อยากให้ชุมชนเข้มแข็งต้องจับ 5เสือ มาร่วมทำงานไห้ได้
1.กำนัน / ผู้ใหญ่บ้าน (พ่อบ้าน)
2. อบต. (แม่บ้าน มีเงิน)
3. ประชาคม ตำบล
4. ตัวแทนองค์กร ชุมชน
5. เครือข่ายเยาวชน
เอาคนเหล่านี้ เข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานทุกภาคส่วนเป็นคณะทำงาน ซึ่งควรใช้การดำเนินการในแนวราบ โดยไม่ต้องมีประธาน หัวข้อประชุมไม่ยึดตายตัว ประชุมตามภาระ โดยยึดหลักการทำงาน 3 ประสาน คือ พึ่งตัวเอง พึ่งเครือข่าย พึ่งหนวยงานภายนอก (อบต.) เน้นพื้นที่เป็นตัวตั้ง และประชาชนเป็นกลไก
กลไกที่เป็นกิจกรรมพื้นฐานที่จะช่วยผลักดันให้ชุมชนเข้มแข็ง
โจทย์ก็คือ แล้วจะทำอย่างไร คนในชุมชนจึงจะสนใจและสำนึกถึงบ้านเกิดที่ จะทำให้เกิดพลัง และมาช่วยกันร่วมมือร่วมใจกันให้ไปถึงธงชัยร่วมกัน
ขอคิดด้วยคนนะครับอาจารย์:เห็นด้วยครับ
ผมเข้าใจว่า 1-5 นั้นคือ Function มีสองอย่าง ได้แก่ บทบาทหน้าที่ของคนทั้ง 5 ตามตำแหน่งหน้าที่การงานของเขา กับบทบาทของพวกเขาเองที่มีอยู่ในชุมชน บุคคลเหล่านี้ เป็นแกนนำสำคัญของชาติครับ
ส่วนกลไก ด้านการจัดตั้งชุมชน นั้นเป็นพื้นที่ หรือกลุ่มพื้นที่ บางครั้งต้องแบ่งเป็นกลุ่ม เช่น ตามลักษณะทางภูมิศาสตร์ และทางภูมิสังคม ฯลฯ
ประเด็นหลักในขั้นตอนที่กล่าวมา หรือ"หัวใจ " อยู่ที่หลักของการมีส่วนร่วม ถ้าจำไม่ผิด น่าจะมีอยู่ 6 ประการ(หลักธรรมาภิบาล)
การมีส่วนร่วม ต้องให้พวกเขาได้ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ตั้งแต่แรกเริ่ม มิใช่ทำเสร็จ หรือใกล้เสร็จค่อยเอาไปทำประชาพิจารณ์ บังคับให้ ยก/ไม่ยก - มือ
ผมเสนอว่า : แนวคิดในการหาคำตอบ อยู่ที่ต้องเข้าใจเล่ห์อุบาย ในความต้องการของมนุษย์ มีสองด้าน คือกายกับจิต มนุษย์ต้องการไม่มีที่สิ้นสุด แต่หากอะไรก็ตาม ตอบคำถามเขาได้ว่า เขาทำแล้วจะได้อะไร ไม่ทำจะเสีย หรือไม่ได้อะไร..เขาก็จะทำ/หรือไม่ทำ..ตรงนี้คิดง่าย ทำไม่ง่ายนักแล
ผมเป็นคนไทย
http://thai.myinfo.ws [รีวิวเว็บไทยๆ]
ตอบคุณ surapol
อาจารย์ศิริพงษ์
การเปิดประเด็นแล้วก็หักขาตัวเองทิ้ง อย่างที่ทำอยู่นี้ ทำให้มองไม่ออกว่าเรื่องนี้ควรจะเป็นอย่างไร
ผมคิดว่าน่าจะทำให้เรื่องมีชีวิตมากกว่านี้ โดยการนำเสนอตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมให้คนอื่นช่วยคิดต่อ
เพราะแค่นามธรรมใครก็พูดได้ แต่ต่อเชื่อมไปไหนไม่ได้ครับ
ลองแก้ไขดูหน่อยไหมครับ หรือจะเอาไว้คราวหน้าก็ได้ ผมจะตามดูการพัฒนาตรงนี้ครับ
ผมไม่อยากให้เป็นประเด็นแห้งๆ
อาจารย์เขียนมาตั้งนานแล้วน่าจะมีบทเรียนมากกว่าผมด้วยซ้ำไป
ต้องหาเอกลักษณ์และประเด็นของตัวเอง
ทั้งในการนำเสนอเพื่อทำให้เกิดเกลียวคลื่นความรู้
ไม่ใช่แค่มาโชว์ตัวเฉยๆ ไม่ได้ประโยชน์อะไร เหมือนกับไม่จริงใจในการทำงาน
เวลาผมพูดว่าเกลียวคลื่นความรู้ ผมหมายถึงการต่อเนื้อความจากเริ่มต้น เป็นประเด็นไปเรื่อยๆ จนสิ้นสุดคนนำเสนอ
ยิ่งมากยิ่งดี (อย่างน้อยสัก ๔-๕ ความเห็นเพิ่มเติม)แต่ไม่นับการเข้ามาทักทายแบบไม่เสนอความเห็นอะไร หรือไม่ต่อยอดอะไร
พยายามเข้าใจที่ผมพูด และพยายามทำด้วยครับ
ผมรอมานานแล้วครับ
อย่างที่บอก
ผมคิดว่าอาจารย์รู้วิธีการเขียนมาตั้งนานแล้ว
ทำไมกระบวนการสร้างเกลียวคลื่นจึงยังไม่เกิดสักที มีแต comment ด้านๆ ที่ต่อยอดได้ยาก
น่าจะอยู่ที่การเปิดประเด็น
อาจารย์ลองสังเกตการปรับกระบวนของผมเองซิครับ แล้วอาจารย์จะเข้าใจ
ผมลองแทบทุกรูปแบบว่าเขียนอย่างไรจะทำให้เกิดเกลียวคลื่นความรู้
ผมทำให้ดูแล้วนะครับ
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ของเล่น แต่เป็นกระบวนการเรียนรู้ของทุกคน
ถ้าอาจารย์ไม่เรียนก็เป็นปัญหาของอาจารย์เอง ไม่มีใครเรียนแทนอาจารย์ได้ครับ
ผมก็ช่วยได้แค่นี้แหละครับ
ถ้าอาจารย์ไม่พอใจผมก็จะหยุดอ่านในส่วนของอาจารย์ครับ และยกเลิกการนำบล็อกของอาจารย์เข้าแพลนเนตของผม
การเขียนแบบที่แสดงความเห็นในเรื่อง ทองไม่รู้ร้อน นั้นไม่ได้ช่วยทำให้ผมเข้าใจอะไรมากขึ้น แต่จะงงมากกว่า ว่าทำไมจึงเขียนอย่างนั้น
ทั้งๆที่อาจารย์ก็น่าจะเดาได้ว่า เรื่องนั้น อาจารย์ก็มีส่วนที่ทำให้ผมต้องเขียนมันขึ้นมา
ผมไม่มีเงลามาเล่นกับส่วนที่ไม่ก้าวหน้าหรอกครับ และผมจะได้มีเวลาทำงานมากขึ้นกับส่วนที่ก้าวหน้ามากกว่า
ผมทำงานหนักให้ทุกคนเห็นตลอดชีวิตของผม ผมทำอะไรบ้าง
และผมก็มีเวลาวันละ ๒๔ ชั่วโมงเท่ากับทุกคน
ขอร้องให้พยายามเข้าใจงานของเราหน่อย แล้วอาจารย์จะรู้เองว่าควรจะต้องทำอะไรบ้าง
และการไม่ตอบสนองต่อคำขอ หรือคำถามของผมนั้น ไม่ได้ทำให้อาจารย์ได้ประโยชน์อะไรเลยครับ
ด้วยความหวังดีเสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลงครับ