ในที่สุดงานมหกรรม KM แห่งชาติ ครั้งที่ 3 “บุฟเฟต์ KM” ก็จบลงแล้วอย่างสวยงาม หลายๆ คนที่ สคส. ต่างก็สะบักสะบอมไปตามๆ กัน โดยเฉพาะแม่งานที่ชื่อ “ชุติมา” หรือที่หลายคนคุ้นในชื่อว่า “พี่แอนน์” งานนี้เป็นงาน “บรรจงสร้าง” ครับ ทุกๆ คนที่ สคส. ต่างก็ร่วมแรงร่วมใจกันทำด้วยความตั้งใจและเต็มใจ แต่ถึงอย่างไรเราก็เชื่อว่ายังมีข้อบกพร่องผิดพลาดอีกมากมายหลายประการ ที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขต่อไป ผมคงต้องขออภัยท่านทั้งหลายหากท่านไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควร...
ในเวทีเสวนา “ส่งต่อสิ่งดีๆ สำหรับปีหน้า” (ช่วงสุดท้ายก่อนปิดงาน) ผมจำได้ว่า... ได้พูดถึง Concept ของงานปีนี้ ว่าเราต้องการให้เป็นเหมือนดังเช่นการเลี้ยงอาหาร “บุฟเฟต์” ...คือมีอาหาร (กิจกรรม) ให้เลือกอย่างหลากหลาย ท่านอยากจะทานอะไร (เลือกเข้าห้องไหน) ก็เลือกได้ตามสบาย มีให้เลือกทานพร้อมกันถึง 18 อย่าง (18 ห้อง)
สิ่งที่ผ่านมาทำให้เห็นว่า “อาหาร” บางอย่าง (กิจกรรมในบางห้อง) มีคนกรูเข้าไปค่อนข้างมาก ในขณะที่บางห้อง ค่อนข้างเงียบเหงา (ทั้งๆ ที่เป็นอาหารที่ดี) มีคนเข้าไปลิ้มรส (เรียนรู้) น้อย ตรงนี้ถือเป็น “บทเรียน” สำคัญที่ สคส. จะต้องนำกลับไปทบทวนใหม่ ถือเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับใช้วางแผนในปีหน้าต่อไป
ผมได้แต่คิดเอาเองว่า บางทีการจัด KM แบบ “โต๊ะจีน” คือจัดเป็น“Set Menu” กำหนดไว้ไม่กี่อย่าง แล้วค่อยๆ เสริฟทีละอย่าง อาจจะ “ถูกปากถูกใจ” ผู้บริโภคชาวไทยก็ได้ หรือท่านเห็นเป็นอย่างไร ลองแชร์กันเข้ามาได้ครับ
ผมมีความเห็นว่าเราควรมีทั้งสองแบบครับ สำหรับบางอย่างที่เราคิดว่าคนควรเข้าร่วมเยอะ เราก็จัดเป็นโปรแกรมเดียว สำหรับบางอย่างที่คนเข้าร่วมจะแยกได้มากกว่าหนึ่งกลุ่มอย่างชัดเจน เราก็จัดขนานกันได้ครับ
ผมว่าโปรแกรมปีหน้าอาจจะต้องวางแผนในแง่ว่าในบางขณะมีโปรแกรมเดียว บางขณะมีสองโปรแกรม บางขณะมีสามโปรแกรม ฯลฯ แทนที่จะมี 18 โปรแกรมพร้อมๆ กันตลอดเวลาครับ
เรียกว่าเป็น "โต๊ะจีน" ที่มีบริการให้ตักเพิ่ม และมี "บุฟเฟ่ต์ของหวาน" ครับ
เป็นแบบปุฟเฟ่ ก็ได้ค่ะ แต่อาหารไม่ควรมีให้เลือกมากเกินไป บางคนเลือกไม่ถูกว่าจะกินอะไรดี บางคนอยากกินหลายอย่าง เวลามีให้กินน้อย เลยกินยังไม่ทันอิ่ม ยังหิวอยู่ แต่หมดเวลา อาหารบางอย่างคนชอบกินเยอะ หมดเร็ว บางอย่างคนไม่รู้จัก แต่อร่อย ก็เหลือเยอะแยะ น่าเสียดาย......
ผมว่าบุฟเฟ่ดีกว่าครับ
คนเลือกตามสบายและวิ่งชิมได้มากกว่าติดล็อกการนำเสนอแบบโต๊ะจีน
ผมได้อะไรมากเลยครับ จากการประชุมครั้งนี้
คราวหน้าผมอยากให้มีการประกวด โมเดล KM ครับ
ผมอยากเห็นความหลากกลายของโมเดล
ไม่ใช่แค่ปลาทู หรือปลาอื่นๆ
ที่จริง ไม้แหย่ไข่มดแดง (http://gotoknow.org/blog/sawaengkku/65985) ก็ใช้ได้เหมือนกัน
ผมจะไม่เอาปลาทูอาจารย์ไปแหย่ไข่มดแดงเด็ดขาดเลยครับ
จึงอยากให้จัดประกวด
งานก็ดี นี่ครับ
คนที่รู้จัก หากรู้จัก capture ความรู้ เข้าห้องไหน ก็ "ค้นพบ" ครับ
ขอเสนอแนะ บ้างนะ
สรุปแล้ว ดีมากๆ ครับ
ความเห็นคล้ายคุณไร้นามเลยครับ
ภาพรวมแล้วยอดเยี่ยมมากครับ
แต่โจทย์ คือ เป้าหมายที่จะจัดต้องดูคนเข้าครับว่าเป็นแบบไหนบ้าง
ถ้าเป็นคนที่มีพื้น KM มาแล้วบ้างจะชอบแบบบุปเฟต์ ไปตามที่ตนเองถนัดหรือต้องการทำ
แต่ถ้าเป็นคนมาใหม่อาจต้องนั่งบับคับรู้พื้นฐานก่อน เช่นเดียวกับเด็กที่ยังเดินไปเลือกของกินเองไม่ได้ (เช่นผมที่ยังเสียดายว่า น่าจะไปหลุมดำก่อนตั้งกะวันแรก)
ซึ่งอาจแก้ได้โดยให้มีการทำแบบสอบถามมาในใบสมัครเลยครับว่า ท่านเคยรู้เรื่อง KM ไหม สนใจเข้าอบรมพื้นฐานป่าว จะช่วยได้ระดับหนึ่ง
อีกเรื่อง คือ ตารางการนำเสนอ อยากให้มีแจกแจงละเอียดแบบในวันงานตั้งแต่แรกสมัครเลยครับ เพราะจะได้แบ่งกำลังคนถูกว่าจะไปห้องไหนกันมั่ง ที่ดูจากเว็บมันไม่มีเวลาเลยครับ พอไปถงจึงรู้ว่าห้องนี้มีแต่ชั่วโมงเดียว ห้องนี้ทั้งวัน...
ส่วนบู๊ตผมไม่มีอะไรครับเพราะไม่ได้เข้าชมเท่าไหร่ แหะๆ
สวัสดีครับอาจารย์
ผมคิดว่ามันก็จริงดังที่อาจารย์ว่า แต่ตัวเองกลับมาพิจารณาอีกครั้งก็คิดว่า ไม่ว่าจะอยู่ห้องไหนก็ได้เรียนรู้ผ่านความรู้ปฏิบัติทั้งนั้น เพียงแต่ว่า บางคนอาจจะรู้สึกเสียดาย เพราะไม่ได้เข้าห้องอื่นๆ ซึ่งท่านอาจารย์วิจารณ์ ก็ได้เตือนตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าหากเราทำตามนั้น แล้วเรียนรู้กับสิ่งที่มีอยู่ในห้องนั้นจริงๆ ก็จะได้อะไรเยอะมาก สำหรับในส่วนอื่นๆ ก็ค่อยเรียนรู้เพิ่มเติมได้ ไม่อย่างนั้น มันก็จะได้เข้าใจจริงๆ ซักอย่าง สำหรับตัวเอง วันที่ 2 เข้าห้อง KM Thesis มันได้มากกว่า ประเด็นที่จะทำ วิทยานิพนธ์ แต่มันเห็นไปถึงกระบวนการ การจัดการความรู้ด้วย และที่สำคัญก็คือ ได้ความรู้สึกที่ดีๆ และมิตรภาพ และความสุขครับ
สำหรับการดำเนินงานที่ วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า ก็พยายามเดินเครื่องต่อครับ ตอนนี้ก็ตื่นตัวกันมากขึ้น แต่เกรงว่ามันจะไม่ยั่งยืน อาจารย์มีคำแนะนำอย่างงัยบ้างครับ ขอบคุณครับ
ดิฉันมีโอกาสเข้าร่วมประชุมมหกรรมKM ครั้งที่3 เห็นว่าเป็นการจัดได้ดีมาก แต่รู้สึกเสียดายไม่ได้เข้าฟังในเรื่องที่สนใจบางเรื่อง แต่ก็เลือกเข้าในห้องที่คิดว่าเราควรเข้ามากกว่า ได้รับความรู้มากมายเหลือเพียงแต่ต้องนำมาปฏิบัติ อย่างที่อาจารย์วิจารย์ พานิช บอกว่า KM ทำได้ไม่ยาก หากเราลงมือทำ
ดีใจที่หลายๆ ท่านได้รับประโยชน์จากการเข้างานครั้งนี้ ...ท่านที่ไม่มีโอกาสได้มา ก็อย่าเสียดายไปเลยครับ ...ความรู้มีอยู่ในหลายๆ ที่ ... นอกจากนี้ สคส. ยังจะนำมาใส่ไว้ในสื่อที่หลากหลายอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น VCD หรือเอกสาร Proceeding ...ถ้าสนใจติดตามต่อไปนะครับ
ผมคิดว่าบุบเฟ่น่าจะดีกว่าอยู่ดีครับ มันเป็น participant-centered ดี... ฝ่ายจัดได้วางรายการไว้ หลากหลาย แต่บางรายการนั้นไม่ค่อยมีคนเข้าไปฟังอาจเพราะผู้เข้าร่วมมีความรู้อยู่แล้ว (หรืออย่างน้อยก็คิดว่าตนเองรู้อยู่แล้ว) ซึ่งเป็นเรื่องปกติ...ปีหน้าก็ปรับรายการอาหารที่เป็นตัวเลือกก็ได้ครับ... ส่วนโต๊ะจีนจัดได้กับกลุ่มเป้าหมายบางกลุ่ม... หรือบางทีอาจจะต้องซาวเสียนกลุ่มเป้าหมายว่าต้องการแบบไหน อาจจะต้อง "มังสะวิรัติ" บ้าง อาจต้องเอาใจใส่เพื่อนที่เป็นมุสลิมบ้าง ฯลฯ
ปล. อุปมาเรื่อง "บุบเฟ่ vs โต๊ะจีน" นี้เข้าท่าดีครับ ไม่เหมือนใครดี แสดงว่าผู้ใหญ่ "ตกผลึก" ขั้นความคิดในระดับภูมิปัญญาเลยทีเดียวล่ะครับ ฝากอาจารย์ช่วยคิดอุปมาสำหรับปรากฏการณ์ด้าน KM และการจัดการองค์กรต่อๆไปเรื่อยๆนะครับ...