วันนี้ที่ทำงานพอผมมาถึงเปิดประตูเดินเข้ามาได้สักพักไฟฟ้าดับปุ๊บ...ผมเลยเดินไปเปิดหน้าต่างมองออกไปไกลสุดสายตาเห็นแผ่นน้ำราบเรียบสงบเย็น...
สักครู่ก็มีรอยคลื่นใต้น้ำเพียงบางเบา...แหงนมองขึ้นไปที่ฟ้ากว้างเมฆหมอกจางเห็นเงาขุนเขาสลับซับซ้อนเพียงลาง ๆเป็นเว้าแหว่ง...อยู่ชายขอบฟ้ากับนน้ำทะเลที่เป็นเส้นแบ่งโน้น
กลับมามองสีสดเขียวของยอดไม้ที่เอียงลงไปตามเชิงเขาดูแต่ละใบสงบนิ่ง...มีเพียงเถาวัลย์ที่เลื้อยยาวชูยอดตรงไปอีกยอดไม้หนึ่งที่ไม่ไกลนักเท่านั้นที่ไหวติง...
ซึ่งผมกำลังสังเกตุดูอยู่ว่าเป็นเพราะลมพัดผ่านหรือว่าเป็นความพยายามเคลื่อนไหวภายในตัวของเถาวัลย์เอง...ที่ต้องการไปเกาะจับอีกยอดพุ่มไม้หนึ่ง...ทั้งที่ไร้ดวงตาแต่ก็ไปสู่เป้าหมายได้...
ย้อนมองคนที่มีดวงตา...แต่ยังไม่รักษาดวงตาให้ดีที่สุด...แถมยังไปทำลายดวงตาของตนเองโดยไปมองสิ่งไร้ค่า...ไร้ประโยชน์...ก่อเกิดโทษนานาประการ...
กำลังคิดอยู่ดี ๆ เสียงคนเดินมา...สวัสดี...เป็นวัฒนธรรมเพื่อนร่วมงาน...ทำไมมันมืด...ฮา ๆ เอิก ๆ...ก็ไฟมันดับ...และประมาณ 20 นาที ไฟจึงสว่างขึ้นพอได้เริ่มทำงานครับ...ฮา ๆ เอิก ๆ...
..เถาวัลย์ไร้ดวงตาแต่ไปสู่เป้าหมายได้..
ชอบประโยคนี้จริงๆ ครับอาจารย์ ผมรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้มนุษย์รับรู้โดยใช้สายตาเป็นหลัก จนทำให้การรับรู้จากด้านอื่นๆ ลดลงไป ไม่ว่าจะเป็น การฟัง การคิด รวมไปถึงการใช้ "ความรู้สึก" ครับ
ขอบคุณสำหรับบันทึกของอาจารย์ที่ช่วยกระตุ้นให้ใช้ความคิดมากขึ้นครับ
สวัสดีครับ คุณ เจษฎา ศุนาลัย
ขอบคุณครับที่เข้ามาต่อยอดแนวคิดนี้...
ผมเห็นด้วยครับ...
ขอบคุณครับ
จาก...umi