GotoKnow

10 Things More Think

กิตติวัฒน์ สาคำ
เขียนเมื่อ 25 ธันวาคม 2562 15:05 น. ()
แก้ไขเมื่อ 25 ธันวาคม 2562 17:31 น. ()

      น้อยครั้งนักที่ข้าพเจ้าจะมีรูปภาพสุดประทับใจออกมาให้ชมกันซักรูปหนึ่ง ... แต่ก็พอจะมีเหลืออยู่บ้างที่ตนได้ถ่ายเก็บไว้ โดยนิสัยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ขี้อายมาตั้งแต่เด็ก เลยไม่ค่อยที่จะได้ถ่ายรูปของตัวเองเก็บไว้ในอัลบัม หรือถ่ายตัวเองเก็บไว้ดูเล่นมากนัก แต่ก็เป็นคนที่รักการถ่ายภาพ โดยเฉพาะภาพที่เป็นภาพเคลื่อนไหว มักจะมีช็อตประทับใจ ให้ความหมายที่ดีกับภาพนั้นๆอยู่บ่อยครั้ง 

***กรุณาเปิดเสียงเพลงประกอบเพื่ออรรถรสในการอ่านด้วยครับ***

วัยเด็ก...........ความสุขที่สุขที่สุด

         ช่วงเวลาในวัยเด็กเป็นวัยที่มีความสุขที่สุด ถึงครอบครัวจะลำบาก แต่ก็มีความสุขที่สุดแล้ว หากลองย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เราอยากจะทำอะไรอีกหลายๆอย่างในช่วงเวลานั้น เป็นความสุขที่ไม่ต้องใช้เงิน เป็นความสุขที่มีแต่ความสนุกรื่นเริง และมีความร่าเริงในตัวเอง จึงไม่ต้องเครียดหรือกังวลสิ่งใด หากได้นั่งไทม์แมทชีนกลับไปได้ ก็อยากจะย้อนกลับไปในช่วงวัยเด็กนี่แหละครับ คือช่วงเวลาแห่งความสุข

จุดเริ่มต้น.............ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย

         สิ้นสุดการจบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้วจึงได้มีโอกาส ตะเวนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนกับทุกคนที่อยากจะมีที่เรียนเร็วๆ จึงตัดสินใจสอบรับตรงในระหว่างภาคเรียนที่ 2 / 2549  ก่อนจบการศึกษานั้น ได้ตะเวนสอบอยู่หลายมหาวิทยาลัย จนมาจบที่ วิทยาลัยศิลปะ สื่อ และ เทคโนโลยี เป็นคณะหนึ่งในกำกับของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นรุ่นที่ 2  ซึ่งในขณะนั้นยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับกันในสังคมมหาวิทยาลัย มากเท่าที่ควร เพราะเป็นคณะที่เปิดใหม่ แต่ก็มีความประทับใจ ที่ได้เจอเพื่อนใหม่ จากต่างโรงเรียน และต่างจังหวัด จึงตื่นเต้นมากที่ได้เจอเพื่อนใหม่ ถือเป็นก้าวที่สำคัญอีกก้าวหนึ่งในชีวิตการเป็นนักศึกษา เพราะการได้ใช้ชีวิตจากการเป็นเด็กหอตลอดระยะเวลา 2 ปี 6 เดือน ก็ทำให้ได้รู้จักกับเพื่อนที่ไม่ใช่คณะเดียวกัน แต่รู้จักกับเพื่อนต่างอาชีพที่เปิดทัศนคติและมุมมองใหม่ๆ และในชมรมพื้นบ้านล้านนา ของสโมสรนักศึกษาที่ข้าพเจ้าได้อยู่ก็ทำให้พบเจอคนมากขึ้นไปอีก จริงมีแต่ความผูกพันธ์ และความทรงจำดีๆ ที่ยากจะลืม 

ได้เวลาค้นหาตัวเอง....

          และช่วงเวลาหลังจากที่ข้าพเจ้าได้จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีแล้วนั้น จึงมีความคิดที่จะเรียนต่อในระดับปริญญาโท เพราะเห็นว่าฐานะครอบครัว พ่อและแม่ก็ยังมีกำลังส่งตนเองเรียนต่อได้  จึงตัดสินใจเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโท สาขาวิชาสื่อศิลปะ และการออกแบบสื่อ เป็นสาขาหนึ่งที่อยู่ในคณะวิจิตรศิลป์  โดยจะต้องเรียนช่วงภาคค่ำตั้งแต่ 6.00 น. - 12.00 น. ทุกวันจันทร์ - ศุกร์  รวมทั้งอาจารย์ได้สั่งงานทุกคาบหลังเรียน จึงไม่มีเวลาทำงานที่อาจารย์ส่ง สิ้นภาคเรียนที่ 1 จึงได้ตัดสินใจลาออก  เพื่อหางานทำ   โดยงานแรกที่เริ่มคือได้ปฏิบัติหน้าที่สอนคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนขนาดเล็กแห่งหนึ่งในจังหวัดลำพูน มีนักเรียนไม่ถึง 50 คน โดยจัดการเรียนการสอนเป็นแบบคละชั้นรวมกัน จึงถือเป็นโอกาสดีที่ได้หาประสบการณ์จากการเป็นครูผู้สอน และเป็นโรงเรียนที่อยู่ใกล้พื้นที่ การเดินทางจากบ้านมายังโรงเรียนไม่ถึง 10 กิโล จากเขตติดต่อระหว่างอำเภอสันป่าตอง มายังจังหวัดลำพูน แต่ด้วยเงินเดือนที่ได้แค่ 5,000 บาท เป็นเงินผ้าป่าโรงเรียน ที่ผู้อำนวยการโรงเรียนจะต้องหามาให้ทุกๆปี เพราะถ้าหากว่าปีงบประมาณใดที่หาเงินไม่ได้ หรือ ผู้อำนวยการโรงเรียนย้ายหรือเกษียณ ในตอนนั้นตนก็จะไม่มีความมั่นคงในงาน     จึงได้ตัดสินใจ ลาออกมาทำงานในโรงเรียนมัธยมอีกที่ในจังหวัดลำพูน ใกล้ๆกับโรงเรียนเดิม แต่นักเรียนชั้นมัธยมตอนปลายก็ไม่เป็นที่น่าประทับใจให้กับตนเองเท่าไรนัก เพราะระยะห่างของช่วงวัยนั้นใกล้ๆกับนักเรียน รวมทั้งตำแหน่งครูอัตราจ้างในโรงเรียนจึงไม่สร้างความเคารพให้กับนักเรียนเท่าที่ควร และได้ตัดสินใจลาออกอีกครั้งเพื่อไปทำงานในตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ธุรการ ใน รพ.แห่งหนึ่งในอำเภอสันทราย จึงเป็นเหตุที่ทำให้เจอชีวิตคู่เพราะจะต้องเข้าทำงานแทนที่ตำแหน่งของภรรยา ซึ่งในขณะนั้นได้ลาออกไปก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ภายหลังได้มีการติดต่อคุยกันเป็นการส่วนตัว จึงได้ติดต่อคุยกัน  หลังจากที่ได้ทำงานในตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ธุรการ ในโรงพยาบาลได้ไม่นาน ตนจึงได้ตัดสินใจลาออกเป็นหนที่ 3 เพื่อมาประกอบอาชีพครูธุรการ ในโรงเรียนรัฐบาล ซึ่งที่แรกที่ได้ปฏิบัติงาน คือที่โรงเรียนชุมชนบ้านบวกครกน้อย และโรงเรียนวัดหนองป่าครั่ง เป็นโรงเรียนที่อยู่ในอำเภอเมืองเชียงใหม่  ช่วงเวลานั้นมีความรู้สึกอยากจะกลับบ้าน ประจวบกับ ณ เวลานั้น ถูกแฟนบอกเลิก หลังจากที่คบกันมาตลอดระยะเวลา 5 ปี จึงตัดสินใจเปลี่ยนสถานที่ทำงานใหม่อีกครั้ง โดยได้ไปสอบในตำแหน่ง ครูธุรการ เหมือนเดิม อยู่สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 1 ณ ขณะนั้นเป็นสำรองอันดับที่ 2 ถูกเรียกจากบัญชี ขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียนวัดเหมืองง่า โรงเรียนวัดศรีบุญยืน - วังทอง และ โรงเรียนบ้านต้นผึ้ง  โดยทั้ง 3 โรงเรียนที่ตนได้รับผิดชอบอยู่นั้น ตนถือว่าเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีในกับตัวเองเป็นอย่างมาก เพราะมีผู้อำนวยการโรงเรียนทั้ง 3 ท่าน เป็นแบบอย่างที่ดีในการทำงาน งานจึงเป็นไปด้วยความราบรื่น ถึงแม้จะรู้สึกเหนื่อยในบางครั้ง แต่ก็มีความรักในอาชีพนี้มากๆ  ภายหลัง ปีที่ 4 ในการปฏิบัติหน้าที่ มีการเกลี่ยอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียน ครั้งแรกโดยตนได้ขอสับเปลี่ยนโดยได้ย้ายโรงเรียนไปยังโรงเรียนบ้านศรีย้อย  โรงเรียนบ้านสันมะนะ  โรงเรียนวัดพันตาเกิน และโรงเรียนวัดจักรคำภิมุข 4 โรงเรียนที่รับผิดชอบหน้าที่ เป็นความท้าทายใหม่ในอาชีพเดิม โรงเรียนบ้านศรีย้อยเป็นโรงเรียนหลัก โดยทุกโรงเรียนที่ได้ปฏิบัติงานอยู่นั้นข้าพเจ้ามีความผูกพันธ์เป็นอย่างยิ่ง  ที่เหลือ 3 โรงเรียน ในปี 2560  ถึงทยอยกันยุบรวม เพราะนักเรียนมีไม่ถึง  50 คนตามเกณฑ์  ตนจึงถูกเกลี่ยอัตรากำลังไปปฏิบัติหน้าที่ยังโรงเรียนบ้านสันมะนะ โรงเรียนวัดจักรคำภิมุข และโรงเรียนวัดป่ายาง ในปี 2561 และท้ายที่สุดของการปฏิบัติหน้าที่ธุรการโรงเรียนคือ ให้ธุรการโรงเรียนรุ่นที่ได้รับค่าจ้าง 15,000 บาท ให้เลือกปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียนที่มีนักเรียนไม่ต่ำกว่า 150 คน 1 โรงเรียน ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจย้ายไปอยู่ โรงเรียนวัดป่าตึงห้วยยาบ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน  ในขณะนั้นตนได้ย้ายมาอยู่บ้านภรรยา ที่อำเภอสันทราย จึงได้ขอย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ยังโรงเรียนนี้ ในปี 2561  ซึ่งเป็นโรงเรียนขยายโอกาส  และในที่สุดก็ได้ตัดสินใจ ลาออกจากอาชีพเจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียน มาปฏิบัติหน้าที่ยังโรงเรียนคริสต์เตียนศึกษาสงเคราะห์นิมิตใหม่เพื่อชีวิต  เป็นโรงเรียนเอกชน ประเภทศึกษาสงเคราะห์ที่เก็บค่าเทอมไม่ได้  ซึ่งเป็นโรงเรียนปัจจุบันที่ตนได้ปฏิบัติหน้าที่อยู่  และผู้จัดการจึงได้ส่งตนให้มาศึกษาต่อหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่เพื่อที่จะให้ได้ใบประกอบวิชาชีพครู ตามที่ สช.ได้กำหนดเกณฑ์บรรจุครูเอาไว้ในระบบ เพื่อให้โรงเรียนมีครูครบตามจำนวน  และนี่คือบทเรียน และประสบการณ์ในชีวิตของตนที่ครั้งหนึ่งเคยหันหลังให้กับอาชีพครูเพราะเห็นว่าพ่อกับแม่รับใช้ราชการครูมาตลอด  จึงไม่แน่ใจว่าอาชีพครูเป็นอาชีพที่จะยังค้นหาต่อไปอีกหรือไม่

การให้ความสำคัญกับครอบครัว

         พ่อและแม่รับใช้อาชีพราชการครูมาตลอด ก็จึงเห็นความยากลำบากของพ่อและแม่ ถึงแม้ว่าปลายอาชีพของพ่อและแม่จะมีค่าตอบแทนที่สูง เทียบจากแต่ก่อนที่ได้รับเงินเดือนแค่เพียงหลักร้อย และภายหลังจากเกษียณราชการก็ยังได้รับเงินจากทางราชการให้ใช้อยู่ก็ตาม แต่ก็จะต้องแลกมาด้วยความยากลำบากในอาชีพครู เพราะพ่อและแม่ทุ่มเทเวลาให้กับลูกศิษย์ในโรงเรียนทั้งชีวิตของการเป็นครู ตลอดระยะเวลาของการเป็นครูพ่อและแม่ต้องอดทน ทั้งถูกต่อว่า ด่าทอ หรือถูกกลั่นแกล้งในสถานที่ทำงาน เพราะเห็นว่าทำงานหนัก ซึ่งหลังจากที่เลิกงานแล้ว ก็ไม่รู้สึกว่ามีความสุขในอาชีพครูแม้แต่น้อย  แต่ด้วยเลือดของความเป็นครู ตนจึงเลือกที่จะปฏิบัติหน้าที่ครูเพื่อให้พ่อแม่ภูมิใจต่อไป การที่ตนได้สร้างโอกาสในชีวิตด้วยการกลับมาเป็นครูอีกครั้ง ก็เพราะเจตนารมณ์ของพ่อและแม่ที่อยากจะเห็นลูกชายเป็นครู เพราะความคาดหวังในครอบครัว ตนจึงต้องกลับมายังอาชีพครูอีก และเป็นครั้งสำคัญที่จะสร้างอาชีพนี้ให้เป็นเกียรติแต่ตน ในฐานะของคนที่มีวุฒิภาวะที่สูงขึ้น และแบกรับความกดดันมาไม่ต่างจากพ่อและแม่ การเป็นครูนั้นว่ายากแล้ว แต่การเป็นครูที่ดีนั้นยากกว่า และเมื่อได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งมา ก็ย่อมเสียอีกสิ่งหนึ่งไป นั่นก็คือชีวิตครอบครัว ซึงแทบจะไม่มีโอกาสที่จะได้อยู่ในพร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนครอบครัวอื่นๆ ต้องเดินทางไกลจากครอบครัวมาเพื่อทำงาน ในขณะที่ลูกอายุได้เพียง 1 ขวบ 10 เดือน เป็นช่วงที่เด็กต้องการพ่อและแม่ จึงทำให้ลูกของตนขาดความอบอุ่นในครอบครัว แต่ก็ยังโชคดีที่ภรรยาของตนเข้าใจ  จึงไม่อยากให้เป็นแบบครอบครัวของพ่อและแม่ที่สั่งสอนลูกศิษย์แต่ไม่มีเวลาสั่งสอนตน จึงเห็นความสำคัญของครอบครัวเป็นพิเศษ

ความสำคัญของการเป็นพ่อ

         เมื่อเอ่ยถึงความสำคัญ หน้าที่ของภรรยาก็มากแล้ว พ่อจึงมีความสำคัญต่อพัฒนาการด้านอารมณ์ และจิตใจของลูก เป็นอย่างมาก หลายคนมองข้ามความสำคัญของพ่อไป แต่ที่จริงแล้ว พ่อให้ความรู้สึกสมหวังและพึงใจได้มากมาย พ่อมีอิทธิพลต่อการพัฒนาการของเด็กแรกเกิด พ่อควรมีบทบาทในการเลี้ยงลูกโดยตรงมากขึ้น โดยไม่ใช่หน้าที่เพียง "หาเงิน" มาซื้อนมให้ลูกกินเพียงอย่างเดียว  ตนจึงหาโอกาสเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ชิดเลี้ยงดูลูกของตนให้ได้มากที่สุด 

โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์....โรงเรียนที่เป็นมากกว่าโรงเรียน

           โรงเรียนคริสต์เตียนศึกษาสงเคราะห์นิมิตใหม่เพื่อชีวิต ก่อตั้งภายใต้มูลนิธินิมิตใหม่เพื่อชีวิต ประเภทโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ สังกัด สำนักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.)  เป็นโรงเรียนคริสต์เตียน แห่งแรกของประเทศไทยที่เป็นโรงเรียนประเภท ศึกษาสงเคราะห์ เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นก่อนอนุบาล จนถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยโรงเรียนไม่สามารถเก็บค่าเทอมนักเรียนได้  จึงจำเป็นที่จะต้องอาศัยงบประมาณจากทางหน่วยงานราชการ และเงินบริจาค เพื่อให้โรงเรียนอยู่ได้ เป็นปีที่ 2 แล้วที่โรงเรียนได้จัดตั้งขึ้น สภาพการทำงานในโรงเรียนนั้น ปีแรกที่จัดตั้งขึ้นเป็นโรงเรียนมีความยากลำบาก โดยผู้จัดการ ผู้บริหาร และคณะครู จะต้องช่วยกันทำงานอย่างหนัก ห้องเรียนจึงเป็นทั้งห้องเรียนและห้องนอนของเด็ก โดยส่วนใหญ่แล้วเด็กมีสถานะภาพทางครอบครัวที่ค่อนข้างแย่ พ่อหรือแม่เสียชีวิต  หรือติดคุก รวมทั้ง ครอบครัวมีบุตรมากและยากจน เพื่อสร้างโอกาสให้กับเด็กๆเหล่านี้ได้เติบโตสร้างมีคุณภาพและไม่เป็นปัญหาของสังคม โรงเรียนจึงยังคงต้องการอาสาสมัครหรือผู้ที่จะมอบโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กได้รับความรู้หรือสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น เพื่อเป็นให้เด็กเป็นคนดี และไม่สร้างปัญหาให้กับสังคม ปัจจุบันโรงเรียนคริสต์เตียนศึกษาสงเคราะห์มีนักเรียนทั้งหมด จำนวน 250 คน โดยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นทุกปี บ้านพักหรือปัจจัยพื้นฐานของเด็กจึงไม่เพียงพอกับความต้องการต่อจำนวนเด็กที่เพิ่มมากขึ้น โดยงบประมาณที่ได้รับไม่เพียงพอกับอาหาร 3 มือของเด็ก โดยปกติเงินรายหัวทั่วไปที่รัฐบาลสนับสนุนให้กับทางโรงเรียน หัวละ 20 บาท จะได้เพียงแค่ 1 มื้อ แต่โรงเรียนเป็นโรงเรียนพักนอน จึงไม่มีงบประมาณอาหารกลางวันเพียงพออีก 2 มื้อที่เด็กจะต้องได้รับ  จึงจำเป็นที่จะต้องขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลเพิ่มขึ้น โดยให้ครบทั้ง 3 มื้อ คือ การปรับสถานะภาพของโรงเรียนให้เป็นโรงเรียนประเภทการกุศล จึงขอผู้ใหญ่ใจดีทุกท่านที่มีใจเมตตาต่อเด็กๆของทางโรงเรียนคริสต์เตียนศึกษาสงเคราะห์นิมิตใหม่เพื่อชีวิต ช่วยเหลือ และขอบคุณที่ท่านให้การสนับสนุนกับทางโรงเรียนมาโดยตลอด

สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกัน

ความเห็น

นภัสวรรณ ถาวรรณา
เขียนเมื่อ

สวัสดีค่ะ คุณกิตติวัฒน์ ดิฉันขอชื่นชมในงานเขียนของคุณ ภาพถ่ายมีความหมายที่ดีและประทับใจทุกครั้งที่ได้ชม อ่านจบแล้วยิ้มตามเลยค่ะ ขอให้กำลังใจนะคะ :)

ขอบคุณมากค่ะ

กรกต กลิ่นเดช
เขียนเมื่อ

สวัสดีครับ คุณกิตติวัฒน์ เรื่องราวที่ถ่ายทอดประกอบกับรูปภาพล้วนแล้วแต่เป็นความน่าประทับใจไม่รู้ลืมจริงๆครับ

วิภารัตน์ ดอกแสง
เขียนเมื่อ

สวัสดีค่ะ คุณกิตติวัฒน์ ถ่ายทอดเรื่องราวได้ดี น่าประทับใจมากค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ ขอบคุณค่ะ

ครูเล็ก ฤทธิพงศ์
เขียนเมื่อ

สวัสดีครับ คุณกิตติรัตน์ สาคำ

ผมชื่นชมในสิ่งที่คุณได้เขียนมา ชอบเพลงประกอบ ชอบหลาย ๆ ภาพที่ดูแล้วได้บรรยากาศที่ดี ชอบการเขียนที่เล่าเรื่องละเอียด และขอให้กำลังใจนะครับ

ขอบคุณมากครับ

สวัสดีครับคุณ กิตติวัฒน์ สาคำ ผมชื่นชอบบทความที่คุณเขียนครับ แต่ละคนมีเรืองราวดี ๆ ในชีวิตมากมาย อ่านแล้วยิ้มตามครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ ขอบคุณครับ

สิริญาภร ทรงสุภา
เขียนเมื่อ

สวัสดีค่ะคุณกิตติวัฒน์ สาคำ รูปถ่ายทุกรูปล้วนมีความหมาย และความทรงจำที่ดี ทำให้มี่ความสุขในขณะที่อ่าน ขอเป็นกำลังใจในการเขียนครั้งต่อ ๆ ไปนะคะขอบคุณค่ะ

เปรมประภา ศรีทา
เขียนเมื่อ

สวัสดีค่ะคุณกิตติวัฒน์ ชื่นชมผลงานเขียนคุณมากค่ะ

หทัยรัตน์ แสนดี
เขียนเมื่อ

สวัสดีค่ะคุณกิตติวัฒน์ ถ่ายทอดเรื่องราวดีๆ ได้ดีมากเลยคะ

นริศรา อินต๊ะสม
เขียนเมื่อ

สวัสดีค่ะ คุณกิตติวัฒน์ ดิฉันประทับในงานเขียนของคุณมาก ๆ ค่ะ ทุกรูปภาพล้วนมีความหมายขอบคุณมากค่ะ

ศิริมงคล ธรรมไชย
เขียนเมื่อ

สวัสดีครับ คุณกิตติวัฒน์ ผมชื่นชอบในผลงานของคุณมากครับ เขียนเนื้อหาได้ดีมากๆ อ่านแล้วประทับใจ ซึ่งแต่ละภาพมีความหมายกับคุณ เป็นกำลังให้ในการทำงานและงานเขียนต่อไปครับ

กวิสรา ชัยมงคล
เขียนเมื่อ

สวัสดีค่ะ คุณกิตติวัฒน์ ดิชื่นชมในการเขียนบรรยายเรื่องราวของคุณที่มีความหมายลึกซึ้งประทับใจมากเลยค่ะ ภาพแต่ละภาพและคำบรรยายอ่านแล้วซาบซึ้งใจมากค่ะ ขอเป็นกำลังใจในการเขียนงานดี ๆ แบบนี้มาแบ่งปันกันอีกนะคะ

ประภาพร ชัยวงค์
เขียนเมื่อ

สวัสดีค่ะ คุณกิตติวัฒน์ ดิฉันชอบรูปภาพงานเขียนของคุณมากค่ะ

ทศวรรษ คำสม
เขียนเมื่อ

สวัสดีครับ คุณกิตติวัฒน์ ผมชอบงานเขียนของคุณมากครับ ชอบรูปภาพและการเล่าเรื่องมากครับ ถ่ายทอดเรื่องราวและเรียงได้ดีมากครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ ขอบคุณมากครับ

สวัสดีค่ะ คุณกิตติวัฒน์ ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพถ่ายได้ดีมากเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ

ชัชวาล กลับแสง
เขียนเมื่อ

สวัสดีค่ะ คุณกิตติวัฒน์ เป็นกำลังใจให้นะครับ สร้างงานดีๆออกมาเรื่อยๆนะครับ

พัชรินทร์
เขียนเมื่อ

สวัสดีค่ะ คุณกิตติวัฒน์ ขอชื่นชมงานเขียนของคุณที่ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพถ่ายได้น่าประทับใจมากค่ะและขอเป็นให้กำลังใจนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ

สุนิสา พรมใจ
เขียนเมื่อ

สวัสดีค่ะ คุณกิตติวัฒน์ ฉันประทับใจในงานเขียนและรับรู้ถึงความรู้สึกที่คุณได้ถ่ายทอดออกมาเป็นอย่างดี เป็นกำลังใจให้กับงานเขียนของคุณนะคะ ขอบคุณค่ะ

สวัสดีครับคุณกิตติวัฒน์ ผมประทับใจในการเขียนของคุณมาก เป็นกำลังใจให้ในงานเขียนต่อไปครับ

อรอุมา สมีกลาง
เขียนเมื่อ

สวัสดีครับค่ะกิตติวัฒน์ ฉันประทับใจในการเขียนของคุณมาก เป็นกำลังใจให้ในงานเขียนต่อไปค่ะ

กิตติวัฒน์ สาคำ
เขียนเมื่อ

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น ขอบพระคุณครับ

สวัสดีครับ คุณกิตติวัฒน์ ชื่นชอบในงานเขียนของคุณ เป็นกำลังใจให้ครับ

อภิวัฒน์ คำปินตา
เขียนเมื่อ

สวัสดีครับ คุณ กิตติวัฒน์ กระผม ชื่นชอบในงานเขียนของคุณมากๆเลยครับ เขียนเข้าใจง่าย จะติดตามไปเรื่อยๆนะครับ

กิตติวัฒน์ สาคำ
เขียนเมื่อ

ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นด้วยครับ

จีรภา หลวงมะลิ
เขียนเมื่อ

สวัสดีค่ะ คุณกิตติวัฒน์ดิฉันชื่นชมในสิ่งที่คุณได้เขียนมาเป็นผลงานที่น่าประทับใจและขอเป็นกำลังใจให้นะคะ

ไม่ระบุ
เขียนเมื่อ

ในความยากลำบากนั้นมันคือประสบการณ์ค่ะ. เป็นกำลังใจให้ครับ สู้ๆนะ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็จะอยู่เคียงข้างตลอดไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่

ไม่ระบุ
เขียนเมื่อ

ในความยากลำบากนั้นมันคือประสบการณ์ค่ะ. เป็นกำลังใจให้ครับ สู้ๆนะ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็จะอยู่เคียงข้างตลอดไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย