ผมศรัทธาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยนเรศวรอยู่หลายท่านนะครับ ท่านหนึ่งชอบมานั่งคุยกับผมหลังเลิกเรียน ท่านมักสอนผมเสมอเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบัน การณ์แห่งอนาคต ด้วยการวิเคราะห์แบบครูบาอาจารย์ ที่เป็นห่วงศิษย์ ห่วงอนาคต ...
ท่านกรอกหูผมประจำว่า "การเป็นครูบาอาจารย์นั้น ต้องเป็นด้วยจิตวิญญาณ ครูมีหน้าที่ต้องสร้างศิษย์ สร้างศิษย์ และสร้างศิษย์ เพื่อให้ศิษย์ข้ามแม่น้ำ ไปสร้างสังคม สถานศึกษาใดใดก็ตาม ที่ขึ้นชื่อว่า สถานศึกษา การประเมินนั้น ขั้นแรก ต้องไปวัดกันที่ ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนและสภาพสังคมลักษณะการใช้ชีวิตของผู้เรียนก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ครูควรเอาใจใส่ เพราะนั่นหมายถึงสังคมและสิ่งที่เค้าจะไปกระทำในอนาคต และทั้งหมดนี้คือ อนาคตของชาติ"
ประเด็นของอาจารย์คือครูต้องเอาศิษย์เป็นที่ตั้ง โดยครูต้องนำศิษย์มาตั้งอยู่บนฐานแห่งปัญญาและความดี เพื่อให้เป็นฐานของชาติ ในอนาคต นั่นหมายความว่าลูกศิษย์เป็นเครื่องวัดความสำเร็จของครู และครูคือเครื่องมือสร้างชาติ
และการที่จะนำนิสิตเข้ามาสู่ฐานของความดีได้นั้น ธรรมชาติของมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ซึ่งต้องการผู้นำ ผู้นำในบทบาทของครูก็คือเครื่องยึดเหนี่ยวดึงให้ศิษย์เข้ามาในฐานของความดีและปัญญา ทำอย่างไร .....
ท่านอาจารย์สมชาย รองคณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มน. ท่านเคยสอนผมไว้เมื่อ ผมเรียนจิตวิทยาความเป็นครู ว่า "ธรรมดาลูกศิษย์นั้นมีสามประเภท คือ
โดยการที่เราจะทำโทษเด็กดื้อนั้น ต้องไม่ให้กระทบคนดี และไม่ให้ดูว่าเป็นการเชิดชูเด็กดื้อ คือไม่ให้เด็กคนอื่นมองว่า เด็กดื้อนั้นเท่ห์ เพราะจะเกิดการเอาอย่าง
ธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อไม่มีผู้นำแล้ว ก็จะหาผู้นำเองตามใจ ตามธรรมชาติ ซึ่งตามธรรมชาติของพฤติกรรมคน มักจะไหลไปสู่ที่ต่ำ เพราะมันลงง่าย และการที่ลูกศิษย์ขาดความศรัทธาต่ออาจารย์แล้ว สายสัมพันธ์ไม่มีแล้ว ขาดการตักเตือนชักนำให้เข้ามาในฐานแห่งความดี ลูกศิษย์ก็จะมีพฤติกรรมที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ หาผู้นำที่ตนเองคิดว่าเท่ห์ ให้เป็นแบบอย่าง มีความสนุกสนานทางกาย กำลังสมองที่ใช้คิดในฐานคำว่าปัญญาชน ก็จะน้อยลง ใช้กำลังมากขึ้นตามลักษณะธรรมชาติ แล้วจบออกมาเป็นอะไร
อาจารย์ที่เคยดูแลความเป็นผู้เป็นคนของนิสิต ก็เป็นเพียงแค่ผู้ดูแลกระดาษคำตอบของนิสิต จากที่เคยดูแลใส่ใจในมาตรฐานการดำรงชีพของนิสิต ก็เหลือแค่ดูแลคะแนนสอบให้ผ่านให้จบไปตามเกณฑ์ บรรยากาศของความเป็น ลูก(ศิษย์) และ แม่(พิมพ์) ลดน้อยลง บางท่านไม่เข้าสอน สั่งงานให้ส่งกระดาษไปวัดผล ลูกศิษย์ก็ดีใจที่แม่ปล่อยปะละเลย จะได้ทำอะไรตามอำเภอใจ กลายเป็นครอบครัวที่ไม่อบอุ่น แล้วผลผลิตของครอบครัวนั้นจะเป็นอย่างไร
พ่อแม่ทำงานหนักไม่มีเวลาดูลูก(ศิษย์) เพราะมัวไปทำงานอื่นตามมาตรฐานการประเมิน ว่าระดับนั้นต้องเขียนบทความลงนั้น ลงนี้กี่บทความต่อปี เลื่อนขั้นต้องมีงานวิจัย ลูกนั่งรอแม่(พิมพ์)อยู่ในห้องเรียน ที่มีใบงานที่ไร้ชีวิต ที่ไร้อารมณ์ ไม่มีใบหน้ายิ้มแย้มของแม่ ของพ่อ แล้วลูกจะเป็นอย่างไร พี่น้องทะเลาะกันพ่อแม่เคยมาดูบ้างมั้ย
คุณภาพของนิสิตวัดที่กระดาษ หรือวัดที่ตัวนิสิต และหากลูกยังหลงมัวดีใจที่พ่อแม่ไม่เอาใจใส่ ทำตัวตามกระแสน้ำไปเรื่อย ลอยไปตามกิเลสจนลืมคำว่า ปัญญาชน ลอยไปๆ ซักวันนะครับ ท่านจะตกลงไปในเหวน้ำตกที่ปลายสายน้ำ เสียดายเวลาของชีวิตโดยไม่รู้ตัว
พ่อแม่ที่ดีรักลูก ครอบครัวที่อบอุ่น เหล่านี้สร้างความรัก สร้างจิตวิญญาณแห่งสถาบัน เหล่านี้เกิดจากอะไรครับ เกิดจากคน ทุกวันนี้ มันเป็นยังไงครับ เรามุ่งพัฒนาไปในทิศทางไหน มองไปข้างหน้าจนลืมข้างหลังรึเปล่า และหน้าที่ของพ่อแม่(พิมพ์)ที่ดีเป็นอย่างไร ..... จิตวิญญาณของคำว่าครู จิตวิญญาณแห่งปัญญาชน จิตวิญญาณของสถาบันการศึกษาที่มองแล้วมีภาพของความขลัง น่าภูมิใจ น่าเลื่อมใส มันจำเป็นต้องมีรึเปล่าครับ หรือเพียงแค่สถานที่หนึ่ง มีคนสองกลุ่มมาพบกัน แจกกระดาษมาส่งการดาษกลับ แลกใบรับรองความรู้ อย่างนี้เรียกว่าครอบครัว ที่มี พ่อ(พิมพ์) แม่(พิมพ์) ลูก(ศิษย์) รึเปล่าครับ .......
.......... แค่อยากให้ครอบครัวอบอุ่น .......
เราเป็นครูด้วยใจ มิได้เป็นด้วยใบปริญญา
จิตวิญญาณของครู คือ ผู้ให้ มิใช่แสวงหาแต่ความสบายใส่ตัว
การที่เราเองเป็นนิสิต นักสึกษานั้นใช่ว่าต้องรอแต่ให้อาจารย์สอนอยุ่อย่างเดียว เราก็ต้องหาความรู้ใส่ตัวให้เป็นกิจวัต อีกอย่างเรื่องของคุณธรรมจริยธรรม เราว่าทุกคนที่เรียนในระดับมหาวิทยาลัยก็ย่อมจะรู้จักกันแล้ว ....แต่ขึ้นอยู่ที่ว่าใครจะปฏิบัติเป็นบุคคลประเภทไหน...สิ่งที่เลวร้ายทื่สุดคือคนที่รู้อะไรผิดถูกแล้วกลับเลือกทำในสิ่งที่ผิด...นี่คือบุคคลที่คอยฉุดความเจริญของประเทศชาติ
พอได้อ่านบทความนี้แล้ว ก็ทำให้นึกถึง ตอนอยู่โรงเรียน อะค่ะ แปลกใจที่ทำไมอาจารย์ต้องขยันทำผลงาน โดยที่ไม่นึกเลยว่าผลงานนั้นจะส่งเสริมความรู้ของนักเรียนรึเปล่าเลย
บทความนี้ ดิฉันว่ายังเปรียบความรู้สึกของ หัวหน้ากับผู้ใต้บังคับบรรชา ได้อีกด้วยน่ะค่ะ เพราะ ผู้ร่วมงานของเราก็มีทั้ง 3 ประเภทอย่างที่กล่าวมา และต้องเป็นหน้าที่ของหัวหน้า ที่จะทำอย่างไรให้ผู้ร่วมงานที่เกเรกลับมาทำหน้าที่ของตน โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ร่วมงานที่ดีอยู่แล้ว ถ้าหากทำได้ องค์กรนั้นก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น พี่ปืนว่าไหมค่ะ
ตอบ ป้าแนน
จิตวิญญาณของครู คือ ผู้ให้ มิใช่แสวงหาแต่ความสบายใส่ตัว ตรงใจผมเลย
ตอบ อ.ลูกหว้า
ตอบ บุญตุ้ย
ตอบ นิสิต มน.พะเยา
คนเรานะส่วนใหญ่จะตัดสินอะไร ก็มักจะเอาตัวเองเป็นพื้นฐานทั้งนั้น จะครูหรือว่านิสิตก็มองแต่ด้านของตนเอง เมื่อเรามองทั้งสองด้านเราก็จะรู้จะเห็นเองว่าควรทำอย่างไร ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนของเพียงแค่เรามองสิ่งต่างอย่างกว้างๆ และเข้าใจเปิดใจกับสิ่งที่ต่างจากเราบ้าง เราก็จะรู้เองว่าควรทำอย่างไร
ตอบ น้องนุ้ย
ตอบ eeyore
สวัสดีค่ะ,
หัวข้อบันทึกโดนใจมากเลยค่ะ เพราะนี่คือความรู้สึกที่ได้จากนิสิตสมัยนี้ นั่นก็คือ มีความรู้สึกว่า เขา "ไม่อยากได้ความรู้" น่ะค่ะ
จำได้ว่า เคยคุยกับเพื่อนว่า นิสิตสมัยนี้จะว่าฉลาดก็ฉลาดนะ แต่ไม่เฉลียว
คือฉลาด หาข้ออ้าง ข้อแก้ตัวสารพัด จะต่อรอง ทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้ตน "ได้ความรู้น้อยลง"
งงไหมคะ คุณ บีเวอร์ เช่น จะต่อรองเพื่อไม่ต้องสอบไล่ แต่จะขอทำรายงานแทน หรือถ้าทำรายงานแล้ว จะไม่ขอสอบไล่ หรือถ้าอย่างนู้น จะไม่อย่างนี้
สรุปสั้น ๆ คือ ทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้ตัวเขาใช้เวลาไปกับการเข้าเรียน หรือการเตรียมการเรียน การสอบ การขวนขวายหาความรู้เพิ่มให้น้อยที่สุด
งงไหมคะ มันฟังจะดูขัด ๆ กับจุดประสงค์หลักของการมาเรียนใช่ไหมคะ
แต่นี่ล่ะค่ะ นิสิตป.โทไทย ของมหาวิทยาลัยชั้นนำ ในกรุงเทพ ที่เดี๋ยวนี้อายุเฉลี่ยน้อยลงไปทุกวัน ส่วนมากจบตรีแล้วต่อโทเลย
คนสอนก็งง ๆ นิดหน่อย ตกลงจะเอายังไงกันแน่ จะให้ฉันให้ความรู้ หรือว่าไม่ให้
เหมือนมาเจรจาต่อรองธุรกิจกันมากกว่า ว่า ตกลงจะรับสินค้าเท่าไหร่ เราอยากให้มาก แต่เขาไม่อยากได้ อ้าว?
จริง ๆ แล้วก็สงสารเขาน่ะนะคะ ที่เขาไม่เฉลียว เพราะนิสัยลักษณะที่ไม่ใฝ่รู้นี้ ถ้าติดตัวเขาไป ในอนาคตแล้วคงจะไม่ดีแน่
และที่สำคัญ ดูเหมือน เขาจะเข้่าใจจุดประสงค์หลัก ของการมาเรียนต่อป.โทผิดกันไปหมดด้วย
หรือพูดง่าย ๆ มีทัศนคติที่ผิดไป ในเรื่องการเรียนนั่ีนเอง
มาเรียนเอาปริญญา ไปทำมาหากิน ว่างั้น
สรุปว่า สังคมทุกวันนี้ เป็นสังคมแห่งความสมมติ
สมมติว่าเธอมีป.โท ดังนั้น ก็สมมติว่าเธอมีความรู้ เพราะสมมติว่าเธอเข้าเรียนและค้นคว้ามา และสมมติว่าเธอมีความใฝ่รู้ เลยเรียนต่อโท
สมมติกันไปหมดน่ะค่ะ เอาเข้าจริง ไม่มีสักอย่าง กระดาษที่แทนวุฒิป.โทนั้น น่าจะเอาไปรีไซเคิล น่าจะยังมีประโยชน์ต่อสังคมมากกว่าเลยนั่น
น่าเป็นห่วงสังคมอนาคตมากจริง ๆ ค่ะ
สวัสดีค่ะ,
ณัชร
ตอบ nash
อ๋อ...ใช่ค่ะ ขอโทษด้วยค่ะ ลืมไปว่ายังมีนิสิตนักศึกษาทั่วไปบางคนที่ยังเป็นอย่างคุณบีเวอร์อยู่ คือ ที่ยังคิดเป็นอยู่ และไม่ชอบใจกับที่อาจารย์ไม่เข้าสอน
แต่ที่ยกตัวอย่างมาเล่าให้ฟังนั้น เป็นของป.โทภาคอินเตอร์ในกรุงเทพในช่วงสองสามปีหลังที่ได้มีประสบการณ์ตรงค่ะ
เขาเรียนกันตอนเย็น คงจะมี motivation ในการเรียนที่น้อยกว่าป.ตรีน้อยกว่านิดหนึ่งอยู่แล้วขั้นหนึ่ง
เรื่องไม่อยากเข้าเรียนยังไม่เท่าไหร่ค่ะ เคยมีอาจารย์คนหนึ่งที่อื่นน่ะนะคะ เล่าให้ฟังว่า เจอลูกศิษย์หัวหมอหนักกว่า พวกลูกศิษย์ที่โต ๆ แล้วนี้ถึงกับต่อรองกับอาจารย์ในอารมณ์ประมาณว่า ให้เขาตกไม่ได้ เพราะเขาเหมือนลูกค้า อะไรประมาณนี้ ถ้าให้พวกเขาตก เดี๋ยวอาจารย์จะตกงาน นี่ มีขู่อีกต่างหาก
แต่ก็ไม่ได้ตามไปติดตามนะคะว่า ลูกศิษย์-ลูกค้า คณะนั้น เป็นอย่างไรกันบ้าง
จริง ๆ ที่ผ่านมาก็เป็นอาจารย์พิเศษ ไม่ได้เป็นอาจารย์ประจำ ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับการพัฒนาอะไรโดยรวมนัก บางที อาจจะมีอีกหลายอย่าง ที่ควรจะรู้ แต่ไม่ได้รู้ก็ได้
สวัสดีค่ะ,
ณัชร
ตอบ มน.
ตอบ nash
น้องปืนจ๋า พี่หนิงเข้าใจในเจตนาของน้องปืน ที่อยากให้อาจารย์อยู่สอนในเวลาที่เป็นชั่วโมงเรียนของนิสิต ซึ่งก็น่าจะเป็นแบบนั้นใช่ไหมคะ
แต่พี่หนิงก้อหวนคิดถึงคำว่า
เหล่านี้เป็นต้น ทำไมจึงมีคำที่ฟังดูเหมือนคล้ายกัน บางครั้งมีคนนำไปใช้แทนกันใช่ไหมคะ แต่เคยมีผู้รู้แนะนำให้พี่ไปทบทวนคำเหล่านี้ดูว่า จริงๆมีความหมายอย่างไร แตกต่างกันหรือไม่ ถ้าไม่ ทำไมถึงต้องมีคำเหล่านี้ แม้แต่ในภาษาอังกฤษก็ยังมีที่แตกต่างกันใช่ไหมคะ study or learning , teacher or lecturer ฯ เอ..พี่หนิงสะกดถูกไหมเนี่ย.. (ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงอย่างยิ่ง 555)
การเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา ( อันมาจากคำว่า อุดม+ศึกษา) ก็มีได้หลายวิธีใช่ไหมคะ บางครั้งการที่อาจารย์ให้ใบงาน และนิสิตนำไปศึกษา ค้นคว้างานมาส่งนั้น ก็อาจจะเป็นอีกนึงวิธีที่อาจารย์ท่านนำมาใช้
อยู่ที่ว่า... ในเวลานั้นๆ ทั้งนิสิตและอาจารย์ได้ใช้เวลาอย่างไรและรู้หน้าที่ของตนหรือยัง
หรือแค่เอาใบงานมาเป็นเครื่องมือบังเอาเวลาไปทำกิจกรรมอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนวิชานั้นๆ
ตอบ DSS@MSU ( หนิง )
ตอบ น้องแอน
ตอบ DSS@MSU ( หนิง )
ทุกอย่างที่ปืนพูดถูกต้องในมุมมองของพลังบริสุทธิ์แต่ลูกเอ๋ยในโลกแห่งความเป็นจริงของผู้ใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านระบบกระบวนการในระบบราชการผ่านมนุษย์หลากหลายรูปแบบในเวอร์ชั่นของผู้บังคับบัญชา/เพื่อนร่วมงาน/วัฒนธรรมองค์กรนั้นๆทำให้สังคมอาจมองครูอาจารย์บิดเบี้ยวไป แม่เชื่อว่าคุณธรรมของผู้ตั้งใจเป็นครูยังคงอยู่แต่บางท่านอาจอ่อนล้าในจิตใจเพราะระบบผลักไสให้ครูรีบเร่งรุดไปเบื้องหน้า(โดยอ้างผลสัมฤทธิ์) ครูเหนื่อยนะลูกอยากให้เห็นใจท่านให้มากๆครูดีๆมีอีกมากทุกหมู่ชนย่อมมีทั้งมุมมืดและสว่างและแม่ขอขอบใจที่ปืนมีจิตสำนึกที่ดีตลอดมา
ขอพลังสร้างสรรค์ศิษย์จงสถิตย์ในห้วงสำนึกของครูไทยต่อไปไม่มีวันเสื่อมคลาย
ขอพลังสร้างสรรค์ศิษย์จงสถิตย์ในห้วงสำนึกของครูไทยต่อไปไม่มีวันเสื่อมคลาย
เช่นกันครับ
ปืนลองทบทวนเรื่อง "ช่องว่าง" ระหว่าง "ภาพฝัน" และ "ภาพจริง" ที่ผมชอบพูดให้ฟังอยู่บ่อย ๆ แล้วลองเอามาประยุกต์ใช้กับเรื่องนี้ ประเด็นสำคัญก็คือ เรา (ทุกคน) มีหน้าที่ในการช่วยกันเติมเต็ม "ช่องว่าง" อันนั้น ตามกำลังและความสามารถ ถ้าทุกคนช่วยกันมันก็จะเสร็จเร็ว ปืนกำลังทำหน้าที่นี้อยู่อย่างดีเยี่ยม ขอเป็นกำลังใจให้ครับ
ตอนอนุบาล1 เย็นวันหนึ่งเลิกจากร.ร.ในกระเป๋านักเรียนปืนมีกล้วยน้ำว้าลูกหนึ่งลักษณะโดนคลึงซะจนน่วมและดำคล้ำ แม่ถามว่าทำไมปืนไม่กินละลูก ปืนตอบว่า แกะไม่ได้คับ 555
อย่านึกว่าเรื่องกล้วยๆเชียวนา(ความผิดของแม่เองที่ปลอกให้เป็นประจำ)
ตอบ คุณแม่
ตอบ อาจารย์ขจิต
ชอบบทความนี้มาก โนอย่างแรงงงงง