ตั้งแต่บันทึกแรกของผมจนถึงปัจจุบัน จะพูดถึงแต่เรื่อง งาน และ งาน บันทึกนี้ขออนุญาตออกนอกกรอบบ้างครับ และจะขอกลับมาเรื่องของการพัฒนาคุณภาพของสำนักงานเลขานุการเหมือนเดิม เดี๋ยวหลายคนจะว่า บอยเปลี่ยนไป
คุณโอ๋-อโณ ได้มาร่วมแสดงความยินดีกับผมที่ได้รับรางวัลสุดคะนึง ประจำเดือนพฤศจิกายน และอยากให้ผมช่วยเล่าวิธีการที่คุณแม่เลี้ยงดูผมมาเผื่อแพร่พวกเราชาว Gotoknow
มาแสดงความยินดีกับคุณบอยอีกรอบที่นี่ค่ะ
ขอแสดงความเสียใจกับวันที่ 18 ธันวาในอดีตของคุณบอย เชื่อว่าถ้าคุณพ่อมีญาณรับรู้ได้ท่านคงภาคภูมิใจทั้งต่อตัวคุณบอยเอง และคุณแม่ที่สามารถเลี้ยงดูคุณบอยมาจนเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าของบ้านเมืองเราเช่นนี้ ขอกราบคารวะคุณแม่คุณบอยฝากไปให้ท่านด้วยนะคะ คุณบอยมีบันทึกเล่าเรื่องวิธีการที่คุณแม่เลี้ยงดูคุณบอยมาเผื่อแผ่พวกเราชาว GotoKnow บ้างไหมคะ
ประทับใจข้อความในกระดาษที่อยู่ในกระเป๋าตังค์คุณบอยมากเลยค่ะ
ตั้งแต่ผมเป็นสมาชิกของ Gotoknow นี้คำพูดที่ผมใช่บ่อยที่สุด คือ ขอบคุณ บันทึกนี้จึงอดขอบคุณ คุณโอ๋-อโณ อีกรอบไม่ได้เช่นกันครับ คุณโอ๋-อโณ เขียนถึงพระคุณของคุณพ่อและคุณแม่ผมได้ซาบซึ้งมากครับ ผมอาจจะเล่าเรื่องและถ่ายทอดได้ไม่ดีเท่าคุณแม่ครับ
ขอเล่าตั้งแต่ผมยังไม่ได้กำเนิดนะครับ
คุณแม่ผมอยากได้ลูกผู้ชาย ไปบนขอหลวงพ่อพุทธชินราช ว่าถ้าได้ลูกชายแล้วจะบวชให้ (เป็นความเชื่อของคนรุ่นเก่าครับ)
ก่อนที่แม่จะตั้งท้อง แม่บอกว่า มีดวงไฟมาหล่นอยู่ที่บ้าน และมีพระจูงเด็กมาบอกให้แม่เอาไปเลี้ยง (ดูเหมือนนิทานจักร ๆ วงศ์ นะครับ)ตอนแรกแม่ก็จะไม่ยอมเอาไปเลี้ยง แต่พอเห็นหน้าจิ้มลิ้มดี จึงเอามาเลี้ยง (อันนี้แม่พูดเองนะครับ) ตอนที่ผมคลอดออกมาลืมตาดูโลก ปรากฎว่ามีปานแดงเป็นลูกกลม ๆ อยู่กลางกะหม่อม ตอนแรกคุณแม่กังวล กลัวว่าเมื่อโตขี้นจะมีปัญหา จึงพาไปหาคุณหมอ คุณหมอบอกว่าเมื่อโตขึ้นจะข้ากตามตัวไปเอง (ไม่รู้ใช้ภาษาถูกหรือเปล่านะครับ ... ผู้อ่าน อ่านแล้วโปรดใช้วิจารณญาณนะครับ)
คุณแม่ผมบอกว่าตอนแพ้ท้องบอยนี้ ชอบทานแต่ผักกับน้ำพริก และเลิกนมก็ยากด้วย ขนาดที่แม่เอายาเขียว (เรียกถูกเปล่าไม่รู้นะครับ) มาทาที่หัวนมแล้ว ยังไม่ยอมเลิก แม่บอกว่า เค้าดูดนมแล้วบ้วนทิ้ง จนหายขมแล้วดูดต่อใหม่ได้อีก
การเลี้ยงดูของคุณแม่ผม เลี้ยงลูกแบบโบราณ สอนให้ลูกอยู่ในกรอบ แต่พอโตขึ้น ผมกลับไม่ติดอยู่ในกรอบเท่าไร แต่ก็ไม่ออกนอกลู่นอกทาง สิ่งที่แม่ภาคภูมิใจในตัวผมมากคือ การไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทุกประเภท แม่บอกว่าพ่อผมก็ไม่ยุ่งเกี่ยวอบายมุขทุกประเภทเช่นกัน สิ่งนี้หรือเปล่าไม่รู้นะครับ ที่ทำให้หลายคนแซวว่า หน้าอ่อน (คิดไปเองครับ) แม้แต่หวยพ่อผมก็ไม่เคยเล่นครับ แต่แม่ยังชอบอยู่ครับ เป็นความสุขเล็ก ๆ ของท่านครับ
การที่เราไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข ทำให้ผมสนใจความเป็นอยู่แบบไทย ๆ และเชื่อฟังคำสอนของผู้ใหญ่ ก็เป็นสิ่งที่เหนี่ยวรั้งจิตใจของเรา ไม่ให้ทำในสิ่งที่ไม่ดี (อีกอย่างตอนรุ่นผมสิ่งยั่วยุ ยังไม่ค่อยมี)เพราะท่านจะเน้นว่าให้ดูตัวอย่างคนที่ทำดีและประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นแบบอย่าง
ตอนไปโรงเรียนครั้งแรกในชีวิต วันแรกไม่ร้องไห้เลย ขณะที่เด็กหลายคนร้องให้ แต่พอวันที่ 3 วิ่งร้องหาแม่ จะกลับบ้านอย่างเดียว
เวลาผมอยู่กับผู้ใหญ่ แม่จะให้ผมฟังและฟัง มากกว่าพูด แม่จะบอกว่าผิดถูก อย่าเพิ่งโต้เถียง ให้ฟังก่อน เลยตัวเองก็ค่อนข้างจะติดอยู่เหมือนกันที่เป็นคนชอบฟังมากกว่าพูด ท่านคณบดี (รศ.มาลินี) มักจะแซวผมอยู่เสมอว่าบอยเค้าจะไม่ค่อยพูดเล่นอะไร เวลาไปไหนหลายคนจะบอกว่า บอยมาหรือเปล่าเนี่ย เป็นคำถามที่คุ้นหูผมโดยตลอด
ตอนที่ผมยังเด็ก เวลาแม่ไปทำงาน ผมจะอยู่บ้านคนเดียว แม่จะบอกว่าอย่าไปเที่ยวเล่นซนที่ไหน ซึ่งก็เชื่อฟังสิ่งที่แม่บอก จนมีอยู่ครั้งหนึ่งแม่ใช้ผมไปซื้อกับข้าวแถวบ้าน ปรากฎว่ามีคนถามว่า เด็กคนนี้อยู่ที่ไหน ซึ่งคนถามก็เป็นคนแถวบ้านเดียวกันครับ เพียงแต่ว่าไม่เคยเห็นผม เพราะผมจะอยู่ในบ้านมากกว่านอกบ้าน
ช่วงที่ผมปิดเรียนตอนเด็ก แม่ไปทำงานตอนเช้า ก็จะพาไปอยู่กับยาย ตอนเย็นเลิกงาน แม่ก็จะมารับกลับบ้าน ผมเป็นเด็กที่ว่า
นอนสอนง่าย (แต่โตขึ้นแล้วอาจจะว่านอน สอนยากก็ได้นะครับ...) ผู้ใหญ่จึงมักจะรักและเอ็นดูผมทุกคน การที่อยู่กับผู้ใหญ่ และอารมณ์เย็น ทำให้ผมซึบซับจากผู้ใหญ่ไปด้วยครับ
เนื่องจากคุณพ่อผมเสียตั้งแต่ผมอายุได้เพียงขวบเดียว ทำให้แม่ต้องรับบทหนักในการเป็นผู้นำครอบครัว ต้องเข้มแข็งกับการใช้ชีวิตโดยลำพังขาดคู่คิดและที่ปรึกษา เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมซึมซับจากแม่ในการสอนให้รู้จักความอดทน อดกลั้น
ฐานะทางบ้านไม่ดีเท่าไรครับ แม่จะมีมอเตอร์ไซด์ Honda เก่า ๆ อยู่คันหนึ่ง ไปไหนจะซ้อนแม่ไปตลอด เรียกว่า ถ้าเห็นแม่ก็ต้องเห็นผมด้วย ขนาดผมเป็นนายพล (พลทหาร) ถูกเกณฑ์ทหาร ไม่ได้เรียน รด. แม่ยังไม่ยอมให้ผมขี่มอเตอร์ไซด์ โดยแม่จะเป็นคนขี่และผมเป็นคนซ้อน (อย่างที่ผมเขียนในบันทึกว่า แม่ผมรักผมมาก ถึงมากที่สุดครับ) ตอนแม่ไปส่งที่ค่ายทหาร ผมยังเขินเพื่อนทหารด้วยกัน ตอนเป็นทหารผมตัวเล็กกว่าเพื่อน แต่ผู้หมู่ให้ผมเป็นหัวหน้าตอน วันแรกของการเป็นทหาร ตอนนั้นผมทำงานอยู่บรรษัทของเอกชน และถูกเกณฑ์ทหาร เรียกว่า เคยนั่งอยู่ในห้องแอร์ พอมายืนกลางแดด
ปรากฎว่าเป็นลม ต้องถูกหามออกมาก่อน แต่ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าตอน (ทั้งที่ไม่ค่อยจะแข็งแรง) ผู้หมู่บอกว่าผมอ่อนเกลือ ต้องเติมเกลือครับ
ช่วงชีวิตในตอนวัยรุ่น นี้ผมกลับสนใจศึกษาธรรมะ พร้อมกับสนใจ girl ด้วยเหมือนกันครับ แต่เป็นคนขี้อาย (เดี๋ยวหลายคนจะสงสัย) เนื่องจากผมมักจะอยู่กับบ้าน และที่บ้านมีหนังสือคู่มือมนุษย์ ของท่านพุทธทาส หนังสือเล่มนี้ทำให้ผมรู้จักชีวิตมากขึ้นครับ หลังจากนั้นติดตามอ่านของหนังสือท่านพุทธทาสมาตลอด นอกจากหนังสือคู่มือมนุษย์ที่ทำให้ผมรู้จักชีวิตแล้ว อีกเล่มหนึ่งที่ผมจับไม่วางเลย คือ จิตว่าง ขนาดตอนเป็นทหารยังนำติดไปด้วย นำมาไว้ใต้หมอน แต่ตอนปลดประจำการกลับลืมไว้ที่ค่ายทหาร พอออกมาก็ได้ซื้อมาติดบ้านไว้ครับ เวลารู้สึกเครียด ๆ จะนึกถึงคำสอนของท่านครับ และตั้งแต่ผมลืมตาดูโลกจนถึง ณ วันนี้ ผมยังรู้สึกว่าความรักของแม่ที่มีให้กับผมยังไม่ลดลงเลยครับ
จบเพียงเท่านี้ก่อนแล้วกันนะครับ .......................
บอย สหเวช
20 ธ.ค. 49
ถึง พี่เมตตา
ถึง คุณสุนิสา
ขอบคุณคุณบอยค่ะ อยากให้คุณบอยนำบันทึกนี้พิมพ์ไปฝากคุณแม่ด้วยนะคะ รู้สึกได้ถึงความรักความผูกพันธ์ที่คุณบอยมีต่อคุณแม่ได้ทุกตัวอักษรเลยค่ะ ท่านคงดีใจและภูมิใจ เป็นรางวัลชีวิตอันยิ่งใหญ่สำหรับคนเป็นแม่เลยล่ะค่ะ
จะพยายามทำให้ลูกรักและพูดถึงได้เหมือนที่คุณบอยทำให้คุณแม่ค่ะ ขอบคุณอีกครั้ง และยังอยากให้คุณบอยเก็บสิ่งต่างๆที่จำได้ว่าคุณแม่ทำหรือสอนมาบอกเล่ากันอีกนะคะ เป็นตัวอย่างที่ดีมากๆสำหรับคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ สิ่งนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของสังคม เพราะหากเราทำให้เด็กเล็กๆเป็นคนดี ก็จะติดตัวเขาไปตลอด ความสามารถอื่นๆก็จะตามมาเอง