ต่อจากความเดิมตอนที่แล้ว...
“บ้าน”...ฉันไม่อยากอยู่ (1)
"บ้าน"...ฉันไม่อยากอยู่ (2)
“บ้าน”...ฉันไม่อยากอยู่ (3) : วัยรุ่น ลมร้อน
“บ้าน”...ฉันไม่อยากอยู่ (4) : วัยรุ่น ลมร้อน และการเปลี่ยนแปลงชีวิต
“บ้าน”...ฉันไม่อยากอยู่ (5) : ครูมองวัยรุ่น...ผ่านประสบการณ์
ภาพที่สะท้อนแห่งการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงจากจุดเล็ก ๆ ในห้องเรียน ลุกลามเป็นไฟไหม้ฟางกระทั่งมีการระดมพักพวกเพื่อการชำระหนี้แค้นด้วยเพราะศักดิ์ศรีของตนถูกย่ำยีในที่สาธารณะ จากคนที่เคยถูกรุมทำร้ายในห้องเรียนตอนนี้กลับกลายเป็นยกพวกไปรุมทำร้ายผู้อื่นบ้างเพื่อเรียกศักดิ์ศรีของตนกลับคืนมา และเมื่อความโกรธถูกพัฒนาโดยอารมณ์จนถึงขีดสุดก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีการแก้แค้นกันไม่มีวันจบสิ้น การชำระหนี้แค้นย่อมขึ้นอยู่กับจังหวะทีเผลอของคู่กรณี ดังนั้นความโกรธแค้นดู ๆ แล้วไม่ส่งผลให้มีความสุขเอาเสียเลย เนื่องจากต้องคอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลาเพราะหากใครเผลอก็เท่ากับ “ชีวิต” เหมือน ๆ กับการเล่นอีมอญซ่อนผ้าที่มีคำร้องว่า “อีมอญซ่อนผ้าตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ใครนั่งไม่ระวัง ฉันจะตีก้นเธอ”
หากจะว่าไปแล้วการทะเลาะกันของเด็กเล็ก ๆ ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาของเด็กที่เล่นด้วยกันก็ย่อมทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างตามประสาเด็ก...นั่นคือฐานคิดของผู้ใหญ่ที่มองเด็ก แต่หากจะมองให้ลึกลงไปถึงสาเหตุแล้วการทะเลาะกันของเด็กย่อมเป็นสัญญาณบอกเหตุอะไรบางอย่างให้พ่อแม่ได้ขบคิดมากไปกว่าเป็นแค่เรื่องปกติธรรมดา เพราะเด็กบางคนขาดการอบรมสั่งสอนที่ดีจากพ่อแม่ในเรื่องของการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วเด็กพวกนี้จะค่อย ๆ พัฒนาความก้าวร้าวติดตัวไปเรื่อย ๆ และจะรุนแรงขึ้นตามวัยจะเห็นได้ว่าเด็กที่แข็งแรงกว่า มีพักพวกมากกว่า หรือมีพ่อแม่คอยหนุนหลังให้การสนับสนุนอยู่เขามักจะพยายามรังแกเด็กที่อ่อนแอกว่าเสมอ และหากความพยายามในการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวในครั้งแรกสำเร็จเด็กก็จะรู้สึกว่าตนเองเก่ง ตัวเองคือผู้ยิ่งใหญ่ก็จะพยายามตั้งตนเป็นหัวหน้าที่คอยสั่งเพื่อน ๆ ให้ทำตาม จะมีความรู้สึกภาคภูมิใจในชัยชนะของตน และจะค่อย ๆ พัฒนาความก้าวร้าวรุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ
ในขณะเดียวกันพ่อแม่ที่รักลูกมากจนเกินขอบเขตก็จะชื่นชมยินดีกับความสู้คนของลูก ชื่นชมในชัยชนะของลูก “สู้คนอย่างนี้ซิ...ถึงจะเป็นลูกพ่อ” หรือที่ได้ยินเสมอ ๆ “หากใครรังแกลูก...ลูกไม่ต้องกลัว...ชกหน้ามันเลยลูก” หารู้ไม่ว่านั่นคือการทำร้ายลูกตัวเองอยู่ โดยการพยายามปลูกฝังความก้าวร้าวความเป็นอันธพาลให้แก่ลูกโดยไม่รู้ตัว พฤติกรรมเหล่านี้จะติดตัวลูกไปเรื่อย ๆ และพร้อมที่จะสำแดงได้ทุกเมื่อเมื่อพายุอารมณ์แห่งความโกรธเกรี้ยวมาเยือน เด็กก็จะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวออกมาโดยรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง และไม่กลัวเกรงต่อสิ่งใดรู้เพียงว่าขอให้สนองความต้องการทางอารมณ์ที่พลุกพล่าน เมื่อชำระหนี้แค้นนั้นได้สำเร็จอารมณ์นั้นก็จะค่อย ๆ ลดลง แต่วัฎจักรนี้จะกลับมาหมุนเป็นเกลียวพายุอีกเรื่อย ๆ หากไม่รีบตัดวงจรแห่งการเลี้ยงดูที่ผิด ๆ นี้ออกไปก็เท่ากับคุณกำลังเป็น “พ่อแม่...ที่รังแกลูก”
นี่เป็นแค่เพียงสาเหตุหนึ่งเท่านั้นในการก่อเกิดพฤติกรรมก้าวร้าวของวัยรุ่น ยังมีเหตุปัจจัยอีกมากมาย ซึ่งจะเสนอในบันทึกต่อ ๆ ไปค่ะ