เมื่อพูดถึงบ้านสิ่งแรกที่นึกถึง คือ ความอบอุ่น ภายใต้ความอบอุ่นของบ้านทำให้นึกถึงปีกอุ่น ๆ ที่ปกคลุมคุ้มครองคนในบ้าน...ต้นมิ๊กกี้เม้าท์ที่ปลูกไว้ในกระถางใบใหญ่หน้าบ้านมีใบเล็ก ๆ ปกคลุมเขียวขจีภายใต้ใบเขียวมีรังนกกระจิบเล็ก ๆ ที่หลุดลุ่ยตามกาลเวลา ห้อยแกว่งไกวไปตามสายลม...รังที่ไร้รัก ก่อนหน้านี้ทุก ๆ เช้าฉันจะเพียรเฝ้ามองแม่นกกระจิบตัวเล็ก ๆ คาบเส้นหญ้าแห้ง ๆ บินถลามาถักทอก่อรวงรังเส้นแล้วเส้นเล่า วันแล้ววันเล่า บางครั้งกลัวเจ้านกจะตกใจก็แอบชะเง้อมองออกไปทางช่องหน้าต่างเพื่อดูการถักทอ ใบมิ๊กกี้เมาท์พันเกี่ยวร้อยเป็นเกลียวด้วยเส้นหญ้าแห้ง ภายในรังมีฟองนุ่ม ๆ ขาว ๆ คล้ายกับสำลีเพื่อใช้รองรับไข่ใบน้อย ๆ ฉันติดตามดูวันแล้ววันเล่า จนกระทั่งแม่นกออกไข่ กกกอดด้วยปีกอุ่น และแล้วลูกนกหัวโล้น ๆ ก็โผล่ออกมา อ้าปากกว้าง ๆ รอแม่นกหาอาหารมาป้อน จวบจนปีกกล้าขาแข็ง แล้วเริ่มบินถลาออกจากรังในที่สุด นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งที่ฉันพบอีกครั้ง คือ อีกประมาณสองหรือสามเดือนต่อมา มีแม่นกกระจิบมาวางไข่ที่รังเดิมอีกมีการซ่อมแซมเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าเป็นแม่นกตัวเดิมหรือเปล่า หลังจากครั้งที่สองก็ไม่เห็นนกกระจิบอีกเลย ปล่อยรังให้รกร้างว่างเปล่า นี่คือธรรมชาติของนก ที่ทำให้ฉันคิดไปได้มากมาย...คุณกำลังคิดเหมือนฉันคิดหรือเปล่า... “เราจะปล่อยบ้านให้รกร้างว่างเปล่า หรือเราจะมาช่วยกันซ่อมแซมบ้านที่ผุพังของเราอีกครั้ง เพื่อให้เป็นบ้านที่น่าอยู่ดังเดิม”
ฉันเริ่มนึกถึง “บ้าน”...คนทุกคนย่อมมีบ้าน จะอบอุ่นหรือไม่นั่นก็แล้วแต่ความสัมพันธ์ของคนในบ้าน ความผูกพันของคนในบ้าน บอกตัวเองโดยไม่อายใคร ๆ เลยว่าบ้านฉันอบอุ่นมากที่สุด ก็เพราะทุกคนในบ้านรักกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ยอมรับฟังความคิดของกันเสมอ ให้อภัยกันและกัน เราไม่อึดอัดเมื่อนึกถึงบ้าน และอบอุ่นทุกครั้งเมื่อกลับบ้าน แต่มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่อยากกลับบ้าน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนด้วยแล้วน่าเป็นห่วงยิ่งหากเขาเหล่านั้นบอกว่า “ผม/หนู...ไม่อยากกลับบ้าน” เพราะเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ บ้านนั้นอาจไม่อบอุ่นเสียแล้วสำหรับพวกเขา บ้านที่ใช้การปกครองแบบเผด็จการ บ้านที่ไม่มีฟองนุ่ม ๆ มารองรับความบอบบางทางด้านจิตใจของเด็ก บ้านที่ไม่ได้ถักทอมาจากความรัก บ้านที่เด็กเห็นแต่รอยแตกร้าวของฝาผนัง และรอยรั่วของหลังคาบ้าน จนกระทั่งเด็กและเยาวชนหลายต่อหลายคนพากันไปอยู่บ้านหลังใหม่ ที่เรารู้จักกันในนาม “บ้านเมตตา บ้านกรุณา บ้านอุเบกขา และบ้านปรานี” ทำไมเด็กเหล่านี้ถึงได้มารวมตัวกันที่นี่โดยไม่ได้มีการนัดหมายล่ะ ถามคุณค่ะ...คุณอยากให้ลูกหลานของคุณอยู่บ้านหลังไหน? บันทึกหน้า...จะมาบอกว่าบ้านหลังไหนเหมาะกับเด็กประเภทใดค่ะ แล้วอย่าลืมเลือกบ้านหลังที่อบอุ่นที่สุดให้ลูกคุณนะคะ
ให้ลูกของเราอยู่กับเรา...อยู่ในบ้านของเราเถอะนะคะ...อย่าปล่อยให้ลูกไปอยู่บ้านเขาเลย เพราะบ้านหลังไหน ๆ ก็ไม่อบอุ่นเท่ากับบ้านของเรา ที่เราช่วยกันถักช่วยกันทอด้วยความรัก
ขอบคุณ คุณ พรหมลิขิต ค่ะ
เอ้าตกลงยังไม่มีแฟนเหรอค่ะ...แล้วนั่นลูกใครค่ะเดินตามหลังมา อ่อ...หลานนั่นเอง ให้เขาอิสระและโบยบินเอง แต่ต้องเคยประคับคองดูแลให้เขาโบยบินอย่างสวยงามด้วยนะคะ ให้เขาได้รับรู้ว่าเราไม่ได้ทิ้งเขาขณะที่ปล่อยให้เขาโบยบิน เขาจะได้บินอย่างไม่โดดเดี่ยวค่ะ บินโดยเอากำลังใจจากเราไปด้วย บินอย่างมีความสุข และสนุกกับการบิน(ไทย)...ยิ้ม ๆ ค่ะ
ขำ ขำ ค่ะ...ก็ว่าอยู่เหมือนกันแหละ...ยิ่งคุย ยิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ กลัวถูกเครื่องบินเฉี่ยว...เอ้า!! ลงก็ลงค่ะ ลงมาคุยกันบนดินแล้ว ฮ่าย!! ค่อยยังชั่ว ลงมาบนดินแล้วก็ว่ากันด้วยการปลูกผักปลอดสารพิษต่อแล้วกัน (ยิ้ม ๆ)
คุณ พรหมลิขิต
แน่นอนค่ะ...เป็นคนชนบท เลยรับรู้ถึงสัมผัสที่เท้าได้เหยียบลงบนพื้นดินดีค่ะว่ามันดีและวิเศษขนาดไหน ความรู้สึกแตกต่างกันนะคะระหว่างพื้นคอนกรีตกับพื้นดิน พื้นดินคือชีวิตค่ะ ดินอ่อนนุ่มชุ่มเท้ารู้สึกดีทุกครั้งค่ะที่เท้าได้สัมผัสบนพื้นดิน ยิ่งเป็นผืนดินบ้านเกิดด้วยแล้วยิ่งดีกว่าที่ไหน ๆ ค่ะ ดินรับสัมผัสอุ่นร้อนของชีวิตเรา และดินก็ไม่ได้ต่ำต้อยแค่เท้าที่เราเหยียบนะคะ ดินคือชีวิตฉันค่ะ มาอยู่ที่นี่ไม่ได้สัมผัสดินเลยค่ะ ที่นี่มีแต่คอนกรีต
ขอบคุณนะคะที่ทำให้นึกถึงคุณค่าและสัมผัสของดินนึกถึงคุณค่าของดิน
ขอบคุณคุณ "ขจิต" ค่ะ แวะมาตอนดึก งง ตัวเองอยู่เหมือนกัน คืนนี้เป็นอะไร ทำไมถึงนอนไม่หลับ อ่านหนังสือแล้วก็ยังนอนไม่หลับ งง อุ๊บ!! คุณ "ขจิต" นิมนต์หลวงพี่มาด้วยหรือค่ะ...Vij ไปอ่านหนังสือต่อดีกว่าค่ะ