เป็นตัวอย่างของการวิจัยระยะยาวที่ฝรั่งงง ว่าประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย มีปัญญาทำวิจัยแบบ longitudinal cohort study แบบนี้ด้วยหรือ
ดังนั้น ตอนเขียนรายงานวิจัยเรื่องแรกๆ ส่งไปตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ จะโดน review ตรวจสอบแบบไม่เชื่อว่าเป็นข้อมูลจริง แต่เดี๋ยวนี้สบายมาก เขาเชื่อฝีมือแล้ว การสร้างตัวสร้างชื่อเสียงด้านการวิจัยต้องผ่านขั้นตอนของการฟันฝ่าหลากหลายด้าน
ผมทำนายว่า อ.หมอปิยะมิตร จะเป็น ศ. ในไม่ช้า เพราะผลงานวิจัยคุณภาพสูง และมีมากพอ
คนที่เราต้องให้เกียรติเป็นผู้วางรากฐานให้เกิดการวิจัยระยะยาวที่เราเรียกกันว่า EGAT Study นี้ คือ
-ศ.นพ.สมชาติ โลจายะ
-ศ.นพ.วิชัย ตันไพจิตร
-ศ.นพ.ธาดา ยิบอินซอย
สองท่านแรกเป็นผู้ริเริ่มการศึกษา ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจในพนักงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต เมื่อปี ๒๕๒๘ โดยได้วางแผนเก็บข้อมูล และทำระบบข้อมูลไว้อย่างรัดกุม
ท่านหลังเป็นผู้ยุให้ อ.หมอปิยะมิตร เข้าไปขอรับมรดกข้อมูลเก่า และ cohort มาศึกษาต่อ และคอยช่วยกระตุ้นและช่วยเหลือ จนเกิดโครงการต่อเนื่องและแตกแนวโครงการอื่นๆ ที่ศึกษาในคนกลุ่มเดียวกันมากมาย และเกิดโครงการ EGAT ๒ ขึ้นด้วย
อ่านบทคัดย่อของการนำเสนอได้ที่นี่
และดู Powerpoint ประกอบการนำเสนอได้ที่นี่ ๑, ๒ และ ๓
ผลการวิจัยของโครงการนี้ ช่วยแก้ความเข้าใจผิดในสังคมไทยได้หลายอย่าง เช่น
(๑) เดิมเราคิดว่าคนฐานะดี คงจะนั่งๆ นอนๆ ไม่ค่อยได้ออกกำลัง น่าจะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจมากกว่าคนจนที่ต้องทำงานออกกำลังมากกว่า ความเข้าใจนี้ผิดครับ คนที่ฐานะไม่ดีมีพฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจมากกว่าคนฐานะดีมากมายหลายด้าน
(๒) พนักงานของ กฟผ. มีทั้งที่อยู่ที่กรุงเทพฯ กับอยู่ที่โรงไฟฟ้าต่างจังหวัด ที่ต่างจังหวัดอากาศดีกว่า น่าจะสุขภาพดีกว่า ความเข้าใจนี้ผิด เข้าใจว่าพนักงานที่ต่างจังหวัดมีเวลาว่างมาก จึงใช้เวลาว่างดื่มกินมากเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคเรื้อรังมากกว่าพนักงานที่อยู่ที่กรุงเทพฯ
วิจารณ์ พานิช
๒๐ ธ.ค. ๔๙
๑. รศ. นพ. ปิยะมิตร ศรีธรา กำลังนำเสนอ ว่าข้อมูลเก่าจาก ศ. นพ. วิชัย ตันไพจิตร คือเทปข้อมูลในรูป
๒. ข้อมูลจากการวัด
๓. จากโครงการเดียว แตกลูกออกไปมากมาย
๔. บรรยากาศในห้องประชุม Lunch Talk
ไม่มีความเห็น