ของการกระทำนั้น ๆ คืออะไร
เช่น แม้แต่การออกดาบจากฝักท่านี้ แม้นเพียงครึ่งลำดาบ ก็มีความหมายน่ะค่ะ
เพราะมันขึ้นอยู่กับว่า "เป้าหมาย" ของการกระทำนั้น ๆ คืออะไร
นั่นคือเป้าหมายของการฝึกในระดับต้น ๆ
แต่ "เป้าหมายรวม" นั้น ยากกว่าเยอะเลยน่ะค่ะ หนูก็ยังงง ๆ จับแพะไทยชนแกะญี่ปุ่นอยู่นี่น่ะค่ะ เพราะมันเป็นเรื่องของจิตใจล้วน ๆ ตามที่เซนเซย้ำนักย้ำหนา
การที่พูดหรือสื่อสารทางวาจากับเซนเซไม่ค่อยจะรู้เรื่องก็ดีไปอย่างค่ะอาจารย์ คือต้องทำให้ใช้ "ใจ" เรียนดี
สรุปว่า ภาษาญี่ปุ่นหนูก็ยังไม่ไปถึงไหน ถึงแม้ภาษาไทยเซนเซจะดีวันดีคืนแล้วก็เถอะ แหะ ๆ
สวัสดีค่ะ,
ณัชร
ป.ล. หนูน้อมรับคำอวยพรของอาจารย์เรื่องมีแววเป็นครูใหญ่รร.อนุบาลได้นะคะ หนูก็อยากเป็นเหมือนกันค่ะอาจารย์ แต่อยากไปเปิดเชียงใหม่ได้ไหมคะ? ฝากอาจารย์เช็คทีสิคะว่า ที่เชียงใหม่มีอนุบาลชื่อ "หมีน้อย" หรือยัง ฮิ ๆ เดี๋ยวหนูไปเปิดอนุบาลอินเตอร์สามภาษาเสียเลย ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น เน้นสอนการเจริญสติให้เด็กเล็ก รออาจารย์ส่งหลานตามาเรียน อุ๊บส์ส์...ไม่ควรเรียกคุณตา.... ฮิๆ
ดีใจๆ ได้อ่าน blog พี่ Nash : )
dojo ที่แวนคูเวอร์ก็ให้เด็กไทยโข่งสองคนนี้ ถูพื้นค่ะ เพราะเป็น สมาชิกใหม่ ที่ดันมาก่อนเวลาทุกครั้ง เซนเซไม่ได้สั่งแต่ท่านป้า สมาชิกเก่าแก่ให้ทำ
ถูท่านี้เลยค่ะ ถูไปขำไปเพราะมันไม่ชิน ถูไปล้มไป ทำมาสองเดือนแล้วเริ่มชิน เริ่มไม่ล้มแล้ว รู้สึกว่าได้มีส่วนร่วม แถมมีสมาชิกใหม่เข้ามารวมวง สงสัยอีกสองเดือนคงได้เลื่อนขั้นไปตั้งเป้ายิง (mato) ซะที ตอนนี้อยู่เมืองไทยค่ะ ไม่ได้ยิงธนูมาจะสามอาทิตย์แล้ว คิดถึงมากๆค่ะ
กลับมาเรื่องน้องๆญี่ปุ่น ชอบเรื่อง Kykkashoko จังค่ะ
ขอบคุณน่าค่ะ สำหรับ blog ดีๆ