พื้นฐานการศึกษาของดวงใจ ดวงใจเติบโตมาจากโรงเรียนอนุบาลเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ชื่อ โรงเรียนอนุบาลเสาวลักษณ์ หมู่บ้านการเคหะสุราษฎร์ธานี เมื่อสำเร็จชั้นอนุบาล 3 ที่โรงเรียนแห่งนี้แล้ว พ่อส่งหนูเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนธิดาแม่พระ ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่1 จนกระทั่งถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
เทอมสุดท้ายของชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หนูได้รับโควต้าศึกษาต่อที่โรงเรียนแห่งนี้ แต่พ่อตัดสินใจให้หนูสอบเข้าเรียนต่อในโรงเรียนของรัฐ
โรงเรียนของรัฐที่มีชื่อเสียงของจังหวัด ที่พ่อมองไว้นั่นคือ โรงเรียนสุราษฎร์ธานี และโรงเรียนสุราษฎร์พิทยา
......................
ก่อนหน้าที่หนูจะเข้ารับการสอบคัดเลือกเพื่อศึกษาต่อในโรงเรียนของรัฐ พ่อได้พาหนูไปสอบวัดผลการศึกษาที่เขาเรียกว่า การสอบ pre-test เพื่อดูระดับคะแนนของนักเรียนว่ามีความสามารถอยู่ในลำดับที่เท่าไหร่ของจำนวนนักเรียนที่เข้าสอบทั้งหมด
พ่อจำได้คร่าว ๆ ว่า การวัดผลในครั้งนั้น มีจำนวนนักเรียนเข้าทำการทดสอบเป็นตัวเลขหลักพัน ผลการสอบของหนูออกมาอยู่ในลำดับกลางๆ ค่อนไปทางต้นๆ และผลการสอบในครั้งนี้ พ่อได้พูดคุยปรึกษากับเพื่อนของพ่อ ที่อยู่ในวงการศึกษาท่านหนึ่ง เพื่อนของพ่อคนนี้บอกว่า...ผลการสอบของหนูระดับนี้ หากเลือกสอบเข้าโรงเรียนสุราษฎร์พิทยา ที่มีจำนวนนักเรียนที่เข้าสอบแข่งขันลำดับรองลงมาจากโรงเรียนสุราษฎร์ธานี หนูน่าจะมีโอกาสสอบติดมากกว่า
พ่อเชื่อในสิ่งที่เพื่อนของพ่อพูด เพราะนั่นอาจเป็นเพราะว่า....มุมมองในแวดวงการศึกษา การเปรียบเทียบระดับคะแนน และความน่าจะเป็นจากความสามารถของเด็ก...เพื่อนของพ่อเขาน่าจะมองออกได้ดีกว่าพ่อ
เมื่อถึงวันนั้น...วันที่หนูต้องตะลุยตอบโจทย์ชีวิตด้วยตัวของหนูเอง
พ่อเพียงแค่เลือกโรงเรียนสอบให้หนู แต่หนูเป็นคนทำ เป็นคนใช้ความสามารถ ใช้สติ และปัญญาที่หนูมี
........................
และแล้วเมื่อถึงวันนั้น...วันที่ผลสอบประกาศผ่านสื่อที่เร็วทะลุโลก....เพียงปลายนิ้วสัมผัสก็รู้ทันที
เย็นวันนั้น วันที่พ่อไปรับแม่ และเย็นวันนั้น ...หนูนั่งอยู่ตรงนั้นกับแม่
หนูอยู่ตรงกลางระหว่าง"ความคาดหวัง"และ "การปล่อยวาง"
หนูพูดกับพ่อว่า
ผลสอบออกแล้วนะคะพ่อ...หนูสอบไม่ติดคะ แต่...
หนูติดสำรองลำดับที่ 1 โครงการพิเศษห้องเรียนสามภาษา Multi Language Program (MLP)
พ่อเดินเข้าไปกอดหนู...แล้วพูดกับหนูว่า...ลูกพ่อก็ใช้ได้นะ...ยังสอบติดสำรองลำดับที่ 1 ของโครงการได้
เท่าที่ทราบ การสอบรอบโครงการพิเศษ ของโรงเรียนชั้นนำของจังหวัดนั้น เป็นการคัดเอาเด็กเรียนดี เข้าเรียนต่อเพื่อปั้นและให้โอกาสเด็กกลุ่มนี้สอบเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงต่อไป ไม่ว่าจะเป็นโครงการส่งเสริมความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี่(Enriched Science and Technology :EST) หรือโครงการวิทยาศาตร์ คณิตศาสตร์สองภาษา(Science and Mathematics Bilingual Program:SMBP) ที่โรงเรียนคิดและสร้างขึ้นมา
..........................
คืนนั้นทั้งคืนพ่อนอนคิด นั่งคิดอยู่คนเดียว...เพราะพ่อดูท่าทีของหนูแล้ว พ่อรู้ว่าหนูอยากเรียน แต่พ่อก็พูดกับแม่และหนูไปว่า...ค่าเทอมมันแพง เราคงไม่มีเงินเรียนหรอกนะลูก ไว้รอสอบรอบปกติอีกครั้งหนึ่งก็แล้วกัน(จริงๆ แล้วลำดับที่1ของตัวสำรองนั้น โอกาสที่ทางโรงเรียนจะเรียกเข้าศึกษาต่อนั้นมันมีมากเลยทีเดียว)
คืนนั้นทั้งคืน...ในหัวของพ่อ...พ่อคิดทบทวนเรื่องราวของลูกทั้งสองคน ทั้งตัวหนู และตัวพี่ชายของหนู
วันเวลาที่ผ่านมา...ตัวพี่ชายของหนู และตัวหนูเอง พ่อไม่เคยละเลยและเปิดโอกาสให้ลูกทั้งสองของพ่อได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตัวเองรักและชอบมาโดยตลอด
และมาถึงตอนนี้ พ่อก็ไม่อยากปิดโอกาสที่หนูควรจะได้รับ...หากหนูร้องขอ
แต่พ่อก็เชื่อว่า...หนูจะไม่ร้องขอ..หากหนูเห็นว่าพ่อและแม่ลำบากใจ
.................................
ณ เวลานั้น...ห้วงความคิดหนึ่งของพ่อมันก็ผุดขึ้นมา
เพื่อนของพ่อคนหนึ่งเคยพูดสิ่งนี้เอาไว้ นานแล้ว...เพื่อนคนนี้ของพ่อ พูดกับพ่อเรื่องการศึกษาของลูก ๆ เอาไว้ประมาณนี้...
"หากลูกมีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียน เมื่อเขามีโอกาส เราต้องให้โอกาสเขา ส่งเสริมเขา อย่าไปเสียดายกับสมบัติที่เรามี มีทองก็ให้ขายทองให้ลูกได้เรียน มีรถก็ขายรถไปเถอะ มันเป็นสมบัตินอกกาย วันหนึ่งเราก็หามันมาได้อีก แต่การศึกษาของลูก เมื่อมีโอกาสแล้ว หากปล่อยให้ผ่านไปมันก็น่าเสียดายนะ ความรู้การศึกษาจะอยู่กับเด็กเขาไปตลอดชีวิต เขาจะมีต้นทุน มีทางเลือกและมีโอกาสทางสังคม... หากว่าวันหนึ่งข้างหน้า... จะไม่มีเราอยู่..ก็ตาม"
.................................
เช้าวันใหม่มาถึง..มีสัญญาณข้อความส่งมาทาง line จากเพื่อนที่อยู่ในวงการศึกษาท่านนั้น ที่เคยให้คำแนะนำพ่อเอาไว้ เขาได้เขียนข้อความส่งมาถึงพ่อ ความว่า "โปรแกรมนี้น่าเรียนน๊ะ ลูกได้ภาษาด้วย ...ลองถามลูกดูก่อนน๊ะ"
มันทำให้พ่อคิดหนักขึ้นแต่พ่อก็ไม่ได้แสดงท่าทีให้หนูรับรู้ว่า..พ่อกำลังคิดอะไรอยู่
และคืนวันนั้นเอง...ด้วยความคิดของพ่อที่ว่า หากเราได้ปรึกษาเพื่อนที่มีประสบการทางการศึกษา เขาน่าจะมีอะไรพูดให้เราฟังมากกว่าที่เราคิด
พ่อตัดสินใจโทรคุยกับเพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันสมัยที่พ่ออยู่... โรงเรียนทวีธาภิเศก เพื่อนสนิทคนนี้ของพ่อ เป็นอดีตนักเรียนทุนก.พ. ปัจจุบันสอนหนังสืออยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน เราพูดคุยกันร่วม 3 ชม.สรุปความว่า...ต้องให้ลูกเรียนนะ ..เด็กจะได้มีโอกาสไขว่คว้าอะไรต่อมิอะไรมากมายกว่าที่เราคิด หากจังหวะของชีวิตดี..ลูกก็จะมีโอกาสมากกว่าเด็กทั่วไป และเพื่อนคนนี้ยังบอกกับพ่อว่า...หากไม่มีเงิน ให้เอาจากเขา(เพื่อนคนนี้มันทุ่มเทจริงๆ เพียงพ่อร้องขอ.... ขอให้บอก)
สุดท้าย พ่อตัดสินใจ... บอกให้หนูรู้
พ่อเห็นแววตาของหนูแล้ว...พ่อรู้ว่าหนูรู้สึกอย่างไร
และวันนี้เป็นวันพิเศษวันหนึ่งที่..พ่อได้พบเจอเพื่อนของพ่อถึงสองคน
คนหนึ่งเป็นคนที่ส่งเสริมสนับสนุนหนูอยากให้หนูได้เรียน และอีกคนหนึ่งเป็นคนที่ส่งเสริมให้หนูชอบและสนุกกับการเรียนคณิตศาสตร์
พ่อว่านะ..ชีวิตของพ่อนั้นโชคดี..โชคดีที่พ่อมี "เพื่อนแท้"..เพื่อนที่พ่อไม่ได้คบหาเพียงแค่วันสองวัน.. แต่พ่อคบหาเพื่อนของพ่อมาทั้งชีวิตของพ่อเลยทีเดียว
น่ารักมากๆ
มาชื่นชม
ในฐานะที่ผมเคยเดินเส้นทางนี้มาก่อน ขอฝากความคิดใว้เผื่อจะเป็นประโยชน์ การศึกษาไทยหลากหลายจนเลือกกันไม่ถูก
เรื่องแรก ภาษา จำเป็นมากกับเด็กทุกประเภท (เก่ง / เก่งพิเศษ / เลว / ทราม) ถ้าประเภทใดก็ตามเขาสามารถใช้ภาษากับระดับอื่นๆในที่ทำงานได้ดีอัตราการเจริญเติบโตในหน้าที่การงานไปได้ดีมากกว่าเด็กเก่งพิเศษ แต่สื่อสารทุกภาษาล้มเหลว (นิสัยอีกเรื่องหนึ่งนะไม่เกี่ยว ขึ้น / ลง อันนั้นเรื่องความยั่งยืน)
ผมเชียร์ให้มีภาษาหลากหลายเท่าที่ทำได้ ดีต่อเด็ก
เรื่อง 2 ลูกผม 2 คนโตเรียนวิทย์ ชีวะ-เคมี เรียนทุน จบมา ทำงานเป็นเลขาประธานบริษัท ใช้แต่ภาษาเท่านั้น ไม่ได้ใช้ที่เรียนมาเลย (เห็นเอามาใช้ทำสูตรขนมขาย งานพิเศษ)
คนเล็กเรียนวิทย์ชีวะ ตอนนี้ต่อโทอยู่ ไม่ได้เก่งขนาดเกรด3 ทุกเทอม 2แตะ3 แต่เป็นเด็กอยู่ในกลุ่มพิเศษ ออกจากทุนแล้วเกรดไม่ถึง 3.5 ถ้าจะแบ่งเด็กกลุ่มนี้มี 2 ประเภท
1. เรียนเกรด 4 ตลอด (ท่องจำ) ไม่มีปัญหากับโครงการเขาเอาเกรดเป็นตัวให้ทุน กลุ่มนี้จะมีผู้นำเเป็นแบบเด็กแบบที่ 2
2. แบบลูกผม (วิเคราห์ /พลิกแพลงเป็น แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี) กลุ่มนี้จะคอยจัดการชีวิตเพื่อน / จ่ายงานให้กลุ่มแรกไปหาข้อมูล / กลุ่มนี้จะมาสรุปงานให้
ผมให้ความหมายภาษาคือเครื่องมือสื่อสารแต่ละเชื้อชาติ ผมอยากให้เด็กไทยสามารถพูดได้สัก 2 ภาษาอย่างน้อย (ไทย / อังกฤษ) สอนให้เด็กคิดเป็นแก้ปัญหาเองได้ รู้ผิดรู้ถูก
ปล.ไม่ต้องเชื่อผมนะ อ.เก่งกว่าผมอยู่แล้ว....ผิดพลาดประดการใดขออภัยใว้ ณ ที่นี้ก่อนครับ...
เหมือนบทความนี้ กำลังบอกให้เราตัดสินใจกับปัญหาตอนนี้เลย. ขอบคุณนะค่ะ.